|
นิพพานเป็นธรรมชาติที่ไม่มีขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีธาตุดิน น้ำ ลมไฟ ดังนั้นจะตอบว่ามีอยู่ในตัวเราแล้วก็ไม่ควร จะตอบว่าไม่มีอยุ่ในตัวเรา ก็ไม่ควร จะตอบว่ามีในจิตก็ไม่ควร ไม่มีในจิตก็ไม่ควร
แต่นิพพานมีอยุ่ แล้วเป็นปรมัติธรรม
ในเกวัฏฏสูตร ทีฆนิกาย ๒ พระพุทธเจ้า ได้ทรงสอนชายหนุ่ม๓ ชาวเมืองนาลันทา ซึ่งเป็นผู้มีสกุลคนหนึ่งผู้เข้าไปเฝ้าพระองค์ ด้วยประสงค์จะให้ทรงตั้งภิกษุผู้สามารถแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้สักรูปหนึ่ง เพื่อแสดงปาฏิหาริย์นั้น กลับใจคนมั่งมีชาวเมืองนาลันทา อันเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ พระองค์ตรัสบอกเขาว่า มีวิธีกลับใจคนอยู่ ๓ วิธี ซึ่งทรงทำให้แจ้งด้วยพระองค์เอง คือ อิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ (Exhibition of miracles) อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจเป็นอัศจรรย์ (Mental telepathy) และ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ สั่งสอนเป็นอัศจรรย์ (Moral Exhortation) ซึ่งแม้ว่าพระองค์จะสามารถกระทำฤทธิ์ได้ อ่านความคิดของคนอื่นได้และทำให้พวกเขาเชื่อฟังพระโอวาทได้ก็จริง ถึงกระนั้น ก็พอพระประสงค์จะเลือกเอาวิธีสอนโดยยกความจริงขึ้นแสดงมากกว่า เพราะวิธีที่ว่านี้จะถาวรดีกว่า ๒ วิธีข้างต้น ๔ เหตุว่า มายาการหรือนักเล่นกล (Magicians) บางคน ผู้ฝึกหัดชำนาญคันธาริวิชชา๕ และมณิวิชชา๖ แล้วก็สามารถใช้มายาแสดงสิ่งแปลก ๆ ได้; ดังนั้นความจริงจึงมีค่ามากกว่าการแสดงปาฏิหาริย์
พระองค์ได้ทรงยกตัวอย่างแห่งข้อนี้ โดยเล่าเรื่องของภิกษุรูปหนึ่ง ผู้มีกำลังฤทธิ์ สามารถที่จะไปยังสวรรค์ชั้นเทวดา และชั้นพรหมอันสูงยิ่งได้ ดั่งต่อไปนี้:
ครั้งหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง ผู้สำเร็จฌานสมาบัติ เกิดความคิดที่จะค้นหาว่า ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ และ ลม จะดับไปโดยไม่มีส่วนเหลือ ในที่ไหน ? เมื่อไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยตนเอง จึงไปหาท้าวมหาราช๗ ทั้ง ๔ ด้วยกำลังฤทธิ์ และขอร้องให้ตอบปัญหาที่ว่าธาตุทั้ง ๔ จะดับไปโดยไม่มีส่วนเหลือในที่ไหน ? ท้าวจาตุมหาราชตอบว่า พวกตนไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ และขอให้ภิกษุนั้นไปหาท้าวสักกะ หรือที่เรียกกันว่า พระอินทร์ เธอจึงได้ไปขอให้พระอินทร์ตอบปัญหานี้ แต่พระอินทร์ได้อ้างถึงเทวดาที่สูงขึ้นไปแก่เธอจากสวรรค์ชั้นแรก เธอได้ขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นเหนือขึ้นไป และในสวรรค์ทุกชั้น เธอได้ถูกบอกให้ไปหาเทวดาแห่งสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไปโดยลำดับ ในที่สุด เธอได้มาถึงสวรรค์ชั้นพรหม เมื่อเข้าไปยังพรหมสภา ก็ได้พบพวกเทวดา๘ ผู้เป็นบริวารของพระพรหม ซึ่งพากันมาเพื่อถวายอภิวาทน์แด่พระพรหม เธอได้ขอร้องเทวดาทั้งหลายผู้ประชุมกันอยู่นั้น ให้ตอบปัญหาของเธอที่ว่า ธาตุทั้ง ๔ จะดับไปโดยไม่มีส่วนเหลือในที่ไหน ? เทวดาเหล่านั้นตอบว่า เนื่องจากพระพรหม๙ เองก็ได้ถูกหวังว่าจะมาถึงในไม่ช้า และรัศมีของพระพรหมก็จะปรากฏ เธอคอยพบองค์พระพรหมดีกว่า
