ความคิดเห็นที่ 1 เป็นเรื่องธรรมดา มีเข้า มีออก ขอให้มีความสุข กับสิ่งที่ตัวเองเลือกค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:03:06

ความคิดเห็นที่ 2 ถามนิดนึงครับ ในบัตรประชาชน หรือเอกสารราชการอื่นๆ เปลี่ยนกลับหรือยังครับ? จริงๆ เปลี่ยนได้นะครับ ไม่ผิดกฎหมายหรอกครับ จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:09:50

ความคิดเห็นที่ 3 นี้คือสาเหตุหนึ่งครับที่หนุ่มสาวมุสลิมมักโดนกีดกันจากพ่อแม่และเครือญาติในกรณีที่แต่งงานกับคนต่างศาสนา เพราะเค้ากลัวเรื่องการเลิกกันแล้วลูกหลานของพวกเขาจะเป็นศาสนิกอื่น แต่เรื่องนับถือศาสนาใดเป็นสิทธิของบุคคลนั้นๆ แต่ขอชื่นชม จขกท และครอบครัว ที่เคร่งในศาสนาทีตัวเองเลือก จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:15:58

ความคิดเห็นที่ 4 จริงๆแล้วมันมีปัญหาตั้งแต่ตอนเข้ารับอิสลามแล้วเพราะเข้ารับโดยมีสาเหตุอื่น ไม่ได้เข้ารับ เพราะเชื่อว่ามีผู้สร้างเพียงองค์เดียว และเชื่อว่ามูฮัมหมัดคือศาสนทูตของพระองค์ อีกอย่างผมคิดว่า คุณแม่คงยังไม่ใช่ ผู้รู้ ตื่นและเบิกบาน ตามคำสอนของพระพุทธองค์  เพราะยังไหว้รูปปั้น ซึ่งศาสดายังไม่ได้สั่ง  ถ้าเป้นกรณีอิสลาม(เพิ่มเติมในสิ่งที่ศาสดาไม่ได้บอกให้ทำในการปฎิบัติศาสนกิจ)จะถือว่าหลงทางเป็นบาปใหญ่ เพราะถือเป็นการอุตริกรรม เช่น มุสลิมบางกลุ่มจัดงานรำลึกถึงวันเกิดของท่านศาสดามูฮัมหมัดมีการยืนสรรเสริญท่าน  โดยที่ท่านไม่ได้สังและเป็นที่รู้กันว่าท่านศาสดาเกลียดคนที่ยืนเคารพท่าน(ท่านอนัส บิน มาลิก เล่าว่า "ไม่มีอีกแล้วในโลกนี้บุคคลที่พวกเขา(ศอหาบะฮ์)อยากจะเจอหน้ายิ่งไปกว่าท่านรอซูลแต่เมื่อพวกเขาเจอท่านพวกเขาไม่เคยยืนขึ้นให้เกียรติท่านเลยเพราะรู้ว่าท่านรังเกียจพฤติกรรมเหล่านี้" ดู บุคอรีในอัลอะดับอัลมุฟร็อด หะดีษที่ 946 อัตติรมีซีย์ หะดีษที่ 2754 อัฏฏอหาวีย์ในมุชกิลอัลอาษาร หะดีษที่ 1276 อะห์มัด เล่ม 3 หน้า 132 ) """"บิดอะฮฺ (อุตริกรรมในศาสนาของอัลลอฮฺ)"""" แปลโดย :  มุฮาญิรีน                                               คำว่าบิดอะฮฺในความหมายทางภาษาศาสตร์หมายถึง ‘สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่’ ส่วนนิยามของคำว่าบิดอะฮฺในทางชะรีอะฮฺหมายถึง “แนวทางใหม่ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น(ทั้งทางความเชื่อและการปฏิบัติ)ในศาสนา, ในการตักลีดเรื่องชะรีอะฮฺ(ข้อบังคับ) เพื่อแสวงหาความใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ แต่ไม่ได้เป็นสิ่งมาจากหลักฐานที่เชื่อถือได้ ไม่รู้ที่มาหรือวิธีการปฏิบัติของมัน” อัล-อิอฺติซาม ของ อัช-ชาติบีย์ (1/37) ท่านรสูลุลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)กล่าวว่า “ทุกๆบิดอะฮฺนั้นหลงผิดและออกนอกลู่นอกทาง” บันทึกโดยอบูดาวูด(ลำดับที่ 4607), อัต-ติรฺมิซีย์(ลำดับที่2676) อิบนุ หะญัรฺ รับรองไว้ว่าเศาะฮิ้หฺ ในตัครีจ อะหะดีษ อิบนุล-ฮาญิบ (1-137) และตัวท่าน(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)ได้กล่าวไว้อีกว่า “...และทุกๆบิดอะฮฺนั้นหลงผิด และทุกๆความหลงผิดนั้นอยู่ในนรก” บันทึกโดยอัน-นาสาอีย์(1/224) จากญาบิรฺ บิน อับดุลลอฮฺ และท่านเชคุล-อิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺกล่าวว่าเศาะฮิ้หฺ ในมัจญ์มูอฺ อัล-ฟัตวา (3/58) ท่านรสูล(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)ยังห้ามไม่ให้เราไปเป็นมิตร, สนับสนุนหรือคุยกับคนที่ทำบิดอะฮฺ ดังที่หะดีษกล่าวว่า “ใครก็ตามที่ทำบิดอะฮฺหรือปรองดองกับผู้ที่ทำบิดอะฮฺ คำสาปแช่งจากอัลลอฮฺ, บรรดามลาอิกะฮฺของพระองค์ และมนุษชาติทั้งปวง จะตกอยู่ที่เขา” บันทึกโดยบุคอรีย์(12/41)และมุสลิม(9/140) และตามรอยเท้าของท่านนั้น เราจะพบว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺผู้แสนประเสริฐทั้งหลายและบรรดาตาบิอีนได้เตือนถึงอันตรายของบิดอะฮฺที่มีต่อประชาชาติ และความเป็นเอกภาพ นับตั้งแต่บิดอะฮฺได้สร้างความแตกแยกแก่ประชาชาติให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ท่านอิบนุ อับบาส(เสียชีวิตปี ฮ.ศ.68)กล่าวว่า “แท้จริงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงเกลียดชังที่สุดคือบิดอะฮฺ” บันทึกโดย อัล-บัยหะกีย์ ใน อัส-สุนัน อัล-กุบรอ (4/316) ท่านอิบนุ อุมัรฺ(เสียชีวิตปี ฮ.ศ.84)กล่าวว่า “ทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด ถึงแม้ว่าผู้คนจะเห็นว่ามันดีงามก็ตาม” บันทึกโดย อบูชามะฮฺ (ลับดับที่ 39) ท่านอะหฺมัด อิบนุ ฮัมบัลได้กล่าวว่า “คนบาป(ฟาสิก)ที่สุดในหมู่ชาวสุนนะฮฺ ยังประเสริฐกว่าคนที่เคร่งครัดที่สุดในหมู่ชาวบิดอะฮฺ” ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ มัสอูด(รอฎิยัลลอฮุอันฮุ)กล่าวว่า “จงตามและจงอย่าทำบิดอะฮฺ, สำหรับพวกท่านนั้นได้รับในสิ่งที่เพียงพอแล้ว และทุกๆบิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด” บันทึกโดยอบูคัยษะมะฮฺ ใน กิตาบุล-อิลมฺ (ลำดับที่ 540) และเชคอัลบานีย์กล่าวว่าเศาะฮิ้หฺ ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อับบาส(รอฎิยัลลอฮุอันฮุ)ได้กล่าวอีกว่า “เมื่อใดบิดอะฮฺถูกสร้างขึ้น เมื่อนั้นสุนนะฮฺก็ตาย และจะเป็นเช่นนี้จนกระทั่งบิดอะฮฺดำรงอยู่และสุนนะฮฺได้ตายจากไป” ท่านอัล-อิรฺบาด อิบนุ ซารียะฮฺ(รอฎิยัลลอฮุอันฮุ)รายงานว่าท่านรสูลกล่าวว่า “...ฉันได้ทิ้งคำชี้นำที่ชัดเจนแก่พวกท่านแล้ว กลางคืนของมันนั้นเหมือนกลางวัน จะไม่มีใครหันเหไปจากมันนอกจากว่าเขานั้นได้ทำลายมัน” บันทึกโดยอะหฺมัด, อิบนุ มาญะฮฺ (ลำดับที่ 43) และอัล-หากิม และเชคอัลบานีย์ว่าเศาะฮิ้หฺ ในอัศ-เศาะฮิหะฮฺ (ลำดับที่ 937) อัล-มัรฺวาซีย์ได้รายงานใน อัส-สุนนะฮฺ (ลำดับที่ 95) ว่าท่านอุมัรฺ อิบนุ อับดุลอะซีซกล่าวว่า “ไม่มีข้ออ้างสำหรับคนหนึ่งคนใดว่าเขาหลงทาง หลังจากที่สุนนะฮฺได้มายังพวกเขาแล้ว ซึ่งเขาเห็นว่ามันคือทางนำ” ท่านหะสัน อิบนุ อัฏฏิยะฮฺ ตาบิอีนท่านหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อใดที่ผู้คนยอมรับบิดอะฮฺ อัลลอฮฺก็จะนำสุนนะฮฺออกจากพวกเขา และจะไม่คืนกลับให้จนกระทั่งวันกิยามะฮฺ” ท่านอัล-บารฺบาฮารีย์ อุละมาอฺยุคเก่าท่านหนึ่งในกลุ่มของอิมามอะหฺมัด อิบนุ ฮัมบัลกล่าวว่า “จงระวังบิดอะฮฺ เพราะว่าทุกๆบิดอะฮฺมันเริ่มจากสิ่งเล็กๆซึ่งดูคล้ายคลึงกับของจริง ซึ่งผู้คนก็โง่เขลาไปเจริญรอยตามมัน จนกระทั่งมันเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นแล้วผู้คนก็ตกหลุมพราง ซึ่งมันได้พาพวกเขาออกจากอิสลาม” เชค อัล-บารฺบาฮารีย์(เสียชีวิตปี ฮ.ศ.329)ครั้งหนึ่งได้กล่าวว่า “ขออัลลอฮฺทรงเมตตาพวกท่าน พวกท่านจงรู้ไว้ว่าศาสนานี้มาจากอัลลอฮฺผู้ทรงจำเริญผู้ทรงสูงส่ง มันไม่ใช่สิ่งที่มาจากปัญญาและความเห็นของมนุษย์ ความรู้ของมันมาจากอัลลอฮฺและรสูลของพระองค์ ดังนั้นจงอย่าปฏิบัติอะไรตามพื้นฐานความต้องการของท่าน และอย่าหันเหออกไปจากศาสนาและทิ้งอิสลาม ไม่มีข้ออ้างสำหรับพวกท่านนับตั้งแต่รสูลุลลอฮฺได้อธิบายสุนนะฮฺแก่ประชาชาติของท่าน และได้ให้ความกระจ่างชัดแล้วแก่บรรดาเศาะหาบะฮฺ พวกเขาคือญะมาอะฮฺ และพวกเขาคือกลุ่มใหญ่ที่เป็นเนื้อแท้ และเนื้อแท้นั้นคือสัจธรรม รวมทั้งผู้ที่เจริญรอยตาม” และเรื่อง(บิดอะฮฺ)นี้ยังได้ถูกชี้แจงไว้โดยอิมามมาลิก(รอฮิมาฮุลลอฮฺ) ในรายงานคำพูดของเขาซึ่งยอดเยี่ยมสมควรที่จะใส่กรอบทองไว้ ซึ่งเขากล่าวว่า “ใครก็ตามที่นำบิดอะฮฺเข้ามาสู่อิสลาม โดยที่เขาเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดี นั่นหมายความว่าเขาได้กล่าวหาว่าท่านมุฮัมมัดได้ทรยศต่อ(หน้าที่)การนำสาสน์ของท่าน โปรดอ่านพระดำรัสของอัลลอฮฺผู้ทรงอำนาจผู้ทรงยิ่งใหญ่: ‘วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้า และข้าได้ให้ความครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้า’ [สูเราะฮฺ อัล-มาอดะฮฺ 3] ดังนั้นอะไรก็ตามที่ไม่ใช่(ส่วนหนึ่งของ)ศาสนาในวันนั้น มันก็ไม่ใช่(ส่วนหนึ่งของ)ศาสนาในวันนี้ และจะไม่มีสิ่งใดถูกแก้ไขในยุคหลังของประชาชาตินี้ นอกจากว่าสิ่งนั้นจะถูกแก้ไขไว้ตั้งแต่ตอนต้นแล้ว” ท่านอิบนุ ตัยมียะฮฺ ได้ให้บทความดีๆไว้ในหนังสือของท่านว่า “แท้จริง การกุฟรฺของชาวยิวและชาวคริสต์นั้นก็เริ่มมาจากบิดอะฮฺ พวกเขานำสิ่งใหม่เข้ามาสู่ศาสนา และสิ่งเหล่านั้นนำพาพวกเขาออกจากศาสนาที่แท้จริงของมูซาและอีซา อะลัยฮุมมะสลาม” ท่านอิบนุ ก็อยยิม อัลเยาซียะฮฺ กล่าวว่า “การทำสงครามกับกลุ่มบิดอะฮฺนั้นยิ่งใหญ่กว่าการทำสงครามกับ   มุชริกีน” แปลจาก   http://www.allaahuakbar.net/bidah/index.htm แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 10:47:28 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 10:34:45 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 10:28:53 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:27:00

