ไม่ว่า นับถือศาสนาไหนๆ คนเราล้วน ต้องเกี่ยวกับ ๓ ก และ ๔ ค
ใคร จะค้าน ?
กอ ที่ ๑ --- กิน
กิน นับตั้งแต่แรกเกิด - นมแม่ (สมัยนี้ หลังยุคปฏิวัติอุตสหากรรม ฯ เลย มีนม สัตว์ กิน เพราะ บางแม่ กลัว นั้นกลัวนี้ ฯ)
แม่ จึงคือ ผู้สร้างโลก
ทั้งโลก ที่เนื่องกับ โลกียธรรม แล้ว ก็ โลก ที่เนื่องกับ โลกุตตรธรรม
ตัวอย่าง ไม่มีแม่ ก็ไม่มี เจ้าชายสิทธัตถะ ที่ ตรัสรู้ปฏิจจฯ ที่ไม่เคยฟังจากใครมาก่อน ฯ
จึงต้องมี พรรษาที่ ๗ ฯ
สมัยนี้ พ้นวาระกินนมแม่ ฯ เมามัวเพราะหลงผิดด้วย สัญญาวิปลาส ฯ ใน ระบบการศึกษาแบบฝรั่ง ฯ จบมหาวิทยาลัยฯ แบบที่ท่านพุทธทาส ใช้คำว่า "การศึกษาแบบ สุ นัขหางด้วย" ฯ
กิน อารมณ์อันวิจิตทั้งหลายในโลก (ที่ ตรัสว่า หาใช่ กามไม่) แล้ว ครั้นมี อำนาจวาสนา หรือ มี โอกาส ก็ กินหินกินปูนกินถนน กินงบประมาณแผ่นดินอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ "บน ยัน ล่าง"
รากหญ้าแก่ๆ ก็อยากกิน 1000 บาท (หลังจากได้กิน 500 บาทต่อเดือน) ฯลฯ เพลินปล่อยให้ เขากินกันเป็นร้อย เป็นพันเป็นแสนล้าน ฯ
นี้คือ วิถีชาวพุทธไทยส่วนใหญ่ สมัย พ.ศ.นี้ ที่ เพลินใน วาทะกรรม เช่น "ความเป็นตัวตนของตนเอง" หรือ "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" หรือ ฯ ปล่อยให้ "คนเฉโก" กิน แกส ใต้ดิน ที่ เป็นทรัพย์ของแผ่นดิน ที่คนไทยทุกๆ คน ไม่เว้นใคร ควรต้องมีผลประโยชน์ร่วม ตาม คติ พระศรีอาริยเมตตรัย --- ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่คำถามฯ)
สรุป สั้นๆ ปุถุชน -- วิถีชีวิตพุทธ (ศาสนาอื่น ยกไว้) กิน ตั้งแต่เกิด ยันก่อนตายเข้าโลง เพราะ จิตเข้าถึงความเสร้าหมองแล้ว เพราะ นิวรณ์ทั้ง ๕ อันเป็น อุปกิเลส จรมา "ตามที่ตรัส"
หมายเหตุ อาหาร ๔ ที่ตรัส คือ เหตุ (อาหาโร) ๔ อย่าง ที่เนื่องกับ ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์เป็นตัวทุกข์) ***************************
ต่อจาก กิน ก็ กอ ที่ ๒
กอ ที่ ๒ --- กาม
กาม คือ สังกัปปะราคะ - ความกำหนัดยินดีไปตาม (คือ ใคร่เพราะไม่ได้สดับ ที่พระพุทธเจ้าตรัส) อำนาจความตรึกตริก (เพราะ ยังมีจิต อนุเสติในสิ่งใดฯ)
ตรัสว่า อารมณ์อันวิจิตรทั้งหลายในโลก หาใช่ กามไม่ (กามคุณห้า หาใช่ กาม คือ สังกัปปะราคะ ฯ)
(ธรรมคู่ปรับ คือ สัมมาสังกัปปะ มรรคองค์ที่ ๒ ที่ ต้องผ่าน สัมมาทิฏฐิ คือ สาสวาสัมมาทิฏฺฐิก่อน)
มีใคร ที่เข้ามาในห้องนี้ "ไม่ เคยชินอย่างยิ่ง จึงตามนอนเนื่องใน "กาม คือ สังกัปปะราคะ" (นิพเพธิกสูตร)
ที่ "เคี้ยวแล้วคาย และหรือ อมแล้วบ้วน"
จะกี่คน ที่ ไม่เนื่องกับ "เคยชินอย่างยิ่ง จึงตามนอนเนื่องใน "กาม คือ สังกัปปะราคะ"
ยิ่ง "พวกเนื้อไม้ใหม่" ตามที่ทรงอุปมา เนื้อไม้แห่งกลองอานกะว่า คำตรัสเรื่อง สุญญตา ของพระองค์ คือ เนื้อไม้ดั้งเดิม (ดู จูฬสุญญตสูตร) ส่วน คำของสาวก (ที่นิยมอ้างๆ นั่น เนื้อไม้ใหม่) ต่างก็ "เน้นย้ำ เสนอๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า" (แบบ "เรื่องส่วนตัวฉัน ทำไมละ?)
ปุถุชน -- วิถีชีวิตพุทธ (ศาสนาอื่น ยกไว้) จึง กาม (สังกัปปราคะ) -- กำหนด ตาม มหาตัณหาสังขยสูตรนั่นแหละ ฯ
แล้ว ทั้งกิน ทั้งกาม -- ล้วน เนื่องกับ สุขเวทนา ทางเนื้อหนังด้วย ทางใจด้วย หรือ ทางจิต แบบ ปุถุชน ที่ จิตประภัสสร เข้าถึงความเศร้าหมองแล้วเพราะ นิวรณ์ทั้ง ๕ อันเป็นอุปกิเลส
ต่อจาก กาม ก็ กอ ที่ ๓
กอ ที่ ๓ --- เกียรติ์
เกียรติ์ คือ ? --- ง่าย --- จบการศึกษา ระดับปริญญาตรีเป็นบัณฑิตฯ (แต่กลับ ปล่อยให้ สังคมไทย วิกฤติในทุกๆ ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง การศาสนา ฯ) --- ฉัน (ฆราวาส) จบการศึกษามหาวิทยาลัยเป็นนักปฏิบัติ (สนใจพระพุทธวจนะ? เพื่อ?) ฉันมีประสบการณ์นั่นนี้ ฯลฯ --- อยู่ๆ ก็ค้นพบวิชาที่สูญหายไปฯ --- ฯลฯ
********************************************* สรุป ไม่ว่า นับถือศาสนาไหนๆ คนเราล้วน ต้องเกี่ยวกับ ๓ ก
วิถีชีวิตพุทธ รุ่นใหม่ จะ ใหม่แบบไหน
แบบ น้ำมนต์ (มันก็น้ำนั่นแหละ) เก่า ในขวดใหม่ (แบบ ที่สาวก ทำขึ้น)
หรือ
แบบ อย่าประมาท พระพุทธเจ้า ยังทรงยังอยู่ (ธรรม วินัย ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษามา)
จากคุณ |
:
เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)
|
เขียนเมื่อ |
:
25 ก.พ. 55 10:11:37
|
|
|
|