ปัจจุบันนี้ หลายๆวัด ท่านก็สวด บาลี สลับภาษาไทยนะครับ
เช่น บทสวดมนต์ทำวัตรเย็น ที่ขึ้นต้นว่า
โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ,
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น พระองค์ใด, เป็นพระอรหันต์,
ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง, ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
--------------------------------------------------------------------
แต่อย่างไรก็ดี ภาษาบาลี ที่มาจากภาษามคธหรือภาษามคธี
คือภาษาที่รักษาไว้ซึ่งพระพุทธพจน์ เป็นภาษาที่ไม่ดิ้นในการแสดงสภาวะธรรมต่างๆ
เวลาผ่านมานานกว่า ๒,๕๐๐ ปี เหล่าพระสงฆ์ก็ยังคงสวดสาธยาย ภาษาบาลี
ด้วยประโยคและคำที่เหมือนเดิม ไม่มีผิดเพี้ยน
ส่วนการแปลเป็นภาษาอื่นนั้น แม้แต่ภาษาเดียวกัน คณะต่างๆยังแปลไม่ตรงกันเลย
ตัวอย่างเช่น บทสวดมนต์แปลไทยของบางวัด ก็อาจจะแปลไม่ตรงกันบ้างเป็นต้น
ถ้ามีแต่การสวดด้วยภาษาอื่น ไม่สวดด้วยภาษาบาลีเลย ผ่านไปไม่กี่ร้อยปี
บทธรรมะต่างๆก็จะเริ่มผิดเพี้ยนไปทีละเล็กทีละน้อยตามกาลเวลา
ดังนั้นหน้าที่หนึ่งของชาวพุทธคือการช่วยกัน อนุรักษ์ ศึกษาและสืบต่อ
ภาษาบาลี อันเป็นภาษาที่รักษาไว้ซึ่งพระพุทธพจน์ให้ดำรงสืบต่อไปสู่
ชาวพุทธรุ่นถัดๆไป
-----------------------------------------------------------------------------
จาก อรรถกถาของปฏิสัมภิทามรรค
ได้แสดงถึงความสำคัญของ ภาษามคธี
(หรือภาษาบาลี)ที่พระพุทธองค์นำมาใช้แสดงธรรม ไว้ดังนี้
........ภาษามาคธีมีมากในที่ทั้งปวง คือ ในนรก, ในกำเนิดดิรัจฉาน, ในเปตติวิสัย, ในมนุษยโลก ในเทวโลก.
บรรดาภาษาของสัตว์ในภูมินั้นๆ ภาษาที่เหลือ เช่น โอฏฏภาษา, กิราตภาษา, อันธกภาษา, โยนกภาษาและทมิฬภาษาเป็นต้น ย่อมดิ้นได้, มาคธีภาษานี้เพียงภาษาเดียวเท่านั้น นับว่าเป็นพรหมโวหารและอริยโวหารตามเป็นจริง ย่อมไม่ดิ้น.
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงยกพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎกขึ้นสู่แบบแผน ก็ทรงยกขึ้นไว้ในภาษามาคธีเท่านั้น.
เพราะเหตุไร? ก็เพราะเพื่อจะนำอรรถะมาให้รู้ได้โดยง่าย.
จริงอยู่ พระพุทธพจน์ที่ยกขึ้นสู่แบบแผนด้วยมาคธีภาษา ยังไม่บรรลุถึงคลองแห่งโสตประสาทของพระอริยบุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทานั้น เป็นการเนิ่นช้า. แต่เมื่อโสตประสาทพอพระพุทธพจน์กระทบแล้วเท่านั้น เนื้อความก็ปรากฏตั้งร้อยนัย พันนัย. ก็พระพุทธพจน์ที่ยกขึ้นสู่แบบแผนด้วยภาษาอื่น ก็ย่อมต้องเรียนเอาแบบตีความแล้วตีความเล่า
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=0&p=1#คันถารัมภกถา