ความคิดเห็นที่ 5 น้องชายอายุไม่ครบบวชพระ ก็บวขเณรได้ครับ จะศาสนาไหน ก็ตามขอให้ปฏิบัติ ถึงแก่นของศาสนานั้น ๆ   ไม่ใช่เพียงแค่กอดลูบคลำคัมภีร์ แล้วเกิดวิปลาส ว่าเข้าถึงศาสนา คัมภีร์ แต่ละศาสนา มันเป็น ภาษาธรรม ที่บันทึกด้วย ภาษาคน การนำเอาความเข้าใจแบบภาษาคน ไปตีความภาษาธรรม มันก็ทะเลาะกันไม่จบสิ้น ระหว่าง ศาสนิกเดียวกัน หรือต่างศาสนิก การฆ่าที่ไม่บาป และได้บรรลุธรรม ในพุทธศาสนา ก็มี คือการฆ่า กิเลส ในใจตนเอง ไม่ใช่หยิบดาบถือระเบิด ไปฆ่าผู้อื่นที่ต่างศรัทธา เพื่อบูชา ใครใคร จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:39:41

ความคิดเห็นที่ 6 น่าสงสาร จากคุณ : Sleeping เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:48:25

ความคิดเห็นที่ 8 บรรทัดสุดท้ายของคุณ AvijJA หวังว่าคงจะไม่ได้หมายถึงศาสนาอิสลาม เพราะ ศาสนาอิสลามก็ไม่ได้สอนแบบนั้น ไม่ได้สอนให้ฆ่าผู้อื่นที่ต่างศรัทธา(เนื่องเพราะว่าเค้าไม่ได้นับถืออิสลาม) แต่อนุญาตให้ฆ่าได้นั้นคือ การฆ่าในภาวะสงคราม ต่อสู้กับข้าศึกเพื่อป้องกันตนเอง และ รักษาไว้ซึ่งอธิปไตยเท่านั้น จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:52:21

ความคิดเห็นที่ 9 มนุษย์ทุกคน มีความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในตนเองด้วยกันทั้งนั้น แต่การจะพบ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในตนเอง มันต้องเปิดหา ด้วยตนเอง ไม่ใช่การไปทำตามคำสั่งของใครใคร อย่างเคร่งครัด ไม่ต้องคิด ไม่ต้องหาเหตุผล โดยหวังว่าเขาจะเปิดความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ให้เรา นำพาเราไปสู่ปลายทางไหนต่อไหนได้ จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:52:24

ความคิดเห็นที่ 10 """"ท่านอิบนุ ก็อยยิม อัลเยาซียะฮฺ กล่าวว่า “การทำสงครามกับกลุ่มบิดอะฮฺนั้นยิ่งใหญ่กว่าการทำสงครามกับ   มุชริกีน”""" ""การทำสงครามในความหมายอิสลาม"" หมายถึงเมื่อถูกรุกรานหรือกำลังจะถูก(อีกฝ่ายมีการเตรียมการ ฝ่าฝืนขอสัญญาที่ตกลงกันไว้หรือขัดขวางการปฎิบัติศาสนกิจและการเผยแพร่ศานาอิสลาม ) เพราะอิสลามห้ามการรุกราน จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:53:39

ความคิดเห็นที่ 11 บรรทัดสุดท้ายของผม ใน คห 5 . . .  มีตรงไหนหรือ ที่ทำให้เข้าใจว่า หมายถึง ศาสนาอิสลาม ? ? ? ? จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 10:59:21

ความคิดเห็นที่ 12 จิตของตนเองเป็นที่ตั้ง อยู่แบบใดสุขก็ให้เป็บแบบนั้นไปเถอะค่ะ จากคุณ : zona เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 11:01:27

ความคิดเห็นที่ 13 ศรัทธา คือ  ความเชื่อ บวกกับ ความเห็นที่เป็นจริงตามธรรมชาตินั้นที่ถูกต้องไปตามลำดับ.   เมื่อศรัทธาในพุทธศาสนา ก็จงปฏิบัติให้เป็นผู้ รู้แจ้งซึ่ง 1.ทุกข์  2.เหตุแห่งทุกข์ 3.ความดับทุกข์ 4.วิธีดับทุกข์  นั้นก็คือรู้แจ้งใน อริยสัจ 4  นั้นเอง    คือหาได้มุ่งไปที่ตัวตนบุคคลใดๆ เป็นการหลุดพ้นด้วยปัญญา ด้่วยพละแห่งตนนั้นเอง. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 11:14:33

ความคิดเห็นที่ 14 คุณแม่ไหว้รูปปั้น แต่จิตถึงพระพุทธเจ้า เป็นอนุสติ อนุโมทนาครับ บาปกรรมนั้นมีอยู่ คนน้อยนักที่จะหวั่นเกรงโดยการแสดงธรรมอันลามก จากคุณ : kiarati เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 12:34:24

