|
คุณสมบัติของพระโสดาบัน จากรัตนสูตร พระอริยบุคคลเหล่าใด ทำให้แจ้งซึ่งอริยสัจทั้งหลาย อันพระศาสดาทรงแสดงดีแล้ว ด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง พระอริยบุคคลเหล่านั้น ยังเป็นผู้ประมาทอย่างแรงกล้าอยู่ก็จริง ถึงกระนั้น ท่านย่อมไม่ยึดถือเอาภพที่ ๘ สังฆรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้ สักกายทิฏฐิและวิจิกิจฉา หรือแม้สีลัพพตปรามาส อันใดอันหนึ่งยังมีอยู่ ธรรมเหล่านั้น อันพระอริยบุคคลนั้นละได้แล้ว พร้อมด้วยความถึงพร้อมแห่งการเห็น[นิพพาน] ทีเดียว อนึ่ง พระอริยบุคคลเป็นผู้พ้นแล้วจากอบายทั้ง ๔ ทั้งไม่ควรเพื่อจะทำอภิฐานทั้ง ๖ [คืออนันตริยกรรม ๕ และการเข้ารีด] สังฆรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๗๓ - ๑๕๔. หน้าที่ ๔ - ๗. http://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=25&A=73&Z=154&pagebreak=1 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=7
-------------------------------------------------------- คุณสมบัติพระโสดาบัน จากพระอภิธัมมัตถสังคหะ http://abhidhamonline.org/aphi/p1/087.htm
โสดาปัตติมัคคจิต เป็นจิตที่กำลังพ้นจากกามโลก เฉพาะส่วนที่เป็นอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และดิรัจฉาน โสดาปัตติผลจิต เป็นจิตที่พ้นแล้วจากอบายภูมิโดยเด็ดขาด หมายความว่า พระโสดาบันเมื่อจุติแล้วจะไม่ปฏิสนธิในอบายภูมิอีกเลย เพราะประหารจิตชั่วจิตบาป ที่เป็นเหตุให้ต้องไปเกิดในอบายได้แล้ว โสดาปัตติมัคคจิต เป็นจิตที่ประหารกิเลสที่เป็นตัวการที่มาประกอบ และก่อให้เกิดอกุสลจิต อกุสลจิตที่โสดาปัตติมัคคจิตกำลังประหารมี ๕ ดวง คือ โลภที่เป็นทิฏฐิสัมปยุตต ๔ ดวง และโมหมูลจิตที่เป็นวิจิกิจฉาสัมปยุตต ๑ ดวง โสดาปัตติผลจิต เป็นจิตที่ประหารแล้วซึ่งอกุสลจิต ๕ ดวงนั้นได้โดยเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหาน อกุสลกรรมบถ ๑๐ ประการ โสดาปัตติผลเป็นจิตที่ประหารอกุสลกรรมบถได้ ๕ ประการ คือ ปาณาติบาต ๑ อทินนาทาน ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ๑ มุสาวาท ๑ และ มิจฉาทิฏฐิ ๑ ประหารได้โดยเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหาน -----------------------------------------------------------------------
http://www.abhidhamonline.org/Ajan/article.htm
