หายใจเข้าหายใจออกจริง ๆ จัง ๆ แล้ว เห็นความตายของตนเอง มันก็รีบทำสมาธิอย่างเขาว่าภาวนา กันตาย แต่ก็ยังดีกว่าที่จะไม่เห็นความตาย เพลิดเพลินอยู่ตลอดเวลา กลัวตายนี่แหละเป็นของสำคัญ มาก อะไรไม่สำคัญเท่ากลัวตายหรอก เหตุนั้นจึงให้พิจารณาอานาปานสติ ลมหายใจเข้าไม่หายใจออก มันก็ตาย หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้ามันก็ตาย ให้พิจารณาเห็นความตายทุกขณะทุกเวลาดังนี้ จิต มันก็จะสลดสังเวชในสังขารร่างกาย แล้วก็จะรวมลงไปเป็นอันหนึ่ง เป็นสมาธิภาวนา แต่จิตนั้นซีมัน ไม่ตาย จิตนี้มันตายไม่เป็นหรอก ไม่มีลมมันก็ไม่ตาย มันไม่อาศัยลมก็เกิดในที่ต่าง ๆ ได้ เกิดเป็น สิงสาราสัตว์ ไปเป็นเปรต อสุรกาย มนุษย์ เทพบุตร เทวดา ก็ไม่มีลมทั้งนั้น ไม่ได้ไปเกิดในที่นั้น ๆ เพราะลม ที่มันเกิดในธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันจึงอาศัยลม
จิตไม่มีตัวมีตน จิตไม่มีลมเป็นของรู้สึกเฉย ๆ จิตกับใจมันต่างกัน จิตเป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง แต่งสารพัดอย่าง สัญญาอารมณ์ร้อยแปดพันประการ ที่ท่านว่ากิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด มันก็ออก ไปจากจิตนี้เอง จิตก็ออกไปจากใจ จิตนั่นแหละพาไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่ อยากเห็นจิตเห็นใจ ต่อ เมื่อจิตรวมเป็นสมาธิแน่วแน่เต็มที่แล้วเข้าถึงอัปปนาเมื่อไรเข้าถึงตัวใจเมื่อนั้น ถ้ายังไม่ถึงอัปปนา สมาธิ ก็จะเห็นแต่จิต จิตเป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง และสัญญาอารมณ์ทั้งหมดเรียกว่าจิต จึงต้อง รักษาตรงนี้แหละ ควบคุมตรงนี้ไว้ให้ดี เมื่อสติไปควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจของตน ในบังคับของตน จนกระทั่งจะให้คิดก็ได้ ไม่ให้คิดก็ได้ ให้มันอยู่เฉย ๆ ก็ได้ จิตมันจะคิดหยาบหรือละเอียดก็รู้ตัวอยู่ เป็นบุญเป็นบาปอะไรก็รู้ตัว อันนั้นแหละเป็นตัวปัญญา แต่ไม่ใช่ปัญญาวิปัสสนา เป็นปัญญาสามัญนี่ แหละ เราควบคุมจิตให้ได้มันจึงจะเกิดปัญญา ใคร ๆ ก็พูดกันว่า ปัญญาเกิดจากสมาธิ แต่มันจะเกิด ขึ้นด้วยอาการอย่างไรย่อมไม่รู้ ไปเอาโน่นแน่ะ สมาธิที่ให้เกิดความรู้เห็นโน่น เห็นนี่ แปลก ๆ ต่าง ๆ เช่น เห็นเทพ เห็นภูตผี ปีศาจต่าง ๆ โน่น เรียกว่าอภิญญา อภิญญาถ้าผู้ใดได้แล้วนำมาเล่าสู่กันฟัง ตื่นเต้นดีนัก แต่ไม่เป็นไปเพื่อจะละความชั่ว ส่วนปัญญาจริง ๆ แท้ ๆ นั้น ตัวนี้แหละตัวที่เราควบคุม จิตได้ให้อยู่ในบังคับของตัวเรา รู้เห็นต่าง ๆ สารพัดทุกอย่าง จะคิดก็ได้ไม่คิดก็ได้ ปรุงแต่งก็ได้ ไม่ปรุง แต่งก็ได้ อันนี้คือตัวปัญญาธรรมดานี่แหละ เห็นแจ้งประจักษ์ชัดด้วยกันทุก ๆ คน แล้วที่จะละได้ด้วย ถ้าหากผู้นั้นเห็นโทษด้วยตนจริง ๆ
ส่วนปัญญาที่เราควบคุมไว้ได้ มันอยู่ในขอบเขตของไตรลักษณ์ พิจารณาไปมันก็ลง ไตรลักษณ์ สิ่งทั้งปวงหมดอยู่ในขอบเขตของไตรลักษณ์ทั้งนั้น คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นธรรม แล้ว คราวนี้ของในโลกทั้งหมดมันอยู่ในขอบเขตของไตรลักษณ์ ไม่หนีไปจากไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง เบื้องค้นเราต้องพิจารณาให้เห็นในตัวของเรานี้เสียก่อน เราเกิดมาเป็นตนเป็นตัว ทำมาหากินทุก ๆ วัน เป็นทุกข์เพราะการหาไม่หยุด หาไปรับประทานไป หมดไปแล้วหาใหม่อีก จึงเป็นอนิจจัง เพราะหามาไม่ แล้วสักที ของเหล่านั้นมิใช่ของใครทั้งหมด เป็นแต่เก็บมาบำรุงร่างกาย แล้วก็สลายไปเป็นธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น มิใช่สัตว์บุคคลของใครทั้งสิ้น เหมือนกับเราเอาขี้ชันมายาเรือรั่วไว้ ฉะนั้น เรายา ไว้เพื่อจะได้ใช้ชั่วคราวเท่านั้น ความรอบรู้ตรงนี้แหละเรียกว่าปัญญา
