|
21049.สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา จากพระไตรปิฏก อรรถกถา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049
ถามว่า เริ่มตั้งวิปัสสนาอย่างไร ? แก้ว่า จริงอยู่ พระโยคีนั้น ครั้นออกจากฌานแล้วกำหนดองค์ฌาน ย่อมเห็นหทัยวัตถุ ซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งองค์ฌานเหล่านั้น ย่อมเห็นภูตรูป ซึ่ง เป็นที่อาศัยแห่งหทัยวัตถุนั้น และย่อมเห็นกรัชกายแม้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นที่อาศัย แห่งภูตรูปเหล่านั้น. ในลำดับแห่งการเห็นนั้น เธอย่อมกำหนดรูปและอรูปว่า องค์ฌานจัดเป็นอรูป, (หทัย) วัตถุเป็นต้นจัดเป็นรูป. อีกอย่างหนึ่ง เธอนั้น ครั้นออกจากสมาบัติแล้ว กำหนดภูตรูปทั้ง ๔ ด้วยอำนาจปฐวีธาตุเป็นต้น ใน บรรดาส่วนทั้งหลายมีผมเป็นอาทิ และรูปซึ่งอาศัยภูตรูปนั้น ย่อมเห็นวิญญาณ พร้อมทั้งสัมปยุตธรรมซึ่งมีรูปตามที่ตนกำหนดแล้วเป็นอารมณ์ หรือมีรูปวัตถุ และทวารตามที่ตนกำหนดแล้วเป็นอารมณ์. ลำดับนั้น เธอย่อมกำหนดว่า ภูตรูปเป็นต้น จัดเป็นรูป, วิญญาณที่มีสัมปยุตธรรม จัดเป็นอรูป. อีกอย่างหนึ่ง เธอครั้นออกจากสมาบัติแล้ว ย่อมเห็นว่า กรัชกายและจิตเป็นที่เกิดขึ้นแห่ง ลมอัสสาสะและปัสสาสะ. เหมือนอย่างว่า เมื่อสูบของช่างทองยังสูบอยู่ ลม ย่อมสัญจรไปมา เพราะอาศัยการสูบ และความพยายามอันเกิดจากการสูบนั้น ของบุรุษ ฉันใด, ลมหายใจเข้าและหายใจออก ย่อมเข้าออก เพราะอาศัย กายและจิตฉันนั้นเหมือนกันแล. ลำดับนั้น เธอกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก และกายว่า เป็นรูป, กำหนดจิตนั้นและธรรมที่สัมปยุตด้วยจิตว่า เป็นอรูป. ครั้นเธอกำหนดนามรูปด้วยอาการอย่างนั้นแล้ว ย่อมแสวงหาปัจจัยแห่งนามรูป นั้น. และเธอเมื่อแสวงหาอยู่ ก็ได้เห็นปัจจัยมีอวิชชาและตัณหาเป็นต้นนั้นแล้ว ย่อมข้ามความสงสัยปรารภความเป็นไปแห่งนามรูปในกาลทั้ง ๓ เสียได้ ------------------------------------- พุทธวิทยาน่ารู้ โดย พระครูศรีโชติญาณ (พระมหาแสวง โชติปาโล)
วิจัยเกี่ยวกับเรื่อง สมถะที่เป็นบาทของวิปัสสนา http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=10073
โดยมากชาวพุทธผู้ที่สนใจในการปฏิบัติธรรม มักจะพูดกันเสมอ ๆ ว่า การที่จะเจริญวิปัสสนาในเบื้องต้น จำเป็นจะต้องทำสมถะเสียก่อนแล้วจึงจะทำวิปัสสนาต่อไป ถ้าไม่ทำสมถะเสียก่อนแล้ว จะก้าวขึ้นไปทำวิปัสสนาได้อย่างไร เพราะสมถะเป็นเบื้องต้นของวิปัสสนา เท่าที่ผู้วิจัยเคยสังเกตมา ส่วนมากจะเป็นแบบนี้แทบทั้งนั้น เพื่อจะทำความเข้าใจให้เกิดขึ้นโดยยึดพระปริยัติเป็นหลัก ก็ใคร่จะขออธิบายให้เป็นที่เข้าใจกันเสียในที่นี้เลย อันที่จริง แนวในการปฏิบัติธรรม เพื่อทำใจให้หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงวางไว้แล้ว โดยแยกการปฏิบัติออกเป็น ๒ แนวคือ