คุณลักษณะของพระโสดาบัน โดยหลวงพ่อเสือ http://www.abhidhamonline.org/Ajan/Sua/krasae.doc
เราเรียนเรื่องชีวิตของพระโสดาบันแล้ว เราจะต้องศึกษาด้วยว่าคุณลักษณะของพระโสดาบันมีอะไรบ้าง จะได้เทียบเคียงถูกและพิสูจน์ได้ว่า บุคคลนั้นบุคคลนี้เป็นพระโสดาบันหรือไม่ เราจะได้ไม่ใช้ใครโดยสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่กล่าวประณามใครโดยสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ควรล่วงเกินใครเลย เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้นั้นได้กระแสพระนิพพานหรือยัง คุณลักษณะของพระโสดาบันมี ๔ ประการ คือ ๑. มีความศรัทธาเชื่อมันในพระพุทธเจ้า ศรัทธาในพระปัญญาว่า เมื่อมีปัญญาเท่านั้นจะพาพ้นทุกข์ได้ ๒. มีความศรัทธาเชื่อมันในพระธรรมเจ้า ศรัทธาที่พิสูจน์แล้วว่าที่เห็น เราไม่ได้เป็นผู้เห็น แต่นามเห็น นี่คือรูป นี่คือนาม ๓. มีความศรัทธาเชื่อมั่นในพระสังฆเจ้า เชื่อมั่นว่าปฏิบัติดี ปฏิบัติตรงเท่านั้นจึงจะสิ้นทุกข์ หมดการเกิด ไม่ใช่บวชเป็นพระ นุ่งเหลือง หุ่มเหลือง เดินไปเดินมา ขอโน่น ขอนี่ มีนั่นมีนี่ เชื่อมั่นว่าตัวเองจะต้งเป็นสังฆะให้ได้ คือตรงต่อทางมรรคผล นิพพาน ทำลายอภิชฌา โทมนัส ๔. มีศีล ๕ เป็นข้อปฏิบัติประจำชีวิตจิตใจของตัวเองโดยไม่มีการมัวหมองด่างพร้อยเลยทุกขณะจิต นอกจากทั้ง ๕ ข้อนี้แล้ว พระโสดาบันยังมีคุณลักษณะพิเศษอีก ๒ ประการคือ - มีจิตประกอบด้วยกุศล ยินดีที่จะบริจาคทุกเมื่อเพราะรู้ว่าการละออกเท่ากับรื้อสัญญาเพื่อละสังโยชน์ และรู้เห็นเป็นจริงว่า ทรัพย์ภายนอกแม้แต่กายของเรามีแต่เสื่อมไปเป็นของธรรมดา การรับไม่ดี การให้ดี การรับคือกิเลส การให้เป็นทาน จึงมีความยินดี สละได้ทุกอย่าง กำลังก้าวเข้าสู่กระแสเท่านั้นเอง ยังสละได้แม้กระทั่งชีวิต ทรัพย์สมบัติเพราะรู้ว่าต่างคนต่างมา ประสบกันแค่ชาตินี้ชาติเดียว แล้วก็หายไป เมื่อเราตาย ความรักก็ไม่จีรังยั่งยืน แต่เราไม่เคยลืมรักตัวเองผู้เป็นพระโสดาบัน รู้ว่าเมื่อเราไม่เคยลืมรักตัวเองต้องหาของดีให้กับชีวิต คือไม่หาของปลอมนั่นเอง - มีปัญญาแก่กล้าเป็นสัมมาทิฏฐิ หมายถึง รู้เหตุ รู้ผลอยู่ตลอดเวลา ไม่ตกอยู่ใต้ความประมาท มีการกระทำทุกอย่างด้วยความมั่นคง ตรงต่อความบริสุทธิ์ ไม่ขอ ไม่เรียกร้อง ไม่ตำหนิผู้อื่น ไม่ตำหนิตนเอง ไม่มีบริวารมาก ไม่มีเครื่องอัฐบริขารมาก ถือสันโดษเป็นนิจ จะทำให้ชีวิตไม่ตกในอบายภูมิเด็ดขาด จำไว้นะลูก