ความคิดเห็นที่ 1 อวิชชานั่นแหละ  เป็น คติ (เครื่องไป) ของสัตว์เหล่านั้น ------ พระพุทธวจนะหนึ่ง (จากความจำ) ปุถุชน  (ดู ที่ตรัส จิตนี้เป็นประภัสสรฯ)   --- ก่อน ตาย  "เนื่องกับ ปฏิจจสมุปบาทรอบสุดท้าย" (ตรัสไว้ พระสูตรไหน ดู เองฯ) ดังนั้น ---ชาติ (เกิด ซึ่ง ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ เป้น ตัวทุกข์อริยสัจ) ก่อน ตาย "เนื่องกับ" ปฏิจจสมุปบาทรอบสุดท้ายของ ปุถุชน นั้น คติ ๕ กำเนิด ๔ (อิทัปปัจจยตา ฝ่าย สังขตธรรม) ----   ล้วน อนัตตา   จึงไม่มี อะไร  "ที่ กายนี้  ตามอัสสุตวตาสูตร"  ไป เกิดใหม่ แบบ ที่วิสุทธิมัคค์ เสนอ "วิญญาณกิจ ๑๔"  เรื่อง ปฏิสนธิ ได้แก่ จิต ๑๙ นั้น -- เพราะ วิสุทธิมัคค์  ไม่ใช่ อธิบายพระ ไตรปิฎกตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ ฯ ตกลง คติ ๕  ของ ปุถุชน  หลังจากตายแล้ว  มี ไหม? มี (มีแบบไหน? /สอบทานกับ พระสูตรไหนฯ) มีแบบ สัสสตทิฏฐิ  ก็ อย่างหนึ่ง มีแบบ สาสวาสัมมาทิฏฐิ ก็อย่างหนึ่ง สรุปว่า คติ ๕ ที่ตรัส --เบื้องหน้าแต่กา่ยแตก นั้น ---- ตรัส เป็น สัสสตทิฏฐิ (มิจฉาทิฏฐิ) ได้ไหม? ทีนี้ฝ่าย อริยสาวก --- ตามกระทู้ คือ "พระอนาคามี" พระอนาคามี  ท่าน ยัง มีแค่ "อาสวะคือ อวิชชา (หรือ สังโยนชน์ คือ อวิชชา (ฉันทะราคะใรขันธ์ ฉันทะราคะ คือ ตัวสังโยชน์) /   ไม่ ใช่ อวิชชา คือ ความไม่รู้ว่า  นี้ (ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์) เป็นทุกข์อริยสัจ"  หรือ "นี้ ปฏิจจสมุปบาท สาย เกิด (สมุทโย) -- ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์) เป็นทุกข์อริยสัจ กับ นี้ ปฏิจจสมุปบายสาย ดับไม่เหลือ (นิโรโธ  ไม่ใช่ ตายเข้าโลง) ฅึ่ง "อาการ ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์) เป็นทุกข์อริยสัจ" --- ขั้น อนาคามี (สังโยชน์ คืออวิชชา ที่คือ ยังไม่มี วิชชา ขั้น อรหัตตผล นิโรธเสีย ซึ่ง ฉันทะราคะในขันธ์ แบบ อนาคามี หรือ "แบบ สุทธาวาส" ดังนั้น คติ ของ พระอนาคามี "ก่อนตาย และ ก่อน ปฏิจจสมุปบาทรอบสุดท้ายของท่าน" จะ เหมือน  "ปุถุชน"  หาได้ไม่ (ปรมัตถ์ มันคนละ คุณสมบัติฯ) ดังนั้น พระอนาคามี จึง พ้นจาก "อวิชชา นั่นแหละ เป็น คติ (เครื่องไป) ของ อนาคามีสัตว์ (สัตว์ แปลว่า ผู้ข้องใน ขันธฺทั้ง ๕ ด้วย สังโยฃน์ หรือ ฉันทะราคะในขันธ์  แบบอนาคามีเช่นนั้น (มีหลายแบบ ตรัสไว้ฯ) ทำไมไม่ หมายความว่า นับตั้งแต่ บรรลุ อนาคามิผล "ตราบปฏิจจสมุปบาทรอบสุดท้ายของท่าน" ตามที่ตรัสว่า "ศีลสมบูรณ์ (ไม่มีความร้อนใจในภายหลัง เพราะ อนาคามิผลนั้น / ตามที่ตรัสว่า ศีล มี อวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์)  สมาธิสมบูรณ์ (อริยสัมมาสมาธิที่มีบริขารสมบูรณ์ขั้นอนาคามิผล) ปัญญาพอประมาณ (ยังไม่สมบูรณขั้นอรหัตตผล) พระอนาคามีท่านจึง  ชื่อว่า  เป็นผู้เห็นซึ่งปฏิจจสมุปบาท เป็นผู้ฉลาดในวิบากแห่งกรรม วิบากแห่งกรรม ขั้น อนาคามี "ที่ กำลัง เจริญ อริยมรรคอยู่ก่อนตาย และก่อนจะตายนั้น ธรรม ๒ ของท่าน คือ สมถะ ด้วย วิปัสสนาด้วย ย่อมเคียงคู่กันไป"   ได้ แก่  วิบาก แห่งกรรมไม่ดำไม่ขาว  เป้นไปเพื่อความสิ้นกรรม (ตาม กุกกุโรวาทสูตร / กรรม ๑๖ ตรัสไว้ในพระสูตร? หาพบ บอกด้วยฯ) วิบาก คือ "สุทธาวาส" --- ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ต้อง ไม่ใช่ สัสสตทิฏฐิ  เพราะ ธรรมทั้งปวง  อนัตตา  ไม่มี อัตตา ใน ธรรมที่ไม่ใช่อัตตา คือ พระอนาคามี ตาม อัสสุตวตาสูตร + จูฬสุญญตสูตร เป็นต้น ดังนั้น เบื้องหน้าแต่กายแตก  ของ พระอนาคามี -- คือ สุทธาวาส นั้น  ต้อง ไม่ใช่ สัสสตทิฏฐิ  แต่ (๑) เนื่องกับ สาสวาสัมมาทิฏฐิ ของ ภิกษุใด สมัยพุทธกาล ก่อน มี อรรถกถา (กำหนดเอง) (๒) เนื่องกับ อนาสวาสัมมาทิฏฐิ ของ ภิกษุใด สมัยพุทธกาล ก่อน มี อรรถกถา (กำหนดเอง) ท่าน จขกท ---- อ่าน เล่นๆ   ถ้า ไม่ตรงกับ ที่ ตำราว่าไว้ อย่าลืม กาลามสูตร + พระพุทธเจ้ายังทรงยังอยู่ หมายเหตุ คุณของพระธรรม ที่ตรัสนั้น --สาวกขาโต ภควตาธัมโมฯ http://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%95+%E0%B8%A0%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A1&ie=utf-8&oe=utf-8&aq=t&rls=org.mozilla:th:official&client=firefox-a เช่น - บาลี สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม สนฺทิฏฺฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิติ - อ่าน สะหวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฺฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ - แปล พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้... หมายเหตุ พระอริยสาวก ย่อม ไม่ เห้นอะไรๆ  ยิ่งไปกว่า พระพุทธเจ้า ที่ตรัสรู้ธรรมคือ)กิจจฯและเหล่าพระสงฆ์ ทั้งปวง (โดยเฉพาะ พระเถระครั้งปฐมสังคายนา นั่น ----- ฯ) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 15:47:53