แนวที่ ๑ เรียกว่า สมถยานิก คือ เจริญฌานสมาบัติให้เกิดเสียก่อน แล้วฝึกหัดฌานกีฬาจนเกิดเป็นวสี ๕ คล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ จากนั้นจึงค่อยต่อเป็นวิปัสสนา โดยเข้าฌานใดฌานหนึ่งแล้วก็ออกจากฌาน จากนั้นก็ให้ยกเอาองค์ฌานเท่าที่ตนจะเข้านั้น เฉพาะองค์ที่ชัดที่สุดขึ้นพิจารณาโดยความเป็นพระไตรลักษณ์ การเจริญวิปัสสนาแบบที่ว่านี้ท่านเรียกว่า สมถยานิกะ ถ้าสำเร็จมรรค ผล ท่านก็เรียกผู้สำเร็จแนวที่ว่านี้ว่า เจโตวิมุติ อาจจะมีชื่อพิเศษเป็น เตวิชโช ฉฬภิญโญ คือผู้ได้วิชชา ๓ หรือผู้ได้อภิญญา ๖ เป็นต้น
แนวที่ ๒ เรียกว่า วิปัสสนายานิกะ คือ ผู้เจริญวิปัสสนาปัญญาล้วน ๆ ทีเดียว โดยไม่จำเป็นจะต้องไปทำฌานสมาบัติอะไรให้เกิดขึ้นก่อนก็ได้ พอเริ่มทำก็กำหนดนามรูปกันทีเดียว หมายความว่า พอตนเรียนอารมณ์ พร้อมทั้งวิธีกำหนดจากอาจารย์ผู้สอนจนเข้าใจแล้ว ก็ลงมือปฏิบัติหลังจากที่ตนได้สถานที่ที่สบาย บุคคลสบาย ละปลิโพธกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ หมดเลย ก็ทำวิปัสสนาได้ทีเดียว พอวิปัสสนาเกิดขึ้นตนเองก็จะต้องประคองพลธรรมทั้ง ๕ ประการ มีศรัทธาเป็นต้นให้เสมอภาคกัน ในไม่ช้าก็จะสามารถแยกฆนสัญญาออกจากกันได้ เมื่อสามารถทำลายฆนสัญญาให้แตกออกจากกันได้แล้ว นามรูปก็จะปรากฏขึ้น ถ้าผู้ปฏิบัติพยายามทำต่อไปโดยไม่ลดละ ก็จะสามารถบรรลุถึงมรรค ผล ได้ตามประสงค์ วิธีปฏิบัติแบบหลังที่ว่านี้ท่านเรียกว่า ปัญญาวิมุติ และจะได้ชื่อพิเศษว่า สุขวิปัสสโก ที่มักแปลกันว่า เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ง นอกจากนั้น ยังได้พูดถึงความสามารถของพระอริยบุคคลทั้ง ๒ จำพวกนี้ไว้อีกว่า ๑. สมถะยานิกะ ทำลายตัณหาก่อน ๒. วิปัสสนายานิกะ ทำลายอวิชชาก่อน -----------------------------------------
จิตตวิสุทธิ หรือ สมาธิวิสุทธิ โดยอาจารย์แนบ มหานีรานนท์
http://www.dharma-gateway.com/ubasika/naab/naab-02.htm
การเจริญวิปัสสนาของท่านผู้ที่ได้ฌาน เมื่อทำฌานได้แล้ว จะทำอย่างไรเล่า จึงจะทำลายวิปลาสในสมาธิออกเสียได้ เพราะตามธรรมดาผู้ที่ได้ฌานแล้วนั้น ย่อมเป็นสุข และ ย่อมเพลิดเพลินในสุขนั้น
ก็มีอีกนัยหนึ่ง ซึ่งเป็นนัยของวิปัสสนาที่เกิดจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้บอกทางแนะนำให้ โดยมีพราหมณ์ ถามว่า เมื่อเข้า รูปฌาน หรือ อรูปฌาน แล้ว พระองค์จะทรงแนะนำอะไรกับเขาบ้าง