ความคิดเห็นที่ 15 ไม่ใช่แค่ครอบครัวคุณเท่านั้น ที่เคยเป็นมุสลิมแล้วต่อมา ก็เปลี่ยนไปรับศาสนาอื่น เรื่องแบบนี้มีกันในทุกศาสนา หรือแม้แต่ศาสนาเดียวกันแต่ต่างนิกายก็มี ในทางกฎหมาย สากลนั้น ไม่ถือว่าผิดหรือห้าม แต่ในทางศาสนาด้วยกัน แล้ว ไม่อาจจะเรียกได้ว่า มีความเต็มอกเต็มใจให้สามารถ ทำได้โดยไม่รู้สึกที่เป็นลบ ไม่ว่าศาสนาไหน ทุกศาสนาเลย ต่อเรื่องความรู้สึกที่ว่านี้ ผมได้อ่านจากในเน็ตนี่แหละ แต่จำไม่ได้ว่าเป็นเว็บไหน ที่ ครอบครัวคริสต์คาทอลิคครอบครัวหนึ่ง ไม่สบอารมณ์อย่าง รุนแรง ที่ลูกสาวหันไปนับถือคริสต์อีกนิกาย และก็เรื่องที่ครอบ ครัวชาวพุทธ ไม่พอใจที่ลูกชายไปนับถือคริสต์ เนี่ย...มันก็มี อยู่อย่างนี้ ยิ่งคนที่เกิดมาในสังกัดของศาสนานั้นๆ แล้วหันไป เป็นอื่น ความรู้สึกทางลบที่มีต่อคนเช่นนี้ จะรุนแรงกว่าคนที่ไม่ ใช่ลูกหม้อ หยั่งกรณีพวกลูกเขย/สะไภ้ อะไรงี้ ที่ต่อมาเลิกกัน ก็กลับไปสังคมเดิมของตัว พวกแค่มาดองกันเนี่ย คนศาสนา ลูกหม้อจะไม่ค่อยอินังขังขอบนัก เพียงแต่ต่อไปอย่าเสนอหน้า มาให้เห็นอีกละกัน ก็แค่ประมาณนี้ ตระกูลใหญ่ของไทยคือตระกูล บุนนาค ต้นตระกูลก็เป็นชาว เปอร์เซียมุสลิม ที่ได้เข้าไปรับใช้ในราชสำนัก ภายหลังต่อมา ลูกหลานเหลนโหลนกลายเป็นพุทธไปหมดเลย ศาสนามุสลิมเข้ามาในดินแดนมาลายูนี้แค่ห้าร้อยกว่าปี ประมาณ ยุคสุโขทัยกลางๆนี้เองนะครับ ก่อนหน้าสืบย้อนขึ้นไป ดินแดน แถบนั้น ตั้งแต่ภาคใต้ของสยาม แหลมมาลายู และดินแดนชวา ทั้งหมด ประชาชนเป็นชาวพุทธมาตั้งแต่หลังพระพุทธองค์ทรงดับ ขันธ์ได้ 300 ปีโน่นแล้ว ตรงกับสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ อินเดียพระองค์เดียวที่มีนโนบายส่งเสริมพุทธศาสนาอย่างจริงจัง โดยการส่งธรรมฑูตกระจายออกไปทุกสารทิศ พุทธศาสนาใน คาบสมุทรชวาเจริญสุดขีดในพุทธศตวรรษที่ 12 และค่อยๆเสื่อม ลงไปจนกระทั่งถึงพุทธศตวรรษที่ 19 ก็เรียกว่าเหลือเพียงแค่สถูป เจดีย์ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ก่อนอิทธิพลของศาสนาอิสลามจะเข้าไป เป็นศาสนาหลักของคาบสมุทรชวา ดินแดนแถบนี้ก็เคยถูกศาสนาฮินดู เข้าไปแทรกกลบพุทธศาสนาอยู่ห้วงเวลาหนึ่ง กษัตริย์ชวาพระองค์แรกที่เป็นมุสลิมนั้น ก็ไม่ใช่มุสลิมลูกหม้อเหมือนกัน แต่เป็นชาวพุทธก่อนที่จะหันไปรับอิสลาม ด้วยเงื่อนไขการเมืองที่ ราชวงศ์มัชฌปาหิตเกิดเกาเหลาแย่งชิงอำนาจกันเอง ระเด่นปาทา คือ กษัตริย์มุสลิมพระองค์แรก และทรงห้ามการเผยแผ่และนับถือพุทธ ศาสนาหรือฮินดู ตลอดอาณาจักรมัชฌปาหิต ก็นี่คือประวัติศาสนา ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาของคนในดินแดนแถบนี้ ตอนฮอลันดาเข้าไป ปกครองชวา ก็พยายามที่จะกลายคนพื้นเมืองให้หันมาถือคริสต์ ซึ่งก็ ทำได้ในส่วนเล็กๆ เนื่องจากเป็นเจ้าอาณานิคมอยู่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็จึงตกค้างชาวคริสต์แถวๆสุลาเวสี / อาเจะห์ ทำให้มีปัญหาคนอินโด แต่ต่างศาสนาฆ่ากันวุ่นวายอยู่เนืองๆ ในฟิลิปินส์ เมื่อก่อนก็ไม่มีศาสนา แต่เมื่อสเปนเข้าไปก็เอาศาสนาคริสต์ เขาไปด้วย เปลี่ยนคนพื้นเมืองเป็นคริสต์คาทอลิคตามเจ้าอาณานิคม ยกเว้นแถวหมู่เกาะมินดาเนา เพราะอยู่ใกล้ชิดกับชวา มุสลิมก็เข้าไป เปลี่ยนชาวเกาะแถบนั้นเป็นคนมีศาสนาและรับอิสลาม ก็จึงเป็นดินแดน ที่มีปัญหากับรัฐบาลฟิลิปินส์มาจนตอนนี้ คุณแม่ของเจ้าของกระทู้ ถ้าว่ากันตามหลักอิสลามจริงๆ ก็คงต้องดูกัน ในรายละเอียดว่า ได้เป็นมุสลิมเต็มสูบแล้วหรือยัง ? ๑/ แต่งถูกต้องตาม หลักอิสลาม ๒/ เท่าที่ผมได้ยินคร่าวๆ สำหรับคนนอกที่หันไปรับอิสลาม ดูเหมือน หลักศาสนาจะมีระยะเวลาทดลองก่อนรับรองอยู่นะครับ พูดง่ายๆ คือคุณแม่ได้ผ่านห้วงเวลา โปรเบชั่น ตามหลักของศาสนาหรือเปล่า เพราะถ้าแน่นแฟ้นจริงๆ ส่วนใหญ่จะไม่กลับหรอกครับ ส่วนเจ้าของกระทู้ นั้น ท่านเป็นมุสลิมโดยกำเนิด แต่อาจจะยังไม่แน่นแฟ้น แต่เมื่อท่านไป เข้ารีตพุทธ อันนี้ก็คงพ้นไปจากการเป็นมุสลิมแล้วล่ะครับ ภาษาคนไทยมุสลิม เรียกว่า 'ตกศาสนา' ครับ ต่อไปก็อย่าได้เอามาเป็นอารมณ์ว่า เคยเป็นศาสนา ใดมาก่อน จะได้ไม่เป็นข้อรบกวนจิตใจตัวเองและผู้อื่น อันนี้ดีกว่า. จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 12:38:07

ความคิดเห็นที่ 16 ท่านเต๋า นีโอ อย่าหาว่าเกทับ แต่เหลือนึงครอบครัว จะเรียกว่าเหลือก็คงไม่ถุกต้องนักเอาเป้นว่าไม่เหลือแบบ...ท่านนีโอ ว่านะแม่นแล้ว งองูสองตัวกับตนเองเหมือนกัน ครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 13:04:41

ความคิดเห็นที่ 17                อนุโมทนากับคุณแม่และน้องชายของคุณหวงไซจื้อด้วยค่ะ   อ่านเรื่องคุณครูดาราวรรณแล้วประทับใจจัง ท่านคงทำบุญมากับพุทธศาสนาเยอะนะคะ  จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 13:35:35

ความคิดเห็นที่ 18 การเคารพรูปปั้น แต่จิตทะลุ รูปปั้นไปถึงคุณธรรมความดี ของเจ้าของรูปนั้น มันดีกว่า พวกยึดติดเคารพคัมภีร์ ว่าคัมภีร์ตนเอง ดีเลิสสุด ในปฐพี ดีกว่าคัมภีร์ใดใด ในโลกหล้า ที่เคยมี รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยสั่งใคร ไปฆ่าใคร รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยประกาศสงคราม กับผู้ใด รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยเบียดเบียนสัตว์ใดใด แม้ ริ้น ไร   รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยลักเล็กขโมยน้อย ทรัพย์ใคร รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยปล้นสดมภ์ อาวุธปืนใคร รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยบุกรุก หรือก่อการร้าย ในประเทศใด รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยบังคับใครแต่งงาน ต้องเปลี่ยนศาสนา ตามใคร รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยอนุญาตให้ชายคนใด มีภรรยามากเท่าใด รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยบังคับจับหญิงที่โดนข่มขืน มาเฆี่ยนซ้ำ เช่นใคร รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยตีสองหน้า หลอกใคร รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยมัวเมา อบายมุขใดใด  (ใบกระท่อม สี่คูณร้่อย ยาบ้า ฯลฯ ) รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยด่าทอ รูปปั้นต่างความเชื่อ ของผู้ใด รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยตอบโต้ แม้จะถูกหยามเหยีดจาก คนไม่เลื่อมใส :) แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 13:43:17 จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 13:36:47

ความคิดเห็นที่ 19 ถูกต้องแล้วค่ะ รูปปั้นไม่สามารถทำอะไรได้ตามที่คุณว่ามา เพราะ รูปปั้น ก็คือ รูปปั้น ที่คนสร้างขึ้นมา แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 13:43:12 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 13:41:31

ความคิดเห็นที่ 20 ลองพาคุณแม่และน้อง ไปปฏิบัติธรรมที่ศูนย์ของอาจารย์โกเอ็นก้าไหมคะ? ศูนย์ปฏิบัติธรรมของอาจารย์โกเอ็นก้าไม่ได้เป็นวัด ไม่มีรูปปั้น รูปเคารพบูชาใดๆทั้งสิ้น คุณแม่กับน้องชายอาจจะไม่รู้สึกลำบากใจ เพราะที่นี่ไม่ได้เป็นวัด แล้วศูนย์วิปัสสนากรรมฐานของอาจารย์โกเอ็นก้าก็มีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก คนต่างชาติ ต่างศาสนามาปฏิบัติกันเยอะนะคะ จึงไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับคุณแม่และน้องชายที่เป็นมุสลิม แนะนำไว้เป็นทางเลือกค่ะ ลองไปดูที่website นะคะ www.thaidhamma.net จากคุณ : missundaztood (MissUnDaZtooD) เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 13:42:35