ความคิดเห็นที่ 2              (อัฏฐกนาครสูตร)              "เธอตั้งอยู่ในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย      ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะความยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา." http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=303&Z=479              คำว่า ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย              แปลว่า ถ้ายังมีอาสวะเหลืออยู่              คำว่า เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕              แปลว่า เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการสิ้นไปแล้ว              จากข้างต้นได้นัยว่า สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ยังไม่สิ้นไป              ด้วยความหมายนี้ แปลว่า ยังไม่ได้บรรลุอรหัต              ด้วยความเพียงเท่านี้ แปลว่า ตลอดชีวิตนั้นไม่ได้บรรลุอรหัตผล                  เพราะหากบรรลุอรหัตผล อาสวะทั้งหลายสิ้นไปแล้ว จะไม่มีคำว่า ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย              ดังนั้น คำว่า เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ              จึงได้นัยว่า เธอกระทำกาลแล้ว ย่อมเป็นโอปปาติกะ              คำว่า มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา              แปลว่า ไม่กลับมาอุบัติในมนุษยภูมิอีก              เพราะว่า มนุษยภูมิเป็นกามภูมิ ผู้ที่ละกามสังโยชน์ได้แล้ว จะกลับมาด้วยอำนาจการเกิดไม่ได้อีกเลย.              ข้อที่ว่า กลับมาด้วยอำนาจการจุติจากพรหมโลก มาอุบัติใน มนุษยภูมินี้ ควรระวังให้ดี เพราะว่า              สมัยหนึ่ง โกกาลิกะภิกษุด่าอุปัชฌาย์ของตนเองที่บรรลุอนาคามี แล้วไปอุบัติในพรหมโลก นามว่าตุทุปัจเจกพรหม มาเพื่อตักเตือนเขา ด้วยกรุณาต่อเขาว่า จงเลื่อมใสพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเถิด.              โกกาลิกะภิกษุด่ากลับไปว่า พระผู้มีพระภาคพยากรณ์ท่านแล้ว ไม่ใช่หรือว่า เป็นพระอนาคามี ทำไม ท่านจึงยังมาเที่ยวอยู่ในที่นี้ จงเห็นว่า ก็นี่เป็นความผิดของท่าน.              โกกาลิกะภิกษุใกล้ตายแล้ว ก็ยังด่าไม่หยุดหย่อนเลย.              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗              สังยุตตนิกาย สคาถวรรค              ตุทุพรหมสูตรที่ ๙ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=4816&Z=4843                            ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=596              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗              สังยุตตนิกาย สคาถวรรค              ทุติยโกกาลิกสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=4844&Z=4945                            ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=598              คำว่า สังโยชน์ http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=สังโยชน์              คำว่า ภูมิ 31 http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ภูมิ_31              หมวดหนังสือธรรมะ              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html แนะนำ :-              อ่านและค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม              อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง              พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม     http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม                สารบัญประเภทธรรม http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?                   หมวดหนังสือธรรมะ http://84000.org/tipitaka/book/              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html              เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘) http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html              เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html จากคุณ : ฐานาฐานะ เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 15:48:45

ความคิดเห็นที่ 3 สวัสดีครับ นายอิ่ม.   ผู้เจริญธรรมจนมรรคมีองค์ 8 สมบูรณ์ ย่อมบรรลุเป็นพระอริยบุคคลไปตามลำดับดังนี้.  1.บางท่าน บรรลุเพียงโสดาบันบุคคล แล้วสภาวธรรมที่สูงยิ่งกว่านี้ ในการบรรลุเป็นพระสกิทาคามีอริยบุคคลไม่เกิดอีกเลย จนสิ้นชีวิต ก็มี อย่างเช่นนางวิสาขา พระเจ้าพิมพิสาร ฯลฯ  2.บางท่าน บรรลุเป็นโสดาบันบุคคล แล้วสภาวธรรมเจริญขึ้นต่อไปเป็นพระสกิทาคมบุคคลแล้วสภาวธรรมที่สูงยิ่งกว่านี้ ในการบรรลุเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลไม่เกิดอีกเลย จนสิ้นชีวิต ก็มี อย่างเช่น ลูกสาวของท่านอานาบินตบาตเศรษฐิ ฯลฯ  3.บางท่าน  บรรลุเป็นโสดาบันบุคคล แล้วสภาวธรรมเจริญขึ้นต่อไปเป็นพระสกิทาคมบุคคลและพระอนาคามีบุคคล แล้วสภาวธรรมที่สูงยิ่งกว่านี้ ในการบรรลุเป็นพระอรหันต์บุคคลไม่เกิดอีกเลย จนสิ้นชีวิต ก็มี อย่างเช่น พระอาจารย์ของท่านโกกาลิ   4.บางท่าน บรรลุเป็นโสดาบัน-สกิทาคมี-อนาคามี-อรหันต์ ตามสภาวธรรมในปัจจุบันชาติเลยที่เดียวก็มี อย่างเช่น พระสารีบุตร พระโมคัลลานะ ฯลฯ.   ดังนั้นในพุทธพจน์ส่วนนี้.. ------------------------------------- (อัฏฐกนาครสูตร) "เธอตั้งอยู่ในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะความยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา." --------------------------------------   ก็เป็นการกล่าวถึง ข้อที่ 3 ที่ผมเสนอ จนสิ้นชีวิตในโลกนี้แล้ว ก็เป็นไปตามพุทธพจน์ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส    "เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา."     ที่นั้น,โลกนั้น (ในพุทธพจน์) หมายถึง พรหมโลกที่ชื่อว่า สุทาวาสพรหม นั้นเอง .     ดังนั้นเรื่อง ภพภูมิ  การเวียนว่ายตายเกิดของผู้ที่ยังมีกิเลสหรือมีอวิชชาอยู่  ย่อมมีอยู่ในพุทธศาสนาในตำราพุทธศาสนา ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เป็นธรรมดา.     แต่ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ก็ได้คือ วางเรื่องเหล่านี้เสีย(เน้น.. วางนะครับไม่ใช่ปฏิเสธ หรือปฏิปักตรงกันข้าม) ปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ตามศีล สมรวมอินทรีย์ เจริญสติสัมปชัญญะตาม อริยาบทบรรพ  ปฏิบัติอนุสติ เช่น กายคตาสติ อานาปานสติ ฯลฯ  แล้วเจริญสติปัฏฐาณ 4      ก็เป็นการเจริญสมถะและวิปัสสนา เมื่อมีพละ 5 (สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร)สมบูรณ์สมดุลย สติปัฏฐาน 4 ก็ย่อมสมบูรณ์      เมื่อสติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์  โพชฌงค์ 7 ก็ย่อมสมบูรณ์      เมื่อ โพชฌงค์ 7 สมบูรณ์ มรรคมีองค์ 8 ก็ย่อมสมบูรณ์ ตามฐานของอริยบุคคล. แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 55 16:11:39 จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 15:57:50