ก็มีอยู่ทางเดียว อย่างเช่น ปฐมฌาน ก็มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา 5 องค์
สุขนี้นั้นเกิดจากอะไร
เกิดจาก ปีติ ปีติเป็นเหตุ
ปีติ นั้นเกิดจาก สมาธิ
ที่ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขนั้น เพราะ ปีติ เป็นองค์สำคัญ เวลายกขึ้นสู่ วิปัสสนา ท่านจึงเอา ปีติ ซึ่งเป็นองค์ของ ฌาน นั้นแหละขึ้นสู่วิปัสสนา
ปีติ นี้เป็น นามธรรม อาศัยเกิดที่ หทัยวัตถุ ไม่ใช่เกิดจาก ตา หู หรือ โสตวัตถุ ฆานวัตถุ ชิวหาวัตถุ กายวัตถุ ไม่ใช่อย่างนั้น
ปีติ นี้เกิดจาก หทัยวัตถุ ซึ่งเป็นรูป
พิจารณาอย่างนี้แล้ว ท่านก็เพ่งปีติ
ตามธรรมดาการทำฌาน ไม่ได้เพ่ง นามรูป แต่เพ่ง กสิณ มีเพ่ง น้ำ ดิน ไฟ ลม เป็นต้น
แล้วแต่ตัวกรรมฐานที่จะให้ได้ในฌานนั่น อารมณ์ของปีติ หรือ อารมณ์ของฌานในปีตินั้น มีอารมณ์กรรมฐานที่ตนเพ่งมาก่อนเป็นนิมิต หรือ เป็น ปฏิภาคนิมิต หรือ อุคคหนิมิต จากอารมณ์นั้นแล้วจึงได้เข้าถึงฌานในฌานนั้นก็มีอารมณ์อยู่อย่างนั้น
แต่เวลาที่จะยกขึ้นสู่วิปัสสนานั้น ไม่ได้เพ่งอารมณ์กรรมฐานมีกสิณ เป็นต้น อารมณ์เหล่านั้นเป็น บัญญัติธรรม ไม่มีสภาวะที่จะให้เห็นว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้
เพราะฉะนั้นจะยกขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนาไม่ได้ ท่านก็ยกเอาปีติ เพราะเป็น นามธรรม เป็นนามขันธ์ เป็น สังขารขันธ์ มีสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จึงยกเอาปีติขึ้นเพ่ง
ธรรมชาติของปีตินั้น จะเพ่ง หรือ ไม่เพ่ง ก็มีการ เกิด ดับ และจิตเป็นสมาธิ ก็มีการเกิด ดับ เมื่อปีติที่อาศัยจิตที่ได้ฌานแล้ว ปีติก็เกิด ดับอยู่เป็นธรรมดาเช่นเดียวกัน แต่ว่าเกิด ดับ ติดต่อรวดเร็วมาก จนกระทั่งไม่สามารถจะเข้าไปรู้ว่า เขาไม่เที่ยง หรือ เขาเกิด ดับได้ และก็ไม่ได้ดูด้วย
------------------------------------------------------- พระพุทธพจน์
สพฺพโส นามรูปสฺมึ ยสฺส นตฺถิ มมายตํ อสตา จ น โสจติ ส เว ภิกฺขูติ วุจฺจติ
ผู้ใดไม่มีความยึดถือในนามรูป ว่าของเราโดยประการทั้งปวง และย่อมไม่เศร้าโศกเพราะนามรูปไม่มีอยู่ ผู้นั้นแลเรากล่าวว่า เป็นภิกษุ
ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
-----------------------------------------------------------
ทิฏฐิวิสุทธิ ( นามรูปปริจเฉทญาณ ) โดยอาจารย์แนบ มหานีรานนท์
http://larndham.org/index.php?/topic/19112-%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%8F%E0%B8%90%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4/
จากคุณ |
:
เฉลิมศักดิ์1
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ก.พ. 55 06:49:57
|
|
|
|
|