ความคิดเห็นที่ 21 ครับรูปปั้น ไม่เคยช่วยให้อินเดียรอดพ้นวรรณะ ความล้าหลัง และพ้นจากความโง่เขลา นะครับ เพราะรูปปั้นคือรูปปั้น นั่นเอง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 17:01:45

ความคิดเห็นที่ 22 ก่อนเข้าอิสลามเพราะแต่งงาน ควรถามตัวเองก่อนว่า "ถ้าฉันไม่ได้แต่งงานกับชายหรือหญิงคนนี้ ฉันจะรับอิสลามหรือไม่" ศรัทธา/ไม่ศรัทธา แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 18:06:53 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 17:52:20 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 17:50:52 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 55 17:50:24 จากคุณ : เดอะลิง เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 17:49:35

ความคิดเห็นที่ 23 บางความเห็นที่บอกว่าน่าสงสาร  ผมก็ขอบอกกลับว่ามาท่านถูกทางแล้ว 5555 จากคุณ : ดำดง เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 18:07:23

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ ตัวผมเองเป็นพุทธโดยกำเนิด  และจะเป็นต่อไป  ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพาน ส่วนประเด็นไหว้พระพุทธรูปนั้น  ผมว่ามันคือเปลือก แต่เปลือกนั้นก็ สำคัญไม่น้อยกว่าแก่น แพ๊คเกจจิ้งต่างๆ  ก็ล่อให้คนมาซื้อของข้างในทั้งนั้น แม่และน้อง  จิตยังอ่อน  ต้องใช้เปลือกล่อ วันนี้แม่ก็ถูกหวยอีก (อยุ่มาสามปี  ถูกตลอด  แม่บอกว่า อยู่ที่นั่น ไม่เห็นถูก  แม่บอกว่าเพราะแมสวดมนต์) ถามว่าควรตักเตือน ว่าเป็นอบายมุขมั๊ย  หรือควรบอกกล่าวว่ามันเป็นเรื่องของกุศล   แต่  มันเป็นกำลังใจ  ให้ท่านทำดี จะรีบร้อน  ไปบั่นทอนกำลังใจทำไมเล่า ตัวผมไม่ได้คาบคัมภีร์  จึงไม่อยากให้แม่เข้าใจอะไรที่มันวุ่นวายเท่าไหร่   ใช้ความเป็นพุทธ แบบรากหญ้า  ชนบท  น่ะดีแล้ว  ซึ่งพุทธแบบชนบทจะค่อนข้างที่เข้าใจ  การเปลี่ยนแปลงที่มันรุนแแรง  อยู่กับความไม่แน่นอนตลอด  บางไม่อยากให้ฝนตก  ก็ตก ฯลฯ   ชนบทไม่มีหรอกครับ  วันครบรอบแต่งงาน  วันเจอกันครั้งแรก  เพราะสิ่งเหล่านี้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น  ก็มานั่งเสียใจว่า   เราคบกันมากี่ปี หรือถ้าผัวไม่ทิ้งเมียไป  วันนี้คงเป็นวันที่เราคบรอบกี่ปี  ก็ว่าักันไป   สิ่งเหล่านี้มันเป็นความคร่ำำควรญของอีกสังคม   ชนบทนั้น   ถ้ามีใครตายซักคน  1  ชั่วโมงแรกจะเสียใจ  2 ชั่วโมงถัดมาจะวุ่นวายกับการเป็นเจ้าภาพ  วงไพ่  การจัดการข้าวต้ม     ซึ่งผมขอใช้้ความเป็นพุทธปฏิบัติแบบรากหญ้า   ดีกว่าคาบคัมภีร์มาสอน ผมแนะนำให้แม่ปฏิบัติตาม  คำสอนของ  ของหลวงพ่อฤาษีตลอด ผมเป็นลูกศิษย์สายนี้  (ขออนุญาตเอ่ยนาม)   และค่อนข้างที่จะถูกจริตของแม่   ทุกวันนี้สอบถามอารมณ์ รู้สึกแม่เข้าใจคำว่านิพพาน  มากขึ้นทุกวัน ผมไม่ใช่พระผู้ทรงฌาน  แนะนำเหล่าศาสนิกชน  เข้าสู่พระนิพพานได้ แต่ครอบครัวผม  นับหัวรวมตัวได้  12  คน ผมมีึความตั้งใจ  จะพาเข้าสู่กระแสสัจธรรมของพระพุทธเจ้าให้ได้มากที่สุด ขอบคุณครับ จากคุณ : หวงไซจื้อ เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 20:06:13

ความคิดเห็นที่ 25 ผมไม่อยากให้กลายเป็นประเด็นระหว่างศาสนา  เพราะความเป็นอิสลามนั้น  ผมสัมผัส มาทุกครั้งเมื่อผมไป เยี่ยมแม่ช่วงปิดเทอม  คราวละหลายเดือน บางสิ่งของศาสนาอิสลาม  ผมก็มีมุมที่ผมประทับใจตลอด ผมได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง ป๋าผมเป็นน้องโต๊ะ อิหม่าม   และเป็นรุ่นแรกๆ ของชุมชนนั้นที่ได้ไปทำพิธีศักดิ์สิทธิื ที่นครเมกกะ (ถ้าคำศัพท์ผิดไปประการใด  ขออภัยในความโง่ของผมด้วย)  เอาเป็นว่า  15 ปี  ผมก็วนเวียนไปที่นั่นตลอด  ผมมีเพื่อน ที่ันั่น ผมซึมซับความเป็นอิสลามพอสมควร  เพราะพื้นฐานคนไทยจิตใจ ดีอยู่แล้ว  ไม่ว่าศาสนาไหนผมว่า  แทบจะไม่แตกต่าง  ที่ผมมาเล่ากระทู้นี้พอจะเป็นแนวทางของใครหลายคนได้เท่านั้นเอง ตรงกับพระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า  "ทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีสิ่งใดแน่นอน" จากคุณ : หวงไซจื้อ เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 20:14:34

ความคิดเห็นที่ 26 ผมมีเรื่องสำคัญจะเล่าให้ฟัง อย่างที่บอกไปว่าคุณแม่เคยนับถือศาสนาอิสลาม และทิ้งผมให้อยู่กับยายตั้งแต่ยังเด็ก  จนท่านกลับมานับถือศาสนาพุทธอีกครั้ง เมื่อครั้งยังเด็กผมจะมีโอกาสได้ทานข้าวกับแม่เฉพาะ  ที่ผมไปหาแม่ที่กรุงเทพเท่านั้น  ถ้าแม่มาที่บ้านอย่าหวังว่าจะได้ทานร่วมกัน  ผมสัมผัสกับศาสนาอิสลามมาบ้างสมควร  แต่มีวันหนึ่ง ผมได้มีโอกาสเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย ซึ่งระบบการรับน้องยังเข้มข้น  ทุกคนต้องใช้ชีวิตอย่ภายใต้คำว่าทีม  เพราะฉะนั้น  การทำกิจกรรมของทุกคนต้องสัมพันธ์กัน  ขาดใครไปไม่ได้  และไฮไลท์คือเพื่อนผมคนหนึ่ง  มาจากสตูล ชื่อ" อิสมาแอน " นับถือศาสนาอิสลาม  เค้าต้องปฏิบัติภารกิจของศาสนาให้แล้วเสร็จจึงจะมาร่วมกิจกรรม  ของเพื่อนๆ ได้  ทำให้เพื่อนหลายคนไม่พอใจ เพราะทั้งเอกวิชานั้น มี "แอน"คนเดียวเป็นมุสลิม  จนกระทั่งเริ่มมีปากเสียงกัน  แล้ววันหนึ่งก็มีโอกาสประชุมคุยกันครั้งใหญ่   "ผมได้ขอให้เพื่อนๆ  ยอมรับและเคารพ ซึ่งกันและกันของเพื่อน ที่นับถืออีกศาสนา  ผมร้องให้ออกมา  และพูดทั้งน้ำตาว่า   "พวกคุณไม่รู้หรอก  ว่าการที่จะต้องการทานข้าวกับแม่  แล้วไม่ได้ทานมันเป็นแบบไหน  ผมไม่รู้ว่าผมต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะมีโอกาสได้กินข้าวร่วมกันกับแม่ผมอีกครั้ง"  เล่นเอาเพื่อนทุกคนนั่งร้องให้โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิง เพราะแบบนี้เราควรรักกันครับ จากคุณ : หวงไซจื้อ เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 20:28:43

ความคิดเห็นที่ 27 การฆ่าที่ไม่บาป และได้บรรลุธรรม ในพุทธศาสนา ก็มี คือการฆ่า กิเลส ในใจตนเอง ประโยคนี้ดีครับ จากคุณ : ringside เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 22:15:50

ความคิดเห็นที่ 28 โหวลบ ความคิดเห็นที่ 18 มันจะเกินไปแล้วนะครับ จากคุณ : Sleeping เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 22:16:58

ความคิดเห็นที่ 29 อย่าไห้มันมากไป จากคุณ : Sleeping เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 22:17:16

ความคิดเห็นที่ 30 ศาสนาท่านคือของท่าน อิสลามคือของเรา เรียนรู้ได้อย่าได้ก้าวก่ายซึ่งศรัทธา ถ้าสิ่งที่พูดออกมามันได้แค่วามสะใจ เงียบดีกว่ามาก จากคุณ : Sleeping เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 22:26:41