ความคิดเห็นที่ 4 ---- เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา." ---- ที่ตรัสข้างบน  ตรัสให้ ผู้  สัสสตทิฏฐิ ฟัง  หรือ ตรัสให้ ผู้ สาสวาสัมมาทฺฏฐิ ขั้น อนาคามีฟัง? (อนาสวาสัมมาทิฏฐิ ควร ขั้น อรหัตตผล  มิใช่หรือ?) คำว่า โลก --- ตรัสไว้ กี่พระสูตร (แก่ภิกษุ) / ทรงหมายความ ? http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=19843 ความหมายของคำว่าโลก [อรหันตสูตร] ความหมายของคำว่าโลก โลก หมายถึง สิ่งที่แตกดับ ตามนัยของโลก ๓ ได้แก่ โอกาสโลก หมายถึง โลกที่เป็นที่อาศัยอยู่ของหมู่สัตว์ สัตวโลก หมายถึง   โลก คือ  หมู่สัตว์ สังขารโลก หมายถึง สังขารธรรม ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พระอนาคามี  ท่าน -- ชื่อว่า "เป็นผู้เห็นซึ่งปฏิจจสมุปบาท เป็นผู้ฉลาดใน วิบากแห่งกรรม" (วเสเฏฐสูตร) ตกลง โลก  ที่พระอนาคามี ท่าน รู้ ด้วย "ศีลสมบูรณ์ สมาธิสมบูรณ์ ปัญญาพอประมาณ" จะ  คือ  โลก ?  -- หลังจาก ตายเข้าโลงแล้ว แล้ว  ไม่เป็น สัสสตทิฏฐิ ด้วย ลอง เก็งความจริง (อ้างอิงพระสูตรใดนั้นแล้ว) ดู ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 16:03:53

ความคิดเห็นที่ 5 คนที่จะตอบในเรื่องนี้มีคุณสมบัติใดที่เหนืออรรถกถาจารย์บ้างครับ จากคุณ : kiarati เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 16:09:34

ความคิดเห็นที่ 7 ในพระสูตรที่ยกมานี้ มีความหมายตามข้อ ๒ ครับ ดังที่คุณฐานาฐานะ และคุณ P_vichaไ้ด้อธิบายไว้ คือ ถ้าอนาคามีบุคคลยังไม่บรรลุอรหันต์ ก็จะไปเกิดเป็นโอปปาติกะในพรหมโลก แล้วจะสำเร็จอรหัตผลในสุทธาวาสภูมินั้น ข้้อความจากพระสูตรแสดงไว้ว่า "เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ" --------------------------------------- โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ คือ สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้แก่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ ส่วน อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง 5 ได้แก่ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา พระอนาคามี ละสังโยชน์ 5 ข้อต้นได้หมด พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อได้หมด --------------------------------------- เมื่อละได้เพียง สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ยังละ สังโยชน์เบื้องสูง 5 ไม่ได้ เมื่อจะต้องไปปฏิสนธิเกิด ก็ต้องไปเกิดแบบ โอปปาติกะ คือ เกิดผุดขึ้นเต็มตัวทันใด เท่านั้น เพราะ อนาคามีบุคคล เมื่อจุติตายลง จะไปปฏิสนธิเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาสเท่านั้น และในพรหมโลกจะมีกำเนิดแบบโอปปาติกะเท่านั้น --------------------------------------- จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 18:02:59

ความคิดเห็นที่ 8 เอ้อ ไม่ใช่นะครับ ดูจากรากศัพท์ คำว่า อนาคามี เปิดจากพจนานุกรม แปลตรงๆเลยว่า "ผู้ไม่กลับมาสู่กามภพอีก" คือ ถ้าเสียชีวิตไปแล้ว ไปเกิดใหม่ จะไม่กลับมาเกิดในโลก(มนุษย์) หรือวนเวียนในกามภพอีก (มนุษย์  เทวดา)  เพราะจิตของท่าน ละส่วนที่เป็นกามได้แล้ว เหมือนความถี่ของจิต ไม่สามารถปรับลงมาหยาบแบบมนุษย์ และเทวดาในกามภพได้อีก แต่ยังไม่หมดเชื้อเกิด จึงไปเกิดอีก  ยังพรหมโลก ผมอ่านจากที่คุณเจ้าของกระทู้สงสัยทั้งข้อ 1 และข้อ 2 ผมว่าท่านระบุไว้ถูกทั้งคู่เลยครับ  ลองอ่านดูดีๆ แล้วเทียบเคียงกับคำแปลที่ผมบอกด้านบน  (ด้านล่าง ที่ใส่ใน < > คือความเห็นของผมนะครับ) ----------------------------------------------------------------- "เธอตั้งอยู่ในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย <ยังตัดสังโยชน์เบื้องสูงไม่ได้> เพราะความยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น <ยังมีรูปราคะ และอรูปราคะ คือความพอใจในรูปฌาน และอรูปฌานอยู่> เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ <สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 อย่าง> เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ <ไปเกิดเป็นพรหม> จะปรินิพพานในที่นั้น  มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา.<เป็นพรหมที่ไม่กลับมาเกิดในกามภพอีก ปรินิพพานที่พรหมโลกนั่นเลย ไม่เหมือน พรหมที่ไม่ใช่พระอริยเจ้าที่ยังฌานเสื่อม แล้วกลับมาเกิดในกามภพได้อีก>" ----------------------------------------------------------------- จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 19:09:14