ขณะใดลูกโมโหมาก ๆ ทุบโต๊ะ ขณะนั้นลูกกำลังกระชากประตูนรกอย่างแรง เมื่อได้รู้จักคุณลักษณะของพระโสดาบันแล้ว เราจะประพฤติอย่างไรจึงจะบรรลุโสดาบันได้ ไม่ยากเลย ๑. หมั่นสมาคมกับผู้ฉลาด ผู้ฉลาดในที่นี้หมายถึงผู้ที่มีความสงบกาย สงบวาจา สงบใจเป็นคุณลักษณะ ไม่ใช่ดอกเตอร์ ศาสตราจารย์ นั่นเก่งทางโลก ไม่ได้เก่งทางธรรม การสงบอย่างไร ไม่ลุกลี้ลุกลน แสดงออกซึ่งการทนไม่ไหว ตบอกชกหัว หัวเราะลั่น นอนชักดิ้นชักงอ หัวเราไม่พอยังพูดด้วย หัวเราจนขาดใจตาย คนกายสงบก็หัวเราะได้ แต่รู้ว่าขีดจำกักอยู่ตรงไหน คนเราห้ามหัวเราได้ไหม ใครไม่หัวเราะแล้วยกมือขึ้นซิ ยิ้มได้ หัวเราได้ แต่พยายามหัดตนเอง หักบุคลิก อย่าลุกลี้ลุกลน วิธีสงบมือจะสอนให้ คือคนเราชอบแสดงออกเหมือนพวกคนป่า พูดเป็นแล้วก็ยังโบกมือไปมา ต้องหัด ไม่มีใครอยู่ดีๆ ทำได้เลย ต้องค่อย ๆทำ พอนั่งลงก็เอามือประสานกันไว้ หรือไม่ นั่งแล้วชอบเขย่าขา เป็นสันนิบาต ก็กดเอาไว้ เริ่มหัด การเราจะไม่สง่าผ่าเผยเลยที่มานั่งสั่น เดี๋ยวเขานึกว่าเจ้าเข้า เอาข้อเท้าเหยียบเอาไว้ถ้ามันจะออกไป ระลึกได้ก็เอากลับมาที่เก่า นึกได้ตอนไหนเริ่มต้นตอนนั้น อย่างกำลังพูดโทรศัพท์อยู่นะบอกว่า ไม่มาน่าดู (เอามือตีขาตนเอง) อย่างนี้ใครเจ็บ พอนึกได้ก็เอามือไว้ ไม่ได้ก็หัดวางไว้ที่หนึ่ง นี่พอมือไปแล้ว เขาบอกอย่างนี้ลูก ลูกศิษย์ใกล้ ๆ ด้วย วันนี้ผิดไปแล้ว หลวงพ่อ พรุ่งนี้เริ่มต้นใหม่ เอาให้เต็มที่เลย ไหน ๆ มันผิดไปแล้ว อย่างนี้ไม่มีทางดีได้ เจริญไม่ได้ เพราะคำว่าเจริญคือกระทำได้เดี๋ยวนั้น บางคนปวดท้อง แล้วลูกไปกดตรงเอวอีกมันหายไหม ทำลายมหาภูตรูป ปวดท้องไม่ต้องกด ไม่ต้องทำท่างอก่องอขิง ไม่ต้องแสดงบุคลิกออกมา ปวดท้องก็กินยาแล้วนอนเลย บางคนยังบอกว่า ป้าจะตายแล้ว ป้าแน่นเชียว ป้าจะแย่แล้ว ไม่ไหวแล้ว เป็นพ่อนะจะบอกว่ายังไหวอยู่นี่ พูดจ้อเลย เรานั่งดูยังไม่พูดเลย ฉะนั้น อิริยาบถต่าง ๆ พยายามสำรวมไว้เพราะอิริยาบถฟ้องขขันติ ทางวาจา สงบอย่างไร หมั่นท่องไว้ พูดน้อยผิดน้อย ไม่พูดเลย ไม่ผิดเลย ผู้ที่ช่างพูดคุยเก่ง สันทัดในการพูดขอให้เปลี่ยนจากพุทโธ, สัมมาอรหัง, โอมหังวันโท นโมพุทธายะ เวลานั่งสมาธิให้ท่องไป พูดน้อยผิดน้อย ไม่พูดเลยไม่ผิดเลย ได้สมาธิและสอนตนด้วย ๕๐๐ จบ ได้สมาธิพอสมควรก็เจริญวิปัสสนาต่อเลย นามรู้ ใครทำขอให้เจริญ ทางใจทำอย่างไร ใจเป็นประธานทำให้งานต่าง ๆ สำเร็จกิจขึ้นมา พยายามรู้กระทบ