ความคิดเห็นที่ 31 คนต่างศาสนิกกับอิสลาม ส่วนมากมักเอาผู้ก่อการร้ายไปรวมกับอิสลาม น่าจะแยกออกระหว่างกองกำลังที่แบ่งแยกดินแดนกับมุสลิมที่ปกติ ถ้าคุณศึกษารายละเอียด ประวัติศาสตร์  คุณจะเข้าใจว่า ใครที่ถูกก่อการร้ายก่อนคือใคร จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 22:47:37

ความคิดเห็นที่ 32 รูปปั้นนิ่งเฉย แต่ใดเหล่าคนแห่มากราบไหว้ จากคุณ : Lawsgod เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 23:06:40

ความคิดเห็นที่ 33 ดิฉันว่าปล่อยไว้แบบนั้นแหล่ะ คนอื่นๆเค้าจะได้เห็นถึงกระบวนการคิด ถ้าจะแจ้งลบ คงจะต้องเหนื่อยหน่อยหล่ะค่ะ ความเห็นแนวๆนี้ของเขา หลายกระทู้มาก จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 06:41:53

ความคิดเห็นที่ 34 ^ ^ เอาไปเลย 5 แต้ม ^-^ จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 07:24:41

ความคิดเห็นที่ 35 ชื่อก็บอกว่าอวิชชา เขาก็คงทำตัวให้สมชื่อนั่นแหละ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 10:03:39

ความคิดเห็นที่ 36 ความคิดเห็นที่ 32 รูปปั้นนิ่งเฉย แต่ใดเหล่าคนแห่มากราบไหว้ จากคุณ : Lawsgod เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 23:06:40   นั่นสิ คิดหาเหตุผลออกหรือไม่  ทำไม  ทำไม  ทำไม ให้เวลาคิด เป็นการบ้านไปก่อน  ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก . . . .                         จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 10:17:13

ความคิดเห็นที่ 37   ความคิดเห็นที่ 21 MsgStatus(Msv[21], 21); ครับรูปปั้น ไม่เคยช่วยให้อินเดียรอดพ้นวรรณะ ความล้าหลัง และพ้นจากความโง่เขลา นะครับ เพราะรูปปั้นคือรูปปั้น นั่นเอง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 55 17:01:45 ถูกใจ : Lawsgod ข้อความของ คห นี้ เป็นจริงหรือ ? ? ? กลุ่มประเทศ ในตะวันออกกลาง ซึ่งมีคำสอนคำสั่งห้ามเคารพรูปปั้น มา พันกว่าปีแล้ว ปัจจุบันนี้เป็นเช่นไร เมื่อเทียบกับประเทศอินเดีย  หรือประเทศ ทั่วโลก ไปทำการบ้านอีกคน แล้วค่อยมาตอบก็ได้  ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก . . . .                       จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 10:33:10

ความคิดเห็นที่ 38 ตอบไม่ได้ ยกมือถามได้นะ นักเรียน     อย่ามัวแต่แอบนอนล่ะ     เดี๋ยวเย็นๆ จะตรวจการบ้านให้     จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 10:41:14

ความคิดเห็นที่ 39 จ๊ะเอ๋ . . . . นักเรียน ยังไม่มีใครส่งการบ้านเลยหรือจ๊ะ มัวแต่ไปเล่น ไม่มีวินัยเลย เดี๋ยวให้คาบไม้บรรทัด หน้าเสาธงซะเลย ให้เวลาถึงพรุ่งนี้เช้านะ  ไม่งั้นจะแจ้งผู้ปกครอง บอกใบ้ให้นะ ไปลอกคำตอบจากผลงานของท่านพี่ของพวกเธอนั่นแหละ เคยส่งการบ้านเรื่องอินเดียมาแล้ว จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 55 18:44:54

ความคิดเห็นที่ 40 ที่จริง รูปปั้นหินพวกนั้น คือการดูหมิ่น พระพุทธเจ้า ทั้งนั้นแหละครับ คนไม่ค่อยรู้ความจริง  ว่า ในสมัยอโศกมหาราช ที่พุทธรุ่งเรืองได้ เพราะคนเคารพพระศาสดา  ไม่มีใครกล้าแม้จะวาดรูปเหมือน ปั้น หินโลหะมาแบบพวกเทพกลาดเกลื่อน ยังกับตุ๊กตา ช้างม้าวัวควาย ภายหลังพวกที่เพี้ยนคือไปบ้าสู้กับเทพแขก  แต่ทีจริงคือโดน ฮินดูสร้างเรื่องกลับ   ตามจริงถ้าพุทธเถรวาทแท้จะฟังคำ พระองค์ตรัสว่า อุเทสิก ไม่มีเกี่ยวกับพระองค์ คนที่กราบไหว้หิน  โดยอนุสสติ ก็แล้วแต่ แต่ถ้าไปยึดว่าเป็น ตัวแทนพระองค์ ก็ผิดแล้ว  รูปหินคือสิ่งที่ทำให้ฮินดูคอนเวิท พุทธกลับไป  ไม่งั้น ทำไมอินเดีย เคยเจริญ ขนาดยกย่อง king อโศกมาทำธงชาติ  แต่ ไม่นับถือพุทธตามพระองค์ จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 55 21:58:16

ความคิดเห็นที่ 41 แสดงว่าท่านนบนอบ ไม่ได้กราบไว้พระพุทธรูปใช่ไมครับ  หากใช่ ในประเทศไทยมีความเชื่อแบบนี้มากน้อยแค่ไหนครับ  ตามที่ท่านนบนอบได้กล่าวว่าการกราบไหว้พระพุทธรูปเป็นการดูหมิ่นพระพทธศาสนา  เป็นการดูหมิ่นอย่างไรครับ  ประเด็นนี้ผมอยากทราบมากครับ  น่าสนๆๆ แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 55 22:50:58 จากคุณ : Lawsgod เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 55 22:48:47