ความคิดเห็นที่ 9 พระอนาคามี "อริยสาวก" ผู้  "ได้ดวงตาเห็นธรรม"  คือ พระโสดาันแล้ว (๑) พระอนาคามี ยุคนั้น (พิจารณา ตามที่ตรัส เนื่องด้วย อนาคามี ทุกๆ พระสุตรเอง) จะ มี มิจฉาทิฏฐิ เป็น สัสสตทิฏฐิ ได้ เช่นสมัย ปุถุชน หรือ? --- สมัยพุทธกาล นะครับ --- ฆราวาส ยุคนั้น "ไม่รู้จัก วิสุทธิมัคค์ อภิธัมมัตถสังคหะ  และ  พระไตรปิฎก ด้วย" (๒) พระอนาคามี จะมี ทิฏฐิลา มก แบบ สาติ เกวัฏฏบุตร  ที่ มีมิจฉาทิฏฐิว่า "วิญญาณนี้ เท่านั้น  ที่ท่องเที่ยวไป" วิญญาณ ตรัสว่า "เป็น ปฏิจจสมุปปันนธรรม" ดู ที่ตรัส วิญญาณฐิติ ๔ ดู ที่ตรัส วิญญาณฐิติ ๗  อายตนะ ๒ (๓) พระอนาคามี "ในธรรมวินัย ของพระองค์" "สมัยพุทธกาล" ย่อม เกลี้ยงจาก ทิฏฐิ ๖๒ (ดูพระสูตรนี้เองฯ) (๔) พระอนาคามี "ในธรรมวินัย ของพระองค์" "สมัยพุทธกาล" ย่อม เกลี้ยงจาก ทิฏฐิ "ปรมัตถ์มีจริง" (ปรมัตถ์ ๔ ตาม อภิธัมมัตถสังคหะ ฯ ตั้งแต่สมัยฆราวาส ฯ) (๕) พระอนาคามี "ในธรรมวินัย ของพระองค์" "สมัยพุทธกาล" ย่อม เกลี้ยงจาก "คำสอนของศาสนาพราหมณ์ฯ) (๖) พระอนาคามี "ในธรรมวินัย ของพระองค์" "สมัยพุทธกาล" ย่อม เกลี้ยงจาก ทิฏฐิ ของครูทั้ง ๖ (เช่น อุปติสสะ หรือ พระสารีบุตรฯ) (๗) พระอนาคามี "ในธรรมวินัย ของพระองค์" "สมัยพุทธกาล" ย่อม เกลี้ยงจาก ทิฏฐิ "ท่านสองดาบส" เจ้าลัทธิ อรูปฌานที่ ๓  และ ๔ ตกลง "สุทธาวาส"  คือ โลกอื่น จาก โลกนี้ หลังจากตายแล้ว?  หรือ? ถ้าใครว่า ใช่ ซิ ถ้าเช่นนั้น พระอนาคามี "ในธรรมวินัย ของพระองค์" "สมัยพุทธกาล" ย่อม " กล่าวปฏิจจสมุปบาท ตรงกับ พระศาสดา"  มั๊ย ถ้าใช่ พระอนาคามี  ท่าน คือ  -ผู้ชื่อว่า เป็นผู้เห็นซึ่งปฏิจจสมุปบาท  เป็นผู้ฉลาดในวิบากแห่งกรรม (วิบากแห่งกรรมดู นิพเพธิกสูตร  ตรัส คำว่า ทิฏฐธรรม หรือว่า อุปปัชชะ หรือว่า อปรปริยายะ  ไว้ ฯ) สรุป คุณนายอิ่ม ----- ตั้งประเด็น ไว้ ๒ ข้อ ฯ ปัญหามีว่า ที่คุณนายอิ่ม ตั้งนั้น เนื่องกับ   (A) "พระพุทธวจนะ" คำว่า  ทิฏฐธรรม หรือ ว่า อุปปัชชะ  หรือว่า อปรปริยายะ ? (ดูพระบาลีพุทธวจนะ ก่อน ดูพระบาลีแปลไทย สำนวนแปลใดนั้น  ที่ไม่แปลทับศัพท์ฯ) หรือว่า เนื่องกับ (B) อัทธา ๓ ตาม วิสุทธิมัคค์ ? (อดีตัทธา  ปัจจุบันนัทธา อนาคตัทธา / ผิดตกยกเว้น) คุณนา่ยอิ่ม --กำหนด (A)  หรือ (B) ครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 19:51:33

ความคิดเห็นที่ 10 "พระพุทธวจนะ" คำว่า  ทิฏฐธรรม หรือ ว่า อุปปัชชะ  หรือว่า อปรปริยายะ ? (ดูพระบาลีพุทธวจนะ ก่อน ดูพระบาลีแปลไทย สำนวนแปลใดนั้น  ที่ไม่แปลทับศัพท์ฯ) ดู นิพเพธิกสูตร  นะครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 20:07:02

