Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เมื่ออยู่ในสมาธิมีความบริสุทธิ์แล้วได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้ อุตริมนุษยธรรมมีความเป็นไปได้ใหม? ผมเห็นว่ามีความเป็นไปได้ ติดต่อทีมงาน

สำหรับผมนั้น ตั้งอยู่ในธรรมที่ว่า

     "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

     และผมก็มีฐานะในความเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ เพราะจบการศึกษาทางโลกทางนี้ ก็ได้อาศัยวิทยาศาสตร์จ้า ทำมาหากินเลี้ยงชีพจนถึง ณ. ปัจจุบัน โดยไม่ต้องโฆษณาความเชื่อ ให้ผู้อื่นลุ่มหลงเพื่อได้ทรัพย์มาเป็นของตน แบบหลอกลวง

     และการเชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นสิทธิ์ของบุคคลนั้นๆ เป็นธรรมดา ในการศึกษาและเรียนรู้ของผู้นั้นเอง ซึ่งผมก็ไม่มีประโยชน์ร่วมด้วย ซึ่งผมรู้ฐานะในการวางตนเพื่อไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใดมากไปกว่านี้ ที่จะรู้จักมักคุ่นถึงตัวและไม่พยายามทำกิจกรรมใดๆ ร่วมกันในสังคมภายนอก

      จึงทำให้ผมรู้สึกถึงเรื่องที่จะเสนอนี้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะไม่ตั้งเจตนาเพื่อโกหกหรือหลอกลวง และไม่รู้ว่าจะโกหกไปเพื่ออะไรด้วย จึงตั้งขึ้นเป็นข้อมูลปฐมภูมิ(ข้อมูลดิบ ให้ไปย่อยกันเองครับ) ในการสนทนาธรรม เพราะมีพอหลักฐานทางพุทธศาสนาอยู่  

เนื่องจากผมได้แจมในกระทู้นี้

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11741326/Y11741326.html

เรื่อง "ความเข้าใจ."    เมื่อได้แจมไปแล้วก็ทำให้มันชัดเจนไปเสียเลยครับ.

เพราะจากการเสนอข้อมูลของคุณ คุณ สัมมาทิฏฐิ ทำให้ผม "เข้าใจชัด"  ในส่วนนี้.

----------------------------------------------
“อาตมภาพนั้น  เมื่อจิตเป็นสมาธิ  บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว  ไม่มีกิเลส  ปราศจากอุปกิเลสอ่อน
ควรแก่การงาน  ตั้งมั่น  ไม่หวั่นไหวอย่างนี้  ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้ จุติและอุบัติของสัตว์
ทั้งหลาย
------------------------------------------------

   ผมก็เกิดความเข้าใจขึ้นมา กับสภาวะที่เกิดกับตน แต่ผมไม่สามารถอาจเอื้อม ในคำว่า "บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว" ดังพระภิกษุ ที่คุณสัมมาทิฏฐิอ้างถึง ว่า.

   อือ... จริงๆ ด้วย ว่า ตนเองได้น้อมจิตไปเพื่อรู้ก่อนจริงๆ ทุกครั้ง แบบเพียงประสงค์จะรู้ ธรรมดาๆ เพราะเกี่ยวข้องกับตนเท่านั้น ไม่ใช่เพราะมีความอยาก จนจดจ่อเลย ในขณะที่อยู่ในสมาธิ ที่สงบเบาที่คลายที่ว่าง แต่มีสติหล่อเลี่ยงอยู่อย่างต่อเนืองๆ ไม่มีความรู้สึกทางกายเหลืออยู่เลย ไม่สามารถนึกคิดอะไรได้เมื่ออยู่ในสภาวะนั้น
     แล้วถอยมารับรู้ทางอารมณ์ที่นึกคิดได้ก่อนเล็กน้อย จึงได้น้อมจิตไปเืพื่อเพียงประสงค์จะรู้ แล้วได้เข้าสู่สมาธิสภาวะเดิมไปเอง แล้วเพิกสภาวะนั้นไปเอง จึงเกิดญาณและนิมิตปรากฏให้ชัดแจ้ง ตามที่จิตน้อมไปเพื่อรู้.

     แต่ผมไม่ได้สนใจเพื่อฝึกให้ชำนาญ.... จึงปรากฏได้ในยามพอเหมาะพอควรเท่านั้น เมื่อพอเหมาะและเกิดจิตน้อมไปเพื่อรู้นั้นเท่านั้น ไม่ใช่เมื่อประสงค์จะรู้เมื่อใดก็รู้ได้เมื่อนั้น เพราะไม่เคยสนใจฝึกมาก่อน.