ความคิดเห็นที่ 42 งั้นผมจะแสดงให้ดูนะครับ แล้วอ่านซะให้ดี แล้วจะมารอดูว่า เป็นไง http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/Y2479673/Y2479673.html  ท่านศาสดาเคยกล่าวว่า “ผู้มีความรู้หนึ่งคนนั้นเข้มแข็งกว่าผู้ศรัทธาหนึ่งพันคน” และแท้จริงอัลเลาะห์ได้สอนมนุษย์ในสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้ และพระองค์ใช้ให้มนุษย์ศึกษาค้นคว้า พินิจพิจารณา ตรึกตรอง ใคร่ครวญ โดยพระองค์โต้ตอบกับมนุษย์ไว้ในหลายอายะห์ ว่า : (พวกเขาไม่เห็นหรือ) (พวกเขาไม่พิจารณาหรือ) (มนุษย์ไม่ได้พิจารณาหรือว่าเราได้สร้างเขาขั้นมาจากอสุจิ) (แท้จริงในการดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์แก่พวกที่ตรึกตรอง) (แท้จริงในการดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์แก่พวกที่ใช้สติปัญญา) (แท้จริงในการดังกล่าวเป็นที่ตรึกตรองสำหรับพวกที่มีสติปัญญา ) (จงอ่านเถิด ในนามผู้อภิบาลของเจ้า ซึ่งพระองค์ได้สร้าง) และยังมีอีกมากมายหลายอายะห์ที่มีความหมายทำนองเดียวกันนี้ อิสลามไม่ได้กีดกัน และไม่ได้สร้างเงื่อนไขในเรื่องเสรีภาพของการศึกษา และการค้นคว้าทางวิชาการ เพราะการศึกษาและค้นคว้าจะทำให้การเรียนรู้แนวทางของอัลเลาะห์ เป็นที่ปรากฎแก่ชาวโลก แต่อิสลามก็ไม่ได้เปิดประตูไว้โดยปราศจากหลักเกณฑ์ในการนำเอาผลลัพธ์ทางวิชาการไปปฎิบัติต่อสาธารณชน โดยไม่ผ่านการกลั่นกรองของหลักศาสนา ที่จะปล่อยให้สิ่งที่ศาสนาอนุมัติผ่านไป และกีกกันสิ่งที่ศาสนาห้ามเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ยินยอมให้ดำเนินการในเรื่องใดเพียงเพราะสามารถดำเนินการได้ แต่ต้องเป็นวิชาการที่เกิดประโยชน์ และนำผล ดีมาสู่มนุษยชาติ และป้องกันผลเสียที่จะเกิดกับมนุษย์ และวิชาการนี้ต้องเป็นวิชาการที่ปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และปกป้องเป้าหมายที่อัลเลาะห์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อเป้าหมายนั้น ดังนั้นจะนำมนุษย์มาเป็นเครื่องทดลองไม่ได้ จะละเมิดความเป็นตัวตนของบุคคล เอกลักษณ์ และคุณสมบัติของมนุษย์ไม่ได้ และวิชากรนั้นจะต้องไม่นำไปสู่ความสั่นคลอนของโครงสร้างทางสังคมที่เป็นปึกแผ่น หรือจะต้องไม่นำไปสู่ความเสื่อมสลายของระบบเครือญาติ วงศ์ตระกูล และสายสัมพันธ์ในการสืบวงศ์ตระกูล ตลอดจนโครงสร้างของครอบครัว ซึ่งถือปฎิบัติกันมาอย่างยาวในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ ภายใต้ร่มเงาของบัญญัติศาสนา และบนพื้นฐานอันมั่นคงจากข้อกำหนดของพระผู้เป็นเจ้า ประวัตินักวิทยาศาสตร์ ในช่วงปี ค.ศ. 569 - 1449 ช่วงนี้เป็นสมัยที่มุสลิมครองความเป็นผู้นำ ดังนั้นในวงวิชาการจึงมีนักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์มุสลิม เกิดขึ้นมากมาย แม้นักวิทยาศาสตร์ยุโรปปัจจุบันพยายามที่จะปกปิด แต่ผลงานต่างๆเป็นที่ประจักษ์แก่นักวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบัน ในสมัยนี้ยุโรปยังอยู่ในความมืดของทางวิชาการ ชาวยุโรปจึงเรียกช่วงนี้ว่ายุคมืดแห่งวิชาการ ความสว่างทางวิชาการในยุโรปจะไม่วันเกิด หากชาวยุโรปไม่ได้ตักตวงและศึกษาจากผลงานของนักวิทยาศาสตร์มุสลิมในสมัยนั้น ปี ค.ศ. / ชื่อนักวิทยาศาสตร์ / สาขาวิชา 569-668 บรามากุปตา Brahmagupta คณิตศาสตร์ 701 ยาศีด Khalid ibn Yazeed เคมี 740 อัล อัสมัย Al-Asmai สัตววิทยา,พืชศาสตร์ 776-768 อัล จาเฮรฺ Al Basri aL-Jahir สัตววิทยา 790-840 อัล คาวาริศมี Al-Kawarizme คณิตศาสตร์,ดาราศาสตร์ 787 อัล บัลคี Al-Balkhi(Albumasar) ดาราศาสตร์ 796 อัล ฟาซาริ Al-Fazari ดาราศาสตร์ 800-873 อัล กินดี Al Kidi(Alkindus) คณิตศาสตร์,ดาราศาสตร์ 803 อิบนู ฮัยยาน Ibn Haiyan(Gebber) บิดาแห่งเคมี 808 อิบนู อิศฮาก Humdan Ibn Is'haq แพทยศาสตร์ 825 อัล ดินาวาริ Al-Dinawari คณิตศาสตร์ 836-901 อิบนู กูรา Thabit Ibn Qura คณิตศาสตร์ 838-870 อัล ตาบาริ Al-Tabari แพทยศาสตร์ 852 อัลบาติกนี Abu bdillah(Albategne) คณิตศาสตร์,ดาราศาสตร์ 857 ยาฮยา Ibn Masawaih You'hya แพทยศาสตร์ 858-929 อัล บาตานี Al-Batani(Albatignius) คณิตศาสตร์,ดาราศาสตร์ 860 อัล ฟัรคานี Al-Farghani(Al-raganus) คณิตศาสตร์,ดาราศาสตร์ 864-930 อัล ราซี Al-Razi(Rhazes) แพทยศาสตร์ 870-950 อัล ฟาราบี Al-Farabi(Al-Pharabius) คณิตศาสตร์ 900 อัล อุศตราลาบี Al-Ustralabi ดาราศาสตร์ 930-986 อัล ซูฟี Al-Sufi ดาราศาสตร์ 912 อัล ตามินิ Al-TAmini(Attamini) เคมี 936-1013 อัล ซาราวี Al-Zahrawi(Albucasis) แพทยศาสตร์ 940-997 อัล บุซจานี Al-Buzjani คณิตศาสตร์,ดาราศาสตร์ 955-1040 อัล ฮัยตัม Al-Haitum(Alhazen) ฟิสิกส์,คณิตศาสตร์ 975 มัษอูดี Ali Al-Masu'di ภูมิศาสตร์ 973-1048 อัล บีรูนี Al-Biruni ฟิสิกส์,คณิตศาสตร์ 980-1037 อิบนู ซินา Ibn Sina(Avicenna) แพทยศาสตร์,คณิตศาสตร์ 1028-1087 อัล ซาคาลี Al-Zaqali(Azachel) ดาราศาสตร์ 1044-1123 โอมัร คัยยัม Omar Al-Khayyam คณิตศาสตร์,ดาราศาสตร์ 1068-1128 อัล กาซาลี Al-Ghazali(Algazel) ปรัชญา 1091-1161 อิบนู ซุฮฺ Ibnu Zuhr แพทยศาสตร์ 1099-1166 อัล อิดริศศรี Al-Idrisi ภูมิศาสตร์ 1128-1198 อิบนู รุซ Ibn Rushd(Averros) แพทยศาสตร์ 1188-1214 อัล ไบตานี Al-Baitani(Albategenius) เภสัชวิทยา,พีชศาสตร์ 1201-1274 อัล ตูซี Al-Din Al-Tusi คณิตศาสตร์,ดาราศาสตร์ 1213-1288 อัล นาฟิศ Ibn Al-Nafis แพทยศาสตร์ 1364-1436 กาดา ซาดา Al-Rumi Qada Zada คณิตศาสตร์,ดาราศาสตร์ 1309-1450 อัล คาซิ Al-Din Al-Kashi คณิตศาสตร์,ดาราศาสตร์ 1393-1449 อูลัก เบค Ulugh Beg คณิตศาสตร์,ดาราศาสตร์ 1926-1996 อับดัศ สาลาม Abdas Salam ฟิสิกส์ จะเห็นได้ว่าในบางสาขานั้น อิสลามไม่ได้ทำการศึกษา หรืออาจมีการศึกษาแต่ไม่ได้จริงจังนัก ทั้งนี้เพราะบางสาขานั้นขัดต่อหลักการที่กล่าวไว้ข้างต้น คือ ต้องเป็นวิชาการที่เกิดประโยชน์ และนำผล ดีมาสู่มนุษยชาติ และป้องกันผลเสียที่จะเกิดกับมนุษย์ และวิชาการนี้ต้องเป็นวิชาการที่ปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และปกป้องเป้าหมายที่อัลเลาะห์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อเป้าหมายนั้น ดังนั้นจะนำมนุษย์มาเป็นเครื่องทดลองไม่ได้ จะละเมิดความเป็นตัวตนของบุคคล เอกลักษณ์ และคุณสมบัติของมนุษย์ไม่ได้ และวิชาการนั้นจะต้องไม่นำไปสู่ความสั่นคลอนของโครงสร้างทางสังคมที่เป็นปึกแผ่น หรือจะต้องไม่นำไปสู่ความเสื่อมสลายของระบบเครือญาติ วงศ์ตระกูล และสายสัมพันธ์ในการสืบวงศ์ตระกูล ตลอดจนโครงสร้างของครอบครัว ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- (ข้อมูลนักวิทยาศาสตร์จากเว็บไซท์หนึ่งซึ่งไม่สามารถหาที่อยู่ได้ ของ ม.สงขลานครินทร์) จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 55 23:09:42

ความคิดเห็นที่ 43 ที่เอามาให้ดูก็เพื่อให้เปรียบเทียบกันเลยว่า ในขณะที่ ประเทศมุสลิมผู้ไม่นับถือรูปปั้น เมื่อประกาศศาสนาที่ดินแดนอาหรับแล้ว ผู้คนได้รับการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นภายในเวลา ไม่ถึง 50 ปี กลายเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรือง และเจริญที่สุดได้ด้วยศาสนาโดยแท้จริง แต่ในขณะที่อินเดีย นับถือรูปปั้นมาเป็น 1000 ปี ระบบวรรณะเคยหายไปไหม? สังคมได้รับอะไรบ้างจากคำสอนนั้น มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น? เปล่าเลยก็ยังล้าหลังอยู่เหมือนเดิม ในอินเดีย คนวรรณะทาสได้รับการปฏิบัติอย่างยำแย่ บางคนที่เกิดข้ามวรรณะถูกปฏิบัติต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าสัตว์ เป็นพันๆ ปี เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ได้หายไป ขณะที่เมื่ออิสลามเผยแผ่ออกมาความโง่เขลาป่าเถื่อนถูกขจัดไป คนผิวดำที่เคยเป็นทาส กลายเป็นเจ้าเมืองได้ ศิลปะวิทยาการทุกอย่างก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด จากชนชาวอาหรับป่าเถื่อน ที่กินเหล้าจากหัวกระโหลกมนุษย์ได้ ฆ่าล้างโคตรกันเป็นร้อยๆ ปี เพราะเรื่องอูฐกินน้ำผิดที่ กลายเป็นสังคมที่เจริญที่สุดได้       มันไม่ใช่ด้วยรูปปั้นครับ เพราะรูปปั้นคือรูปปั้น มันทำอะไรไม่ได้จริงๆ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 55 23:19:25

ความคิดเห็นที่ 44 ในยุคของคอลีฟะต์อุมัร บินคอตตอบ ภายหลังจากที่ญะบะละต์ บิน อัยฮัม กษัตริย์แห่งฆอซซาน เข้ารับอิสลาม ได้มาทำการเตาวาฟที่กะบะต์ ปรากฎว่ามีชายคนหนึ่งเดินเหยียบชายผ้า เขาจึงหันไปด้วยความโกรธและตบหน้าของชายคนนั้นทันที ชายผู้นั้นกล่าวว่า ฉันจะไปร้องทุกข์ต่ออมีรุลมุมินีน อุมัรได้เรียกกษัตริย์แห่งฆอซซานเข้ามา และถามว่า จริงหรือไม่ที่ชายคนนี้กล่าวว่า ท่านตบหน้าเขา ญะบะละต์กล่าวว่า ใช่ หากว่ามิใช่อยู่ต่อหน้าบัยตุลลอฮ์ ฉันฆ่าเขาด้วยดาบนี้แล้ว อุมัร “ ทำไมล่ะ” “ เขาเหยียบชายผ้าของฉัน ขณะที่ฉันกำลังเตาวาฟ” ญะบะละต์ตอบ อุมัร “ ฉันให้ท่านเลือกเอาระหว่างท่านจะขอโทษเขา หรือให้เขาตบท่านคืน ” “ ท่านถือว่าเขาเท่าเทียมกับฉันหรือ ? ฉันเป็นกษัตริย์แต่เขาเป็นแค่คนรับจ้างตักน้ำ” ญะบะละต์ถามด้วยความไม่เข้าใจ อุมัร “ อิสลามถือว่าพวกท่านเท่าเทียมกัน ไม่มีความแตกต่างระหว่างกษัตริย์กับคนรับจ้างตักน้ำ ” ญะบะละต์ “ งั้นให้เวลาฉันหน่อย ให้ฉันคิดก่อน ” อุมัรจึงให้เวลาสามวัน พอตกค่ำ เขาก็พาพลพรรคหนีไปยังเมืองโรมัน   ตัวอย่างเรื่องความเท่าเทียม จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 55 23:27:12

