ขณิกสมาธิืก็ตั้งมั่น แต่นิวรณ์ทั้ง 5 ยังไม่ดับสนิทครับ
อุปจารสมาธิก็ตั้งมั่น นิวรณ์ทั้ง 5 เริ่มอ่อนแรง บางทีอุปจารสมาธิ ก็ถูกเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า อุปจารฌาน ซึ่งก็คือ เฉียดฌานนั่นเอง
อัปปนาสมาธิตั้งมั่นจนนิวรณ์ทั้ง 5 ดับสนิท
อัปปนาสมาธิ อย่างเช่นปฐมฌาน ก็มี 3 ระดับเช่นกัน คือ
ปฐมฌานอย่างสามัญ เรียกว่าหินะ หรือปริตตะ มหัคคตกุศลวิบากจากอัปปนาสมาธิระดับนี้ ส่งผลให้ไปเกิดเป็นพรหมปาริสัชชา
ปฐมฌานอย่างกลาง เรียกว่ามัชฌิมะ มหัคคตกุศลวิบากจากอัปปนาสมาธิระดับนี้ ส่งผลให้ไปเกิดเป็นพรหมปุโรหิตา
ปฐมฌานอย่างละเอียดประณีต เรียกว่าปะณีตะ มหัคคตกุศลวิบากจากอัปปนาสมาธิระดับนี้ ส่งผลให้ไปเกิดเป็นท้าวมหาพรหม
ความเป็นไปแห่ง ปริตตะ มัชฌิมะ ปณีตะ ย่อมเป็นไปด้วยอำนาจ ๒ อย่าง คือ
๑. กำลังแห่งองค์อธิบดี ๔
๒. ความชำนาญในการเข้าสมาบัติ
๑. ความเป็น ปริตตะ มัชฌิมะ และปณีตะ ของฌานที่เกี่ยวเนื่องด้วยอธิบดีนั้น คือ ตามธรรมดาผู้ ที่เจริญสมถภาวนา จนถึงได้ฌานนั้น
ฉันทะ วิริยะ จิต ปัญญา ของผู้นั้น อย่างใดอย่างหนึ่งจะต้องเข้าถึงความเป็นอธิบดี
และเมื่อที่ฌานเกิดขึ้นนั้น ก็ต้องมีองค์อธิบดีอย่างใดอย่างหนึ่งประกอบอยู่ด้วย แต่ความเป็นอธิบดีของธรรมเหล่านี้ ถ้าเป็นไปอย่างสามัญแล้ว ฌานที่เกิดขึ้นนั้นก็เป็นปริตตฌาน คือ มีอำนาจอ่อน
ถ้าองค์อธิบดีอย่างใดอย่างหนึ่งเหล่านี้มีกำลังปานกลาง ฌานที่เกิดขึ้นนั้นก็เป็นมัชฌิมฌาน
และถ้าองค์อธิบดีอย่างใดอย่างหนึ่งมีกำลังเข้มแข็ง ฌานที่เกิดขึ้นนั้น ก็เป็นชนิดปณีตะคือมีอำนาจสูง
๒. ความเป็น ปริตตะ มัชฌิมะ และปณีตะของฌานที่เกี่ยวเนื่องด้วยการเข้าสมาบัตินั้นคือ ฌานลาภีบุคคล หลังจากที่ได้ฌานแล้ว ถ้าไม่ได้เข้าฌานอยู่เสมอ ๆ เพียงแต่นาน ๆ จะเข้าสักครั้งหนึ่ง ฉะนั้นฌานที่ตนได้นั้นก็จัดเป็นชนิดปริตตะ
ถ้าเข้าฌานพอประมาณ ฌานนั้นก็เป็นชนิดมัชฌิมะ
ถ้าเข้าฌานอยู่เสมอจนชำนาญ ฌานนั้นก็เป็นชนิดปณีตะ
อ้างอิง http://www.xn--p3clgfhca0f0a6b.com/?p=886