-------------------------------------------------------
     กรณีที่ 1.ประมาณปี 2541 ในขณะที่อยู่ในสมาธิ ที่สงบเบาที่คลายที่ว่างแต่มีสติหล่อเลี้ยงอยู่อย่างต่อเนืองๆ เสมือนไม่มีอะไร ไม่รับรู้ทางร่างกายเลย แล้วถอยมาพอนึกคิดได้แล้วได้น้อมจิตไปเืพื่อรู้ ถึงเพือนที่พึ่งบวชพระ เพราะบวชพระครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 จะบวชได้นานหรือไม่?
     แล้วสมาธิก็กลับเข้าสู่ภาวะเดิมเอง แล้วเพิกออกเกิด ญาณ และภาพนิมิตเสมือนดังพระภิกษุเห็นชายจีวรชัด แล้วญาณรู้นั้นก็ผุดขึ้นมาว่า

     "พระเพื่อนนั้นได้รักษาพรหมจรรย์มานานแล้ว จะรักษาพรหมจรรย์คือเป็นพระได้ตลอด"

     ซึ่งขณะนี้ ท่านก็ยังบวชอยู่ไม่สึก เป็นเวลา 10 กว่าปีไปแล้ว.
-------------------------------------------------

    กรณีที่ 2. ประมาณปี 2541 ในขณะที่อยู่ในสมาธิ ที่สงบเบาที่คลายที่ว่างแต่มีสติหล่อเลี้ยงอยู่อย่างต่อเนืองๆ เสมือนไม่มีอะไร แล้วถอยมา แล้วได้น้อมจิตไปเืพื่อรู้ ว่าตนได้งานมีรายได้ดีอย่างนี้ อย่างปัจจุบัน (เพราะก่อนปี พ.ศ 2539 ซึ่งชีวิตครอบครัวทุลักทุเลมาอย่างยาวนาน)  ไปอีกยาวนานเท่าไร
    แล้วสมาธิก็กลับเข้าสู่สภาวะเดิม แล้วเพิกออก เกิด เป็นนิมิตเป็นดวงๆ ใสชัดเจน แล้วมีเลขอายุ ปัจจุบันปรากฏในดวงใสสว่างนั้นอย่างชัดเจน ดับแล้วเกิดดวงใหม่ ที่มีเลขอายุของตน เป็นปีๆ ไป เป็นดวงๆ ไป อย่างยาวนาน เพราะตอนนั้นอายุประมาณ 39 ปีเอง  แล้วในดวงที่มีเลข 58 ปีที่ชัดเจน พอถึงดวงที่เลขอายุ 59 ความสดใสแสงนั้นวูบลงไปเกินครึ่ง เหลือประมาณ 1 ใน 4 หรือ ใน 5 แล้วเกิดดับต่อไปอีก ถึง 10 กว่าดวงที่เดียว.

    จึงพอรู้อายุขัยแห่งตนนั้น จะอยู่ที่ประมาณ 70 ปี บวก-ลบ แต่ไม่น้อยกว่า 60 แน่  แต่ก็ดันมีผู้ประมาทในอายุของผมจนได้ เมื่อผมเกิดสภาวะเฉียดตาย ด้วยโรคไขมันอุตตันในเส้นเลือดสมองอย่างเฉียบพลัดนั้นเมื่อ มกราคม ปีที่แล้ว อย่างหลีกเลียงไม่ได้จริงๆ ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ไปทำอะไรเขาเลย และไม่เกี่ยวข้องกันเลยครับ นี้และหนอวิบากกรรม ของแต่ละคน.
-------------------------------------------------

      กรณีที่ 3. ประมาณปี 2552 ในขณะที่อยู่ในสมาธิ ที่สงบเบาที่คลายที่ว่างแต่มีสติหล่อเลี้ยงอยู่อย่างต่อเนืองๆ เสมือนไม่มีอะไร แล้วถอยมา แล้วได้น้อมจิตไปเืพื่อรู้ว่า แล้วชาติถัดไปถอยจากปัจจุบันนี้ตนได้เกิดเป็นอะไรบ้าง ที่รู้ว่าเพียงเกิดเป็นอะไรก็พอ แล้วสมาธิก็กลับเข้าสู่สภาวะเดิม แล้วเพิกออก
     เกิดนิมิตเหมือนดังตนเองนั่งอยู่บนบรรลังค์ อาภรเบาสบายและร่างกายเบาสบายมีสุขปีติอยู่และญาณรู้เกิดขึ้นมาว่าเป็น "เทพเทวดา"

     แล้วทั้งนิมิตและญาณนั้นเพิกออกไป เกิดจิตน้อมเพื่อรู้ไปเองโดยไม่เจตนาว่าชาติถัดไปเป็นอะไรต่อ จิตที่น้อมนั้นโดนเพิกออกไป เป็นนิมิตเหมือนตนเองกำลังมองไปทางด้านซ้ายของตนเองเห็นขนนกสีขาวและเป็นปีกขนาดโหญ่ที่กางปีกบินแบบกำลังร่อนอยู่พร้อมทั้งมีความรู้สึกล่องลอยอยู่กลางอากาศ แล้วเกิดญาณรู้ว่า เป็นนกใหญ่สีขาว