ความคิดเห็นที่ 45 อ้าว นักเรียน นัดกันมาหรือไงจ๊ะ แอบมาตอนดึกๆ ซะด้วย นึกว่ามีอะไรใหม่  อุตส่าห์ไป ตัด แปะ ตามสไตล์ชีวิต เดิมๆ เลยนะ ไปลากกระทู้นั้นมาแล้ว ก็โปรด ตัดแปะ มาให้หมด นี่เลือก ตัดแปะ แต่บางข้อความ ในนั้นเขาก็แสดงความเห็นกันไปแล้ว  หรือว่าอยากย้อนอดีตข้ามกาลเวลากลับไปอีก หากเป็นในสมัยโบราณ เรื่องการคณิตศาสตร์ การแพทย์ อะไรอีกหลายอย่าง ต้นตำหรับมาจากอินเดียเลยนะ แล้วชาติอื่น รอบๆ ก็รับต่อไปอีกที คำถาม ชนชาติใดเป็นผู้บัญญัติ เลขศูนย์ ขึ้นมาใช้มาเป็นชาติแรก หรือ ? ? เรื่องการแพทย์ให้ไปหาประวัติ  หมอชีวก อ่านดูนะ ว่ามีท่านความสามารถอะไรบ้าง ช่วงชีวิตหมอชีวก นั่นก่อน ป่าวประกาศอิสลามเป็นพันปี ซะด้วย แต่คำถาม ที่ให้ไปหาคำตอบ คือให้เปรียบเทียบ  ระหว่าง ประเทศกลุ่มอาหรับที่มีคำสอนห้ามเคารพรูปปั้น กับประเทศอินเดีย หรือประเทศอื่น ใน ปัจ จุ บัน  นะจ๊ะ ไม่ใช่ให้ไปขุดรูย้อนเวลาหาอดีต จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 12:27:40

ความคิดเห็นที่ 46 แล้วเรื่องทาส นะ ทำยังกับ สังคมอิสลาม  ไม่มีทาส . จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 12:51:45

ความคิดเห็นที่ 47 นึกแล้วว่าพวกที่ไม่รู้เรื่อง หรือรับความจริง ที่อิสลามนั้นยิ่งใหญ่ไม่ได้ก็พยายามจะถามซ้ำซากประเด็นเดิมๆ เรื่องเลข 0 หรือวิทยาการต่างๆ นั้น ถ้าไปอ่านประวัติศาสตร์จะพบเลยว่า มุสลิมได้นำมาพัฒนาต่อจากกลุ่มต่างๆ เช่น จีน อินเดีย กรีก แต่เราจะพบเลยว่า วิทยาการหรือความรู้เหล่านี้ ไม่ได้ถูกนำไปใช้หรือก่อประโยชน์ หรือเปลี่ยนแปลงสังคมของดินแดนเดิมแต่อย่างใด อินเดียนั้น มีเจ้าลัทธิ สำนึกปรัชญามากมาย แต่ไม่ก่อประโยชน์ หรือช่วยเหลืออะไรอินเดียได้ กรีกรึก็ล่มสลายไปช้านาน กลายเป็นดินแดนอะไรก็ไม่รู้ไปแล้ว ตรงกันข้ามพวกอาหรับป่าเถื่อนที่ไม่รู้เรื่องอะไร กลับนำวิทยาการ ความรู้ทั้งหลายมาก่อประโยชน์ และเป็นจุดกำเนิด ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการของยุโรปได้ ด้วยอิสลามครับ ส่วนหมอชีวก อะไรนั่น ผมก็ไม่ทราบว่าผลิตตำรา ส่งต่อความรู้อะไรให้เป็นที่ประจักษ์แก่มนุษยชาติบ้างนะครับ นอกจากตำนานเล่าขาน ถ้ามียกมาหน่อยนะผมอยากทราบเผื่อจะพลาดไป และที่ผมนำเรื่องทั้งหมดมา เพื่อบอกว่า อิสลามนั้นสามารถเปลี่ยนแปลง และสร้างสังคมที่เป็นอุดมคติขึ้นมาได้จริง และเป็นศาสนาเดียวที่ทำได้ ซึ่งรูปปั้นนั้น ไม่มีความสามารถอะไร ช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะมันเป็นรูปปั้นครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 18:16:32

ความคิดเห็นที่ 48 ส่วนเรื่องทาสนั้น ไม่ใช่ระบบวรรณะนะครับ ไม่มีจัณฑาล ทาสเป็นไทได้ มีเงื่อนนไขมากมายในการขจัดการเป็นทาสออกไป เป็นระบบที่ลด และตัดทอน จนถึงขจัดระบบเก่าที่มีมาแต่เดิมนี้ให้ออกไปจากสังคม หรือแม้แต่ใครเป็นทาสนั้น เขาก็ได้รับความคุ้มครอง และปฏิบัติอย่างดีครับ ไม่ใช่เป็นวรรณะทาสหรือ จัณฑาลที่โดนปฏิบัติเสียต่ำยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก แม้แต่กษัตริย์เอง ก็ยังไม่สามารถข่มเหง รังแกคนที่เป็นคนรับจ้างตักน้ำได้ นี่คือสิ่งที่อัลลอฮฺได้ให้อิสลามเปลี่ยนแปลงผู้คนอย่างแท้จริง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 18:21:04

ความคิดเห็นที่ 49 ใครกันแน่ ไม่ยอมรับความจริง ในเมื่อตัวเอง เป็นคนอ้างเองว่า อินเดียยังล้าหลัง และโง่เขลา ก็พิสูจน์ เปรียบเทียบมาสิ ระหว่างเจ้าตำหรับห้ามเคารพรูปปั้น กับอินเดียซึ่งมีรูปปั้น เต็มไปทั้งประเทศ ว่า อาหรับ มีดีกว่า อินเดียอะไรบ้าง ในปัจจุบัน ที่เราๆ ท่านๆ สามารถมองเห็นกันได้ ในแง่ การเมืองการปกครอง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี่ สาธารณสุข เศรษฐกิจ อื่น ๆ   แล้วสังคมประเทศอาหรับปัจจุบัน นี่เป็นสังคมอุดมคติ จริงหรือเปล่า ? ? ? แล้วการจะให้รูปปั้นลุกมาทำอะไรให้ได้ นั้น คงเพ้อเจ้อ กระมั้ง เพราะ รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย  ไม่เคยทำร้ายผู้ใด ไม่เคยปาหินใส่ใคร การไปหยิบยกอ้างคัมภีร์ ตำรา เรื่องกษัตริย์เรื่องทาส นะพิสูจน์ได้หรือ ว่าเรื่องจริง ในเมื่อท่านไม่เชื่อคัมภีร์ตำราผู้อื่น  แล้วจะให้ใครไปเชื่อคัมภีร์ของท่านล่ะ เอาสิ่งที่พิสูจน์ทราบเห็นได้ ในปัจจุบันเลยดีกว่า   ว่า ม๊ะ   ปล. ตามประวัติศาสตร์ อินเดีย ก็เจริญทั้งด้านปรัชญาและเทคโนโลยี่ มาตามยุคตามสมัย ไม่ได้ด้อยไปกว่า อาหรับอิสลาม เลย จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 21:12:45