ชั่วเวลาเล็กน้อย พระพรหมก็เสด็จมาและประทับนั่งเหนือพระที่สำหรับประมุข ซึ่งได้ถูกจัดไว้สำหรับพระองค์ ภิกษุรูปนั้นจึงกล่าวกะพระพรหมว่า เธอมาเพื่อขอถามปัญหาว่าธาตุ๑๐ ทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ดับไปโดยไม่มีส่วนเหลือในที่ไหน ? พระพรหมทรงอึ้งและดำริว่า นี้คือสถานซึ่งภิกษุรูปนี้มาพร้อมกับปัญหา เราเองก็เชื่อว่าเราไม่รู้ แต่แม้เช่นนั้น ก็ไม่ควรที่เราจะแสดงความไม่รู้ของเราออกมา เพราะว่าบริวารของเราเหล่านี้ทั้งหมด ได้เชื่อถือว่า เราเป็นผู้สร้าง (The creator) และจักไม่เป็นการดีแก่เราที่จะพูดว่า เราไม่รู้ ฉะนั้น เราจะต้องใช้ศิลปะแห่งการหลบเลี่ยงเธอ โดยตอบเธอไปเสียอย่างอื่น และแล้วพระพรหมก็เริ่มขึ้นว่า “ข้าพเจ้าเป็นพระพรหม เป็นมหาพรหมเป็นอภิภู (The supreme Being) เป็นผู้อันใครครอบงำไม่ได้๑๑ (The unserpassed) เป็นผู้รู้เห็นสิ่งทั้งปวง๑๒ (The perceiver of all things) เป็นผู้บังคับบัญชา๑๓ (The controller) เป็นผู้เป็นใหญ่แห่งสิ่งทั้งปวง๑๔ เป็นผู้กระทำ เป็นผู้นิรมิต เป็นหัวหน้า เป็นผู้ชนะ๑๕ (victor) เป็นผู้ปกครอง เป็นบิดาของสัตว์ทั้งปวง ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็นอยู่๑๖ ”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นจึงกล่าวว่าข้าพเจ้าไม่ต้องการรู้ว่า ท่านเป็นอะไรเลยต้องการรู้ว่า ธาตุทั้ง ๔ ดับไปโดยไม่มีส่วนเหลือในที่ไหนต่างหาก พระพรหมก็กล่าวซ้ำลำดับพระนามของพระองค์อีก ภิกษุนั้นยืนคำอยู่ว่า เธอไม่ต้องการรู้ว่า พระพรหมเป็นอะไรเธอข้องใจ แต่จะรู้เรื่องความดับแห่งธาตุทั้ง ๔ ครั้งที่ ๓ พระพรหมลุกขึ้นจากอาสน์ของพระองค์มายังที่ของภิกษุนั้น จับเธอที่แขนนำไป ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้วกล่าวกะภิกษุนั้นดังต่อไปนี้ :-
“ดูเถิดท่าน เทวดาในชั้นของข้าพเจ้าเหล่านี้ พากันเชื่อถือว่า พระพรหม เป็นผู้เห็น เป็นผู้รู้ และซึมซาบสิ่งทั้งปวง และข้าพเจ้าก็ไม่ต้องการจะสารภาพความไม่รู้ของข้าพเจ้าต่อหน้าพวกเหล่านี้ แต่ความจริง ตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้เลยเหมือนกัน ถึงความดับแห่งธาตุทั้ง ๔ นั้น ท่านต่างหากทำไม่ดี ที่มาหาข้าพเจ้าโดยละเลยพระพุทธเจ้าเสีย จงไปหาสมเด็จพระผู้มีพระภาคและขอให้พระองค์ทรงอธิบายปัญหานี้แก่ท่าน พระองค์อธิบายอย่างไร จงทรงไว้อย่างนั้นเถิด”
ด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ ภิกษุรูปนั้น ได้จากพรหมโลกไปปรากฏอยู่ ณ ที่เฉพาะพระพักตรแห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามปัญหานั้น และพระองค์ก็ได้ตรัสตอบเธอ (ต่อนี้ไปคือคำถามคำตอบซึ่งได้แปลงเป็นสำนวนกวีในภาษาอังกฤษ )
“O where doth water' where doth earth .
And fire and wind no footing find ?
And where doth long and where doth short.
And fine and coarse and good and bad.
And where do name and Form both cease
And turn to utter nothingness ?
ln consciousness lnvisible.
And lnfinite of Radiance bright.
O there doth water, there doth earth,
And fire and wind no footing find๑๗.
warren
(ถาม) น้ำ ดิน ไฟ ลม ย่อมไม่หยั่งลง๑๘ ในที่ไหน า (อุปาทายรูป๑๙) ที่ยาว สั้นละเอียด หยาบ งาม ไม่งาม และ นามรูป ย่อมดับไปไม่เหลือในที่ไหน ?
(ตอบ) สิ่งเหล่านั้น ย่อมไม่หยั่งลงและดับไป ไม่มีส่วนเหลือในนิพพาน๒๐ อันใช่วิสัยของจักษุ และมีสัพพโตปภะ๒๑ หาที่สุดมิได้เพราะดับวิญญาณ เสียได้ ธาตุ ๔ เป็นต้นนั้นย่อมดับไปไม่มีส่วนเหลือ
แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 10:39:04
จากคุณ |
:
aunemaek2
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ก.พ. 55 10:32:07
|
|
|
|
|