ความคิดเห็นที่ 11 ตอนแรก อ่าน คห 1 แล้ว งงๆ ครับ แต่ พออ่าน คห 2 แล้ว ทำให้ เข้าใจเลยว่า คห 1 ว่าอย่างไร ครับ ------------------- อรรถกถาจารย์ ใคร เหนือ กว่า ท่านบ้าง ด้านไหน หละครับ ใคร วัด ครับ ใคร ตรวจสอบ ว่า คน สมัยนี้ คนนี้ กับ อรรถกถาจารย์ สมัยก่อน ใคร เหนือกว่ากัน เอาอะไร ไปวัด ครับ หรือ แค่ ท่าน "เชื่อ" ว่า อย่างนั้นๆ ครับ ใคร ที่ จะตัดสินได้ ต้อง มี คุณสมบัติ อะไรบ้างกันครับ ------------------------------ ที่ คห 1 ของ ท่านเซน ก็ เป็น อีก อย่างหนึ่ง ที่ เป็นไปได้ ว่า ข้อความนั้นใน พระสูตร ต้องการบอก ก็เป็นไปได้ (ละทิฏฐิ ว่า อย่างนี้จริง อย่างอื่นเปล่า) ไม่ได้ หมายว่า ท่านเซน เหนือกว่า อรรถกถาจารย์ นะครับ แต่ ก็ต้อง ทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมด้วยครับ -------------------------------- อ่าน พระสูตร เหมือน อรรถกถาจารย์ คนสมัยนี้ คิด อย่างนี้ อรรถกถาจารย์ คิดอย่างนี้ แล้ว ก็ มาตัดสินว่า ถ้าคิดไม่เหมือน อรรถกถาจารย์ คือ ผิด อาจเพราะ คิดว่า ถ้า อรรถกถาจารย์ ผิด พระ ตั้งมากมาย คงบอกแล้วว่าสอนผิด (อาจมี พระที่ออกมาติติง ทุกยุคทุกสมัย ก็ได้มั๊งครับ อย่าง พระ พุทธทาส สมัยนี้ไงครับ แต่ไม่มีใครเห็นด้วย คงตกไป เพราะ อย่าลืมว่า คน โง่ มากกว่า คน ฉลาด มากมาย เทียบกันแทบไม่เหลือ ให้เห็นเลย  แต่ คน ที่ แปลกประหลาด ก็ มีน้อย เหลือประมาณ เช่นกัน) เลย กลายเป็นว่า เชื่อ เพราะ อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้เชื่อ เพราะ ได้ประจักษ์ ด้วยตนเองแล้ว (คนที่ได้ประจักษ์ได้ด้วยตนเองแล้วยกไว้นะครับ) แม้แต่ คนที่เชื่อเพราะ สมณะนี้เป็นอาจารย์ของตน ก็ไม่ควรไม่ใช่หรือครับ ---------------------------------------------------- "เธอตั้งอยู่ในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะความยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา." -- ผมอ่านแล้ว ได้ความว่าอย่างนี้ได้หรือเปล่า ครับ -- เธอตั้งอยูํ่ ใน สมถะและวิปัสสนา ย่อมทำให้ อาสวะทั้งหลายหมดไปได้ในที่สุด แต่ถ้าในที่สุดแล้ว อาสวะทั้งหลายไม่หมดไป เพราะว่า ยังมีความยินดีใน สมถะและวิปัสสนานั้น แต่ด้วย เพราะว่า สังโยชน์5 ที่เป็นเบื้องต่ำได้หมดไปแล้ว เธอย่อมเป็น"โอปปาติกะ" จะปรินิพพาน ในที่นั้น และจะไม่กลับจากโลกนั้นอีกเลย ------------------------------------------------------------------------ ผมไม่ได้ บอกว่าผม ถูกนะครับ แต่ เสนอ อีก ความเห็นหนึ่ง ที่ อ่านแล้วได้ความว่า อย่างนี้ ก็ได้ไม่ใช่หรือครับ โดยไม่จำเป็น ต้องไปเกี่ยวข้องกับ ภพอื่นโลกอื่น ไม่ได้บอกว่า ภพอื่นโลกอื่นไม่มี นะครับ หรือ ยอมรับไม่ได้ว่า ต่อให้ทำดีแทบตาย ถ้าไม่นิพพานแล้ว ก็จะไม่ได้ รับดีตอบแทนมา เพียงเพราะ ว่าไม่มีโลกหน้าให้รอรับผลดี ประมาณ ถ้าโลกหน้าไม่มี กรูจะทำดีไปทำไม ทำให้ชาตนี้สบายไม่ดีกว่าหรือ สรุป  ไม่ได้ทำดี เพราะว่าเป็น คนดี แต่ ทำดีเพราะอยากได้สิ่งดีๆ ตอบแทน หรือครับ เห็น สัมมาทิฏฐิ สองอย่างหรือเปล่า ครับ สาสวาสัมมาทิฏฐิ อนาสวาสัมมาทิฏฐิ ท่านเซนเน้นบ่อย นะครับ -------------------------------------------------- ขออภัย จขกท ด้วยนะครับ ที่ นอกเรื่องไปมากเลยครับ จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 20:39:44

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบพระคุณทุกคคห.ครับ ดูเหมือนว่าสามารถพิจารณาได้หลายประเด็นทีเดียว "เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา" -จากที่ทรงตรัสสอนนี้จะถูกต้องหรือไม่ครับว่า ณ.ขณะเมื่อสังโยชน์ ๕สิ้นไปนั้น  ย่อมเท่ากับว่าเป็นโอปปาติกะ ณ.ตอนนั้นเลย ? จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 21:01:38

ความคิดเห็นที่ 13 #12 ไม่ถูกนะครับ ท่านยังไม่มรณภาพ จะเป็นโอปปาติกะ ณ ตอนนั้น ได้อย่างไรครับ ---------------------------------------------------------------------- โอปปาติกะ แปลว่า ผู้ที่เกิดปฏิสนธิผุดขึ้นแล้วโตเต็มตัวทันที ถ้าจะกล่าวถึง พระอนาคามี ในส่วนโอปปาติกะ ก็คงได้เพียงนัยว่า หากท่านมรณภาพ(โดยที่ยังไม่บรรลุอรหันต์) กำเนิดในครรภ์ย่อมไม่มีแก่ท่านอีกแล้ว แต่จะมีแต่กำเนิดแบบ โอปปาติก ในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส เท่านั้น -------------------------------------------------------------------- การจะพยายาม เบี่ยงความหมายของ "โอปปาติกะ" ให้แปลว่า "ผู้บรรลุอนาคามิมรรค" ควรจะระวัง เพราะอาจเป็นความพยายาม เพื่อไม่ยอมรับ มิจฉาทิฏฐิข้อที่ ๘ ในนัตถิกมิจฉาทิฏฐิ ๑๐ อย่าง คือ ข้อ ๘ ความเห็นผิดว่า โอปปาติกสัตว์  คือ  เทวดา,  พรหม,  เปรต,  อสุรกาย,  และสัตว์นรgไม่มี (นตฺถิ  สตฺตา  โอปปาติกา) บุคคลบางกลุ่มที่กล่าวมานี้ เมื่อพวกเขาสามารถ เบี่ยงเบนความหมายของ โอปปาติกะ ไปเป็น อนาคามีบุคคลได้ ก็เท่ากับปฏิเสธสำเร็จว่า "ความเห็นว่า เทวดา พรหม ไม่มี" ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิ จึงควรระวังให้ดีในส่วนนี้ ไม่หลงผิดไปตาม เจตนาลึกๆที่บุคคลเหล่านี้มีแอบแฝงอยู่ ------------------------------------------------- จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 55 22:29:27

ความคิดเห็นที่ 14 ความหมาย คือ  ถ้ามนุษย์หรือเทวดาในชั้นกามาวจรทั้ง ๖ ชั้นนั้น  ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีแล้ว  และตายไปก่อนโดยยังไม่ทันได้เป็นพระอรหันต์  ...พระอนาคามีท่านนี้  จะไปเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่งใน ๕ ชั้นนั้น  ..แล้วจะไม่กลับมาเกิดในภพมนุษย์หรือสวรรค์ชั้นกามาวจรทั้ง ๖ ชั้นนั้นอีก  ... จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชั้นสุทธาวาสนั้นเลย เกิดในชั้นสุทธาวาสนั้นสูงๆไปเรื่อยๆ จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ไปเลยในที่สุด จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 05:12:29

ความคิดเห็นที่ 15 คคห.๑๓ ข้อ ๘ ความเห็นผิดว่า โอปปาติกสัตว์  คือ  เทวดา,  พรหม,  เปรต,  อสุรกาย,  และสัตว์นรgไม่มี (นตฺถิ  สตฺตา  โอปปาติกา) บุคคลบางกลุ่มที่กล่าวมานี้ เมื่อพวกเขาสามารถ เบี่ยงเบนความหมายของ โอปปาติกะ ไปเป็น อนาคามีบุคคลได้ ก็เท่ากับปฏิเสธสำเร็จว่า "ความเห็นว่า เทวดา พรหม ไม่มี" ************************************************* เรียนท่านชาวมหาวิหารดังนี้ครับ มิได้เบีี่ยงเบนความหมายของโอปปาติกะ หากแต่พิจารณาตามที่พระศาสดาตรัสสอนตามนี้ครับ บรรลุ ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป (๔) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปริ- *นิพพายี เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป ทีนั้น จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป (๕) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี ทีนั้น จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป (๖) ถ้าในปัจจุบัน ก็ไม่ได้บรรลุ ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ไม่ได้เป็น พระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี ทีนั้น จะได้เป็น พระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป (๗) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้ บรรลุ ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ไม่ได้เป็นพระ- *อนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี และไม่ได้เป็นพระอนาคา มีผู้สสังขารปรินิพพายี ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อโพชฌงค์ ๗ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้ ผลานิสงส์ ๗ ประการเหล่านี้ อันเธอพึงหวังได้. จบ สูตรที่ ๓ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=2271&Z=2285&pagebreak=0 "เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ " -ข้อที่ตรัสนี้เข้าใจว่าทรงตรัสถึง พระอนาคามีไม่ใช่หรือครับ ? (ซึ่งเนื่องด้วยที่ตรัสสอนที่กระผมยกมาด้านบน ซึงพระอนาคามีมีถึง ๕ ลักษณะ แต่ในทุกลักษณะนั้นคือ สิ้นไปด้วยสังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง๕ นั้น) และยังทรงตรัสว่า "เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ" -ข้อนี้ตรัสถึงผู้สิ้นสังโยชน์ ๕ (คือพระอนาคามีตามที่ผมแสดงข้างต้น) ย่อมเป็นโอปาติกะ จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการเบี่ยงเบนความหมายของโอปปาติกะนะครับ ? หากได้พิจารณาตามที่ทรงตรัสสอนไว้ ด้งที่ยกมา รวมทั้งแม้หากมีทิฏฐิว่า"พระอนาคามี ย่อมเป็นโอปปาติกกะ" ก็ไม่ได้มีความหมายโดยนัยตรงไหนเลยว่า เป็น การปฏิเสธ เทวดา พรหม ภพ ภูมิต่าง ๆ ? (เพราะความจริงคือ มีครับ) จากที่ทรงตรัส "เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ " กับ ที่ทรงตรัส " จิตเป็นต้นนั้น  ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป  ในกลางคืนและในกลางวัน ฯ" จะเข้ากันได้หรือไม่ว่า เมื่อจิตแห่งอนาคามีเกิดขึ้น"เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕" โดยดวงหนึ่งดับไป (ซึ่งประกอบด้วยสังโยชน์ทั้ง ๕ นั้นได้ดับไป) นี้คือ โอปปาติกะแห่งพระอนาคามี ? และไม่มีความขัดแย้งกับความหมายที่ ท่านชาวมหาวิหารเสนอคือ โอปปาติกะ แปลว่า ผู้ที่เกิดปฏิสนธิผุดขึ้นแล้วโตเต็มตัวทันที เพราะ "แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้น(ดังที่กล่าว)นั้น  ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป  ในกลางคืนและในกลางวัน ฯ" ซึ่งที่ผมเสนอนี้มิได้เป็นการปฏิเสธพระอรรถกาในเลยครับ  เพียงแค่แสดงถึงจุดไหนแน่จึงเป็น เหตุของโอปปาติกะแห่งพระอนาคามี  และยอมรับในพระอรรถถาด้วยว่าเข้ากันได้กับที่ทรงตรัส สอนเกี่ยวกับพระอนาคามีในลักษณะทั้ง ๕ นั้นด้วยครับ หากผมเสนอผิด ขอท่านทั้งหลายช่วยชี้แนะเป็นธรรมทานด้วยครับ จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 11:06:56

ความคิดเห็นที่ 16 คคห 13 ท่านยังไม่มรณภาพ จะเป็นโอปปาติกะ ณ ตอนนั้น ได้อย่างไรครับ (๑) เป็น โอปปาติกะ  แบบ "อัทธา ๓"  ตาม วิสุทธิมัคค์ ------ หรือ เปล่าครับ หรือว่า (๒) เป็นโอปปาติกะ ตาม นิพเพธิกสูตร -----> ดู นิพเพธิกสูตร  ภาค ภาษา บาลี ก่อน  ภาค พระบาลีแปลไทย  จะ พบคำว่า ------> ทิฏฐธรรม (ทันควัน)  หรือว่า  อุปปัชชะ (ถัดต่อมาจาก ทันควัน)  หรือว่า อปรปริยายะ (ถัดต่อมาอีก คือ ถัดต่อมาจาก อุปปัชชะ  <----- คุณนายอิ่ม ว่าไงครับ กำหนด โอปปาตืกะ  แบบ อัทธา ๓  คำใน วิสุทธิมัคค์  ใช่หรือไม่ หรือว่า กำหนด โอปปาติกะ ตาม นิพเพธิกสูตร  ที่ตรัส เรื่อง (๑) กรรม คือ เจตนา ฯ (๒) เหตุเป็นแดนเกิดพร้อมแห่งกรรม (นิทานสุมภวะแห่งกรรม) คือ ผัสสะ (๓) ความดับแห่งกรรม คือ ความดับแห่ง ผัสสะ  (ขั้นพระอนาคามี  แล้ว จึงขั้น พระอรหันต์)  (๔) วิบากแห่งกรรม  เป้นอย่างไร?  (ดู นะครับ) แล้ว พระอนาคามี สมัยพุทธกาล ---- ไม่ เกี่ยวกับ วิสุทธิมัคค์  และ อภิธัมมัตถสังคหะ ย่อม (๑) ชื่อว่า เป็นผู้เห็นซึ่งปฏิจจสมุปบาท  (แบบ ต่างไปจากที่ วิสุทธิมัคค์ เสนอ  และ ตาม อภิธัมมัตถสังคหะ ด้วย)  /เหตุ เกิด ผล คือ/ เป้นผู้ฉลาดใน วิบากแห่งกรรม (ตาม นิพเพธิกสูตร                                                สรุป "ดูเหมือนว่า"   คุณนายอิ่ม กำลัง พยายาม  "เสนออะไร สักอย่าง เพื่อ  ยืนยันว่า  วิสุทธิมัคค์  อธิบาย ปฏิจจสมุปบาท"  ตรงกับ                                        พระพุทธภาษิต ที่ตรัสว่า                 ---- ศาสดา และ สาวก ่อมกล่าวตรงกันในปฏิจจสมุปบาท ----                  แต่ ตามหลักฐานนี้ (ตามภาพ)  แปลว่า อะไรครับ  คุณนายอิ่ม สรุปในสรุป โอปปาติกะ ---- คือ พระอนาคามี  เท่านั้น  ผมยังหาไม่พบ ที่ถึง โอปปาติกะ คือ พระโสดาบัน  หรือว่า พระสกิทาคามี  ในพระสูตรไหน ดังนั้น โอปปาติกะ  "จากพระโอษฐ์"  -- จำเพาะ  แต่ "พระอนาคามี  ที่ผ่าน สกิทาคามี ผ่าน โสดาบันมาแล้ว" เนื่องด้วย คุณธรรม "ในธรรม วินัยนี้" -----  "คือ ----- ผู้มี ศีลสมบูรณ์ สมาธิสทบูรณ์ ปัญญาพอประมาณ"  (เหตุ  เกิดผล)  สิ้น ฉันทะราคะ คือสังโยชน์ ใน ขันธ์ทั้ง ๕  อันเป้นที่ตั้งแห่ง อุปาทาน ที่มี เพราะ มีตัณหา  "ตามกระแสปฏิจจสมุปบาทสาย สมุทโย  แบบ พระอนาคามี" ดังนั้น พระอนาคามี  ที่ตรัส  กี่ ชื่อ (ดูเหมือน ๔ ชื่อ ถ้าจำไม่ผิด)   ---- คือ โอปปาติกะสัตว์  (สัตว์ แปลว่า ผู้ข้องอยู่กับ ขันธ์ทั้ง ๕ ขั้น อนาคามิผล) ข้างบน ---- เสนอ นอกตำรา  แต่ อ้างอิง "พระสูตร" ฯ ที่เสนอ หาไม่พบ จาก  สถาบัน ต่อไปนี้ (๑) มหาจุฬาฯ  (ถ้า มี กรุณา เสนอด้วย เพื่อ ข้อมูลทางวิชาการ) (๒) มหามงกุฏฯ  (ถ้า มี กรุณา เสนอด้วย เพื่อ ข้อมูลทางวิชาการ) (๓) มหาเปรียญธรรมฯ (ถ้า มี กรุณา เสนอด้วย เพื่อ ข้อมูลทางวิชาการ) (๔) สายพระป่า (ถ้า มี กรุณา เสนอด้วย เพื่อ ข้อมูลทางวิชาการ) (๕) ฯลฯ  (ถ้า มี กรุณา เสนอด้วย เพื่อ ข้อมูลทางวิชาการ) หมายเหตุ คุณนายอิ่ม  ค้าน เพราะ ไม่เห็นด้วย ตรงไหน (ที่ละเรื่อง)  เชิญ ครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 11:40:40

ความคิดเห็นที่ 17 เรียนท่านเซนฯ ข้อที่ถามว่า คุณนายอิ่ม ว่าไงครับ กำหนด โอปปาตืกะ  แบบ อัทธา ๓  คำใน วิสุทธิมัคค์  ใช่หรือไม่ หรือว่า กำหนด โอปปาติกะ ตาม นิพเพธิกสูตร  ที่ตรัส เรื่อง (๑) กรรม คือ เจตนา ฯ (๒) เหตุเป็นแดนเกิดพร้อมแห่งกรรม (นิทานสุมภวะแห่งกรรม) คือ ผัสสะ (๓) ความดับแห่งกรรม คือ ความดับแห่ง ผัสสะ  (ขั้นพระอนาคามี  แล้ว จึงขั้น พระอรหันต์)  (๔) วิบากแห่งกรรม  เป้นอย่างไร?  (ดู นะครับ) -ไม่ใช่ครับ ไม่เกี่ยวกับคัมภีร์วิสุทธิมัคค์เลย  เนื่องด้วยแทบไม่ได้ศึกษาเลยครับ  อาศัยเฉพาะใบไม้ในกำมือพระศาสดาที่ทรงเลือกไว้ให้ดีแล้วก่อนครับ(ไม่ได้แสดงว่าไม่ให้ค่านะครับ  ให้ความเคารพในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์เช่นเดียวกับท่านอื่นที่ได้ศึกษาอยู่เช่นเดียวกัน  เพียงแค่พิจารณาเลือกศึกษาจากที่ตรัสสอนก่อน  ภายหลังเมื่อเข้าใจแล้วค่อยว่ากันใหม่) -และกำหนดโอปปากะอันคือพระอนาคามี ด้วยอัสสุวตาสูตรครับ (คคห.๑๕) จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 14:46:43

ความคิดเห็นที่ 18 ตอบ คุณนายอิ่ม การศึกษาพระสุตตันตปิฎก โดยเฉพาะที่แปลไทยมาแล้ว คุณควรจะต้องระวังให้มาก เพราะพระสูตรนั้น ทรงมีการแสดงด้วยโวหารต่างๆ ที่เหมาะไปแก่อัธยาศัยของเวไนยสัตว์ บางครั้งทรงกล่าวสั้นๆ บางครั้งทรงกล่าว โดยพิศดาร ดังนั้น คุณควรต้องศึกษาทั้ง พระไตรปิฎกบาลี และอรรถกถา ถ้าต้องการจะทำความเข้าใจลงลึกในบทใดๆ ไม่ควรมาดูเพียงแค่ ประโยคภาษาไทย แล้วก็ตีความเอาเอง(ตามนัยของบุคคลบางกลุ่ม) ประโยคว่า "เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ" โอปปาติกะ หมายถึง ความเกิดในครรภ์ของท่านไม่มีแล้ว หากมีการจุติและปฏิสนธิเพราะยังไม่บรรลุอรหันต์ก็จะมีแต่ กำเนิดแบบผุดเต็มตัวในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส นี่คือการใช้คำว่าโอปปาติกะในเรื่องพระอนาคามี มีความหมายในแง่นี้ ไม่ใช่ว่า "โอปปาติกะ" จะมีความหมายอีกอย่างว่า "ผู้บรรลุอนาคามิผล" แบบลอยๆ ในพระบาลีและอรรถกถาทุกแห่งก็ให้อรรถะคำว่า โอปปาติกะ ไว้ตรงกันหมด ว่าแปลว่า สัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นเต็มตัวทันที เรื่องนี้ ในกระทู้นี้หลายๆท่าน (คุณฐานาฐานะ คุณวิชา คุณโขตาน) ก็ได้อธิบายมาอย่างละเอียดแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่ที่คุณแล้วว่าจะพยายามทำความเข้าใจให้ถูกหรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 55 17:24:15 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 55 17:04:13 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 17:02:45