ความคิดเห็นที่ 50 อินเดียเจริญสมัยนี้ ก็หลังจากรับวัฒนธรรมของผู้ไม่นับถือรูปปั้นครับ แต่ก่อนหน้านั้น มันก็ยังป่าเถื่อนล้าหลังอยู่ดีนั่นแหละ ผมถึงบอกไงครับ รูปปั้นมันทำอะไรไม่ได้หรอกครับ มันช่วยให้ใครเจริญไม่ได้ต่างจากอิสลาม เอาล่ะ เรื่อง กษัตริย์กับทาสนั้นเป็นประวัติศาสตร์ครับ และเรื่องตำราแพทย์ก็มีอ้างอิงครับ Abu al-Qasim Khalaf ibn al-Abbas Al-Zahrawi (ฮ.ศ.324 - 403 : ค.ศ.936 - 1013) ทางตะวันตกรู้จักในชื่อ Abulcasis , Abucasis อะบู กอซิม อัซ-ซะห์รอวี เป็นแพทย์มุสลิมอันดะลุเซีย(สเปน) เกิดที่ อัลซะฮฺเราะฮฺ (ห่างจาก กุรตุบะฮฺ(กอโดบา)ในสเปน ประมาณ 6 ไมล์) เป็นศัลยแพทย์ นักเคมี นักศัลยกรรมตกแต่ง และเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถือได้ว่าเป็นบิดาศัลยแพทย์สมัยใหม่ ในสมัยกลางมุสลิมมีการแพทย์ที่ครอบคลุมและสมบูรณ์ ตำราทางการแพทย์นอกจากจะมีเป็นภาษาอาหรับของโลกอิสลามแล้วยังได้แปลเป็นภาษายุโรปและใช้จนถึงยุคสมัยที่ก้าวหน้า อัซ-ซะห์รอวีเป็นคนหนึ่งที่เป็นผู้ร่วมพัฒนาทางวิชาการแพทย์ เขาเป็นเจ้าของหนังสือนับเป็นประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ คือ หนังสือ كتاب التصريف لمن عجز عن التأليف (Kitab al-Tasrif) มีทั้งหมด 30 เล่มเป็นสารานุกรมทางการแพทย์ เป็นหนังสือที่ใช้ควบคู่กับหนังสือของ อิบนุซีนา เป็นเวลานานถึง 5 ศตวรรษ ผลงานบางอย่างของอัซ-ซะห์รอวี อัลหุมัยดี นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ ได้เขียนในหนังสือของเขาที่ชื่อ جذوة المقتبس في أخبار علماء الأندلس (ไฟยังไม่มอดในประวัติ ของนักวิทยาศาสตร์อันดาลูเซีย) ว่า อัซ-ซะห์รอวีเป็นนักการศาสนาและนักวิทยาศาสตร์ เขาได้รักษาคนไข้เพื่ออัลลอฮฺโดยไม่คิดค่าตอบแทนใดๆใน ตลอดเวลาครึ่งวันของการทำงาน เขาเป็นคนแรกที่ใช้เอ็นเย็บแผลภายในด้วย catgut เป็นเอ็นที่อยู่ในกลุ่ม "ไหมละลาย" (Absorbtable) ชนิดหนึ่ง ในหนังสือ Kitab al-Tasrif อัซ-ซะห์รอวี ได้เขียนอธิบายถึงวิธีการและขั้นตอนของการผ่าตัดหลอดคอ (tracheostomy) เป็นการผ่าตัดเปิดหลอดลมคอออกเป็นรู เพื่อช่วยในการหายใจ การผ่าตัดหลอดลมนี้ได้มีมานานแล้วในยุคอียิปต์โบราณ เพื่อรักษาอาการของคนที่หายใจไม่ออก จากนั้นกรีกโรมันได้นำความรู้นี้บันทึกในบันทึกศาสตร์ทางการแพทย์ของพวกเขา ต่อมาการผ่าตัดแบบนี้ได้หยุดไปอันเนื่องมาจากมีคนเสียชีวิตเกิดขึ้นระหว่าการผ่าตัด อัซ-ซะห์รอวีได้มาพัฒนาวิธีการผ่าตัดหลอดลมนี้จนประสบผลสำเร็จ เขาเป็นคนแรกที่ใช้ท่านอนศรีษะต่ำปลายเท้าสูง (Trendelenburg Position)ถ้าต้องการผ่าตัดคนนั้นในบริเวณที่ต่ำกว่าท้อง และท่านอนตรงกันข้าม(Reverse Trendelenburg position) ถ้าต้องการผ่าตัดบริเวณเหนือกว่าท้อง เขาเป็นคนแรกที่รักษาคนไข้ที่มีปัญหาหลอดเลือดดำเมื่อ 1000 กว่าปีมาแล้ว โดยใช้วิธีการ Stripping of the veins และวิธีการนี้ในฟื้นขึ้นมาใช้อีกในปัจจุบัน เขาเป็นคนแรกที่ค้นพบความสัมพันธ์ระว่างความพร้อมทางร่างกายกับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบความผิดปกติทมงกรรมพันธุ์และความสามารถถ่ายทอดของโรคบางชนิดทางกรรมได้ เช่น โรค ฮีโมฟิเลีย (Hemophilia)   จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 22:22:42

ความคิดเห็นที่ 51 ไม่ทราบว่า หมอชีวก หรือวิทยาการอินเดีย ก่อนยุคอิสลาม มีอะไรแบบนี้ไหมครับ เรามาว่ากันตามจริงดีกว่า จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 22:23:13

ความคิดเห็นที่ 52 ผมถึงสรุปไง รูปปั้นที่ว่า ไม่ทำอะไรเลยครับ เพราะมันทำอะไรไม่ได้ไงล่ะครับ ไม่เหมือนอิสลาม ที่สามารถสร้างสังคมอุดมคติได้ แต่อาหรับปัจจุบันเขาห่างเหินจากอิสลามไปครับ แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เมื่อปฏิบัติอิสลาม ก็สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้จริง แล้วรูปปั้นล่ะ ทำอะไรให้อินเดียบ้าง? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 55 22:28:53

ความคิดเห็นที่ 53 ความจริงข้อนึงของชีวิต คนเรามักแปรผันตามสภาพแวดล้อมที่ตนอยู่ แง่บๆ จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 55 09:17:48

ความคิดเห็นที่ 54 ประเด็นคงไม่ได้อยู่ที่เรื่องรูปปั้นลุกขึ้นมาทำอะไรได้ หรอกนะ แค่รูปปั้นนั่งนิ่งเฉย ไม่ทำร้ายใครๆ  ก็มีคุณธรรมมากกว่าพวกที่ไม่เคารพรูปปั้นแล้วไปเข่นฆ่าใครๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ประเด็นคือเรื่องคน ต่างหาก . . . . อินเดียเจริญสมัยนี้ ก็หลังจากรับวัฒนธรรมของผู้ไม่นับถือรูปปั้นครับ แต่ก่อนหน้านั้น มันก็ยังป่าเถื่อนล้าหลังอยู่ดีนั่นแหละ. . . . . . .  แต่อาหรับปัจจุบันเขาห่างเหินจากอิสลามไปครับ แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เมื่อปฏิบัติอิสลาม ก็สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้จริง . . . เป็นงั้นไป สรุปได้อย่างนี้ ก็ไม่ต้องเสวนากันต่อแล้ว เวลาคนอื่นเขาเจริญกว่า ก็โบ้ยว่าเพราะไปรับวัฒนธรรมเหมือนตนเอง(จากผู้ไม่เคารพรูปปั้น แต่รับมาแล้วคนอินเดียก็ยังเคารพรูปปั้นอยู่เด้อ) พอตนเองด้อยกว่า ก็โบ้ยอีกว่า เพราะห่างเหินหลักศาสนา (หรือว่าหันไปเคารพเจว็ด) วิทยาการเทคโนโลยี่ สมัยใหม่นะ ที่มาจาก ตะวันตก หรือ ญี่ปุ่น ผู้ที่คิดค้นนี่ไม่ได้เคารพรูปสักการะอะไรเลยจริงหรือจ้ะ แล้วคนอินเดียรับไปนี่ทั้งดุ้นเลย ไม่มีการพัฒนาต่อยอดหรือคิดค้นเองใหม่เลย หรือไง นักวิทยาศาสตร์ระดับแนวหน้าของอินเดีย กับ อาหรับ ใครมากกว่ากัน แล้วทำไม อาหรับอิสลาม ถึงไม่เจริญเหมือนอินเดียปัจจุบัน ทั้งที่เป็นต้นตำหรับไม่เคารพรูปปั้น แล้วยังทำลายรูปปั้นผู้ต่างศรัทธาทิ้ง แต่กลับย้อนยุค กลับไป แล้วถ้าอาหรับอิสลามห่างเหินจากอิสลามไปแล้ว ทำไมพวกมุสลิมไทย ถึงต้องไปศึกษาอิสลามจากที่นั่น กันมากมาย แสดงว่าไปศึกษาสิ่งผิดๆ กลับมา หรือไร จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 22 ก.พ. 55 04:27:13

ความคิดเห็นที่ 55 แล้วที่กล่าวว่า แต่ก่อนหน้านั้น อินเดียก็ยังป่าเถื่อนล้าหลังอยู่ดีนั่นแหละ อย่าลืมนะว่า อินเดียก็เคยถูกปกตรองโดยราชวงศ์มุสลิมอยู่นาน ทำไมไม่ช่วยทำให้อินเดียหายล้าหลังได้หรือ จนกระทั่งอินเดียยกเลิกระบบราชวงศ์ มาปกครองด้วยระบอบใหม่โดยคนฮินดูส่วนใหญ่ กลับเจริญรุดหน้ากว่าสมัยมุสลิมปกครอง จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 22 ก.พ. 55 04:42:13

ความคิดเห็นที่ 56 อินเดียถูกปกครองโดยมุสลิม แต่ไม่ทั้งหมดครับ ถ้าไม่รู้เรื่องก็ไปศึกษาประวัติศาสตร์ก่อนจะดีกว่าไหม อินเดียนั้น ราชวงศ์โมกุลปกครองแต่ในแคว้นต่างๆ มหาราชาของแคว้นก็ปกครองอยู่เหมือนเดิมครับ และที่ผมพูดก็เรื่องจริงอิสลามเป็นศาสนาเดียวที่เปลี่ยนแปลงสังคมได้ สามารถนำพาผู้คนที่ล้าหลังไปสู่แสงสว่างได้ แต่ถึงกระนั้น ราชวงศ์โมกุลที่ปกครองอินเดีย ถามว่าเอาหลักการทางศาสนามาใช้มากน้อยแค่ไหนล่ะครับ? หรือปกครองเฉยๆ ตามธรรมเนียมของผู้พิชิต ผมถึงบอกไง อยู่มาเป็นพันๆ ปี รูปปั้นมันไม่ช่วยอะไร ตามที่ผมว่าไว้นั่นแหละทั้งทางตรงทางอ้อม ไม่เคยช่วยเหลืออะไรเลย ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง แต่อิสลามศาสนาที่ประทานมาจากพระเจ้านั้น นำความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง และประโยชน์มหาศาลแก่มนุษยชาติครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 55 21:07:46

ความคิดเห็นที่ 57 ผมถึงถามไง หมอชีวก ที่ว่านั้นน่ะ มีผลงานอะไรบ้าง? มีใครไปต่อยอดมั่งไหม จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 55 21:11:27