ขออนุญาต ท่าน จขกท แสดงความเห็น อาจผิดถูก ก็สามารถท้วงติงได้ครับ
..............
การก้าวขึ้นสู่ อริยบุคคลนั้น มีข้อบรรทัดฐานที่พระพุทธองค์ตรัสไว้
ให้เราตรวจสอบแบบที่เรารู้จักกันคือ สังโยชน์ ๑๐
หนึ่งในนั้นคือ วิจิกิจฉา
วิจิกิจฉา เป็นไฉน ?
[๖๗๒] วิจิกิจฉา เป็นไฉน?
ปุถุชนเคลือบแคลงสงสัยในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์
ในสิกขา ในส่วนอดีต ในส่วนอนาคต ทั้งในส่วนอดีตและส่วนอนาคต
ในปฏิจจสมุปปาทธรรมที่ว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัยธรรมนี้จึงเกิดขึ้น
...
...ความกระด้างแห่งจิต ความลังเลใจ อันใดนี้เรียกว่า วิจิกิจฉา.
ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก
เมื่อมีความสงสัยในธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ >>มีวิจิกิจฉา
นี้แล้วจะก้าวล่วงขึ้นสู่โสดาบัน อันเป็นอริยะบุคคลขั้นเริ่มต้นได้อย่างไร
..........
การไม่เชื่อ เคลือบแคลงสงสัยเรื่องโอปปาติกะ
จัดเป็น วิจิกิจฉาในธรรมไหม ?
จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิไหม ?
การไม่เชื่อเรื่อง ผี ?
ซึ่งผมได้ยกตัวอย่างคำว่า ผีเข้า เป็นพุทธพจน์(ที่เป็นส่วนวินัย)
ตรงนี้ก็ไม่ได้บอกว่าต้องเห็น ผีปรากฏต่อหน้าหรือไม่
แต่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ผีเข้า
ถ้าโดยนัยแห่งคำว่าผีเข้า ที่พระพุทธองค์ตรัสนี้
พระพุทธองค์หมายถึงว่า ผี มีจริงใช่ไหม ?
(เกี่ยวกับเรื่องการสวดปาติโมกข์อย่างย่อในความเห็นที่ 14)
การไม่เชื่อเรื่องผี นั้น ที่จริงก็เป็นสิทธิของแต่ละบุคคลว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้
แต่เมื่อเป็นชาวพุทธ และคำว่า ผี เป็นพุทธพจน์ คำหนึ่งที่พระพุทธศาสดาตรัสไว้
ผมตั้งเป็นคำถาม
การไม่เชื่อพุทธพจน์นี้ จัดเป็น วิจิกิจฉาไหม ?
จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิไหม ?
................
ถ้าท่านใดเห็นว่า ไม่จัดว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ท่านมีเหตุผลใดเพื่ออธิบายว่า
สอดรับ/หรือเห็นแย้งกับพระสูตร มหาจัตตารีสกสูตรข้างล่างนี้
ที่ผมจะนำภาพสแกนจากหนังสือมาให้อ่าน
และเพื่อประโยชน์ ที่จะได้อ่าน ทบทวนเรื่องสัมมาทิฏฐิ
ผมก็จะขออนุญาต นำมาให้อ่านให้ครบพระสูตร
จากพระไตรปิฏก ฉบับเฉลิมพระเกียรติ ๒๕๔๙ เล่มที่ ๑๔