ความคิดเห็นที่ 19 ขอขอบพระคุณท่านชาวมหาวิหารครับ   ยอมรับว่าในชั้นต้นนี้ผมเพียงแค่ใช้จินตยมปํญญาเท่านั้น ในการพิจารณาที่ทรงตรัสสอน จึงทำความเข้าใจไปตรง ๆ ตามพยัญชนะนั้นครับ สำหรับคำแนะนำ  เพื่อความไม่ประมาท ในคำตักเตือนของท่านผมจะพิจารณาให้แยบคายยิ่ง ๆ ขึ้นไปครับ ทั้งนี้ทิฏฐิที่ผมแสดงออกไปย่อมอาจผิดได้  เพราะตนเองไม่ได้รู้ชัดตามจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ยังมีครบด้วยราคะ โทสะ โมหะ อยู่ แต่ก็จะเพียรพยายามในศีล สมาธิ ปัญญา ต่อไปครับ โดยย่อมมีกัลยาณมิตรเช่นท่านทั้งหลาย เป็นปัจจัยให้บรรลุถึงวิชชาและวิมุตติต่อไปครับ ขอบพระคุณทุก ๆ ท่านครับ _/\_ จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 18:36:13

ความคิดเห็นที่ 20 อนุโมทนาสาธุนะครับ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 55 21:38:21

ความคิดเห็นที่ 21 ตกลง เมื่อ รู้ เพราะ อ่าน ที่ผมเสนอ + หลักฐาน คุณนายอิ่ม กำหนด  แบบไหนครับ ? ขอคำตอบ ครับ ********************************************************* ผมถามตรงข้อความนี้ นะครับ -และกำหนดโอปปากะอันคือพระอนาคามี ด้วยอัสสุวตาสูตรครับ (คคห.๑๕) กำหนด แบบ ปรมัตถ์ ๔ มี จริง  ตาม แบบ อภิธัมมัตถสังคหะ  ใช่ไหมครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:38:51

ความคิดเห็นที่ 22 กระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11712106/Y11712106.html กำหนด ตาม -- (-และกำหนดโอปปากะอันคือพระอนาคามี) ด้วยอัสสุวตาสูตรครับ (คคห.๑๕) ใช่ไหมครับ ผม เสนอว่า เจ้าชายสิทธัตตถะ ตอน 7 ขวป ทรงสามารถใน รูปฌานที่ ๑   แล้ว ทรง "อนาคามี"  ตอนไหน  ตาม พุทธประวัติ ตรัสเอง --ดู ในพุทะประวัติจากพระโอษฐ์ ฯ นะครับ                                                      ตกลง พระโพธิสัตว์สิทธัตถะ  ทรง ผ่าน คือ เป็น โอปปาติกะ ผู้ อนาคามี ไหม? (แบบ ที่ยังไม่ตายเข้าโลงด้วย) สรุป ศึกษา พุทธประวัติ จากพระโอษฐ์ คือ ตรัสเอง ไหมครับ จะได้ ไม่ เสียเวลา ตั้งกระทู้ ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:42:59

ความคิดเห็นที่ 23 คำว่า โอปปาติกะ   http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11709750/Y11709750.html คคห 18  เสนอ คำว่า โอปปาติกะ ผมเสนอ ความคิดเห็นที่ 19 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน คำว่า ไม่มีสัตว์ (ผู้ข้องกับ ขันธ์ทั้ง ๕ ตรัสความหมายของคำว่า สัตว์) ที่เป็น โอปปาติกะ  (คือ พระอนาคามี  ใน ธรรม วินัย ของพระพุทธองค์  พระอนาคามี ลัทธิอื่น ไม่ใช่ โอปปาติกะ  ตาม ที่ตรัสด้วย อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ) 3 บรรทัดบน  คือ  ความหมายของคำว่า "ไม่มีสัตว์ ที่เป็นโอปปาติกะ"  แบบ ที่ ไม่ เกี่ยวกับ " อัทธา ๓  ตาม ที่ วิสุทธิมัคค์ เสนอไว้" แต่ เนื่องกับ "พระพุทธภาษิต  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษา มา" (เนื่องกับ อัสสุตวตาสูตร นั่นแหละ) หมายเหตุ คคหนี้ เสนอแก่ ใคร ก็ตาม ที่ รู้ตัวเองว่า "น่าจะ ยัง ศึกษา พุทธศาสนา ไม่เพียงพอ" ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) [Bloggang] เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:31:04 [แก้ไข] หมายเหตุ พระอนาคามี ลัทธิอื่น เขา ก็มี  และ  คือ โอปปาติกะ  แบบ อวิชชา แม่ ของ สัสสตทิฏฐิ มั้งครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:48:12

ความคิดเห็นที่ 24 ความคิดเห็นที่ 21     ตกลง เมื่อ รู้ เพราะ อ่าน ที่ผมเสนอ + หลักฐาน คุณนายอิ่ม กำหนด  แบบไหนครับ ? ขอคำตอบ ครับ ********************************************************* ผมถามตรงข้อความนี้ นะครับ และกำหนดโอปปากะอันคือพระอนาคามี ด้วยอัสสุวตาสูตรครับ (คคห.๑๕) กำหนด แบบ ปรมัตถ์ ๔ มี จริง  ตาม แบบ อภิธัมมัตถสังคหะ  ใช่ไหมครับ -กำหนดด้วยอัสสุวตาสูตร  และโดยทิฏฐธรรมครับ จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 11:27:48

ความคิดเห็นที่ 25 ก็คำว่า -- -กำหนดด้วยอัสสุวตาสูตร  และโดยทิฏฐธรรมครับ นั้น เมื่อ (๑) -ไม่ใช่ครับ ไม่เกี่ยวกับคัมภีร์วิสุทธิมัคค์เลย  เนื่องด้วยแทบไม่ได้ศึกษาเลยครับ  (คคห 17) แล้ว (๒) ไม่ใช่ครับ  ไม่เกี่ยวกับ "อภิธัมมัตถสังคหะเลยด้วย" เนื่องด้วยแทบไม่ได้ศึกษาเลยครับ ---ด้วยไหมครับ? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 17:00:31