     แล้วนิมิตและญาณนั้นได้เพิกออกไป และจิตน้อมเพื่อรู้ไปเองโดยไม่เจตนาแล้วว่าชาติถัดไปเป็นอะไรต่อ จิตที่น้อมนั้นโดนเพิกออกไป  เป็นนิมิตที่มืดไม่มีความสบายอยู่เลย แม้ในแบบของสัตว์เดรฉานอย่างนกนั้นเลย แช่อยู่อย่างนั้นพักหนึ่งนานพอประมาณ

     จึงถอนถอยออกมารับรู้ทั้งตัวที่นั่งสมาธิ นั้นอยู่. เมื่อนำมาพิจารณาภายหลัง ก็ประมาณได้ว่า เมื่อย้อนชาติถอกกลับคือ ปัจจุบนเป็นมนุษญ์ > เป็นทวดา > เป็นนกใหญสีขาว > อบายภูมิต่ำกว่าสัตว์เดรฉาน
------------------------------------------------

   สรุป ผมจึงบอกว่า ผมได้เกิดความเข้าใจชัด ในกระทู้นี้ก็ด้วยการแสดงความคิดเห็นในข้อความนั้นจริงๆ และย้ำอ่านอยู่ 3-4 ครั้งที่เดียวตรงส่วนนั้น ทั้งที่ได้อ่านข้อความแบบนี้หลายครั้งแล้วในอดีตที่สนทนาธรรมกัน ซึ่งตรงกับหัวกระทู้ที่ถามพอดี "ความเข้าใจ".


   หมายเหตุ และมีเรื่องที่ว่า น่าตลกอยู่เรื่องหนึ่งก็ได้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง แต่เป็นเรื่องจริง เอามาเล่าแจมเพิ่มขึ้น  เพื่อนผมได้ โทร. มาหาผม ว่าจะบวชในช่วงเข้าพรรษานี้อีกประมาณเกือบ 2 เดือน เตรียมใจและบอกญาติบางส่วนแล้ว  ผมเชื่อครับและคิดว่า เพือนคงบวชแน่ ในครานี้ เพราะอยากจะบวชมานานแล้ว.

    ผมก็บอกภรรยา แต่ภรรยาเกิดไม่เชื่อ ทั้งที่ผมให้เหตุผลแล้ว เราทั้งสองจึงลองใช้ "ทิพจักขุอุปาทายนั่ง" ตามที่ได้เรียนมาจากพระอาจารย์ ต่างคน ต่างดู ไม่บอกกัน เขียนเก็บไว้ในกระดาษ

    แล้วเอากระดาษนั้นมาแสดงยันกันจึงรู้กัน 2 คน เพราะนิมิตบอกออกมาตรงกันคือ "ไม่ได้บวช" แล้วเก็บเรื่องนี้เงียบ ไม่บอกเพือนเลย ในเดือนถัดมาเพื่อนก็โทรมาอีก ว่าจะบวชแน่นอน เตรียมทุกอย่างเกือบพร้อมแล้ว ผมจึงได้บอกเพือนว่า ผมและแฟนได้ดูเรื่องนี้ไว้แล้ว และได้เขียนไว้บนกระดาษเพื่อนก็สนใจ จึงถามว่า แล้วผลออกมาอย่างไร

     ผมได้ตอบว่า เอาไว้ใกล้วันบวช ก็จะเปิดให้ดู    แล้ววันที่ใกล้เข้าพรรษา ก็ขยับเข้ามาๆ   แล้วเพื่อนก็ได้โทร. มาหาอีก และได้ถามว่า ที่ดูกันสองคนของผมกับแฟน เป็นอย่างไรหรือ? แบบคะยันคะยอตามประสาเพื่อน ที่อยากรู้

      ผมจึงบอกไปตรงๆ ว่า ผมกับแฟนดูแล้วเห็นตรงกันในนิมิตว่า เพื่อนไม่ไ้ด้ บวช  

       แล้วเพื่อนก็พูดว่า จริงๆ ผมคงไม่บวช พ่อแม่ก็ยินยอมแล้ว แต่ก็ยังเป็นทุกข์ที่จะไปบวช จึงตัดสินใจไม่บวชแล้ว.

       สรุป...
            สุดท้าย ถ้ามีผู้มาถามผมให้ดูอะไรให้ หรือ มาท้าผมในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ผมไม่ตอบสนองนะครับ และคงไม่สามารถตอบสนองได้เพราะ.

     "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

เอามาเล่าเพียงเป็นข้อมูลดิบในทางบันเทิงธรรม ก็เพียงพอแล้วครับ.

       และท่านผู้อ่านร่วมสนทนาได้ ในกรอบการสนทนาธรรมนะครับ.

จากคุณ : P_vicha
เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 55 11:38:55




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com