เมื่อควบคุมจิตได้แล้วมันจะรวมมาเป็นหนึ่ง เข้าถึงอัปปนาสมาธิ นิ่งแน่วลงสู่อันหนึ่ง คือ ใจ จิตกับใจมันต่างกันอย่างนี้ รักษาจิตควบคุมจิตได้แล้ว มันจึงค่อยรวมลงมาเป็นใจ ใจคือผู้ไม่คิด ไม่นึก มีความรู้สึกในตัวอยู่เฉย ๆ บางแห่งท่านก็เรียกว่า "ธาตุรู้"
การปฏิบัติศาสนา สรุปรวมความแล้วก็มาลงที่ธาตุรู้อันเดียว หมดเพียงแค่นั้น แต่ความรู้นั้น แตกต่างออกไปอีก มันพิสดารออกไปอีก ต่างคนต่างรู้ เมื่อลงถึงธาตุรู้แล้วก็หมดเรื่องภาระปฏิบัติ เพียงแค่นั้น ครั้นออกจากใจมาเป็นจิต คราวนี้จิตมันควบคุมตัวของมันเองตลอดเวลา ไม่ต้องตั้งใจ ควบคุม ไปไหนทำอะไรต่าง ๆ สารพัดทุกอย่าง มันควบคุมตัวของมันเอง มันไม่หลงไม่ลืม ไม่เผลอตัว คราวนี้ยิ่งมีความรู้กว้างขวางมาก มองเห็นสิ่งสารพัดทั่วไปหมดทั้งโลกลงเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น
จะปฏิบัติอย่างไรต่อไปอีกละคราวนี้ ไม่เห็นได้ปฏิบัติอย่างไรอีก ขอให้เป็นอยู่อย่างนั้นเรื่อย ๆ ไปก่อน นานแสนนานเป็น ปี ๆ ทีเดียว ที่ว่าปฏิบัติไปก็ไม่เห็นมีความรู้อะไรก้าวหน้านั้นแสดงว่า จิต เสื่อมหรือถอนแล้ว นักปฏิบัติไม่ต้องทะเยอทะยานอยากให้เกิดความรู้ต่าง ๆ ถ้ามันเต็มขั้นเต็มภูมิ ของมันแล้ว มันจะเกิดความรู้ของมันเอง การปฏิบัติเข้าถึงหลักของพระไตรลักษณ์ก็ดีอักโขแล้ว จะ เอาอะไรกันอีก โดยมากปฏิบัติได้แต่ฟุ้งซ่านอยู่ในความวุ่นวายเหล่านี้แหละ แล้วก็เข้าใจว่าตนมีความ รู้ความสามารถ แท้ที่จริงเราเป็นทาษของโทสะ มานะ ทิฐิต่างหาก ไม่รู้กิเลสของตนเองเลย เอวํ.
นั่งสมาธิ
ท่านอาจารย์อบรมนำก่อน
ลองทำดูคราวนี้มันจะถูกไหม ให้พิจารณาอานาปานสติกำหนดลมหายใจ เข้า ออก ดูที่ลม หายใจ เข้า ออก อยู่อย่างนั้นแหละ จนมันนิ่งแน่วเป็นอารมณ์อันเดียว แล้วพึงกำหนดเอาแต่ผู้รู้ แต่ผู้เดียว ลมพึงวางเสีย ไม่พึงกำหนดเอา ก็จะเห็นจิตของตนชัดขึ้นมาว่า อ๋อ จิตมันอย่างนี้หนอ สิ่งที่ พิจารณานั้นอย่างหนึ่ง ผู้ไปพิจารณาอีกอย่างหนึ่ง ให้หาตัวผู้ไปพิจารณาลมหายใจ อุปมาเหมือนอย่าง เรามองดูพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ เราไม่ได้มองดูผู้ดู ซึ่งเป็นตัวผู้รู้ แต่เราไปมองดูพระอาทิตย์ พระจันทร์ จึงไม่เห็นตัวผู้รู้ ถ้าเราวางเสีย พระอาทิตย์พระจันทร์ แล้วหันเข้ามามองผู้รู้แต่อย่างเดียว ก็จะเห็นตัวผู้รู้ทันที
อีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่พิจารณาลมหายใจ เข้า ออก จนรวมลงไปแน่วแน่เต็มที่แล้ว แต่ไม่มีอุบาย ที่จะพิจารณาอะไร พึงอยู่อย่างนั้น (อันนี้ว่า เฉพาะผู้ที่เป็นแล้ว) คำว่าใจในที่นี้ หมายถึงความเป็นกลาง กลางของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงหมด เรียกว่า กลาง ตัวกลางนั้นคือใจนี้เอง เมื่อจะชี้ถึงใจของคนแล้ว จะต้องชี้เข้าที่ท่ามกลางหน้าอกนี่เอง แท้จริงแล้วใจของคนไม่ได้อยู่ ณ ที่นั้น มันอยู่ได้ทั่วไปหมด นึกให้มันอยู่ที่ไหนได้ทั้งนั้น นึกให้มันอยู่ที่หัว ที่ท่ามกลางอก ที่แขน ที่ขา หรือที่ปลายเท้าก็ได้ สุดแท้ แต่เราจะนึกให้อยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ให้เข้าถึงใจ รู้จักใจ แล้วหากจะรู้จักจิต เพราะใจกับจิตมันอยู่ด้วย กัน ส่วนพิสดารต่อไปนั้นมันจะรู้ขึ้นมาเอง เอาละพอสมควรแล้ว.
ขอให้เจริญในธรรมครับ _/\_
จากคุณ |
:
tripper 95
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ก.พ. 55 08:22:09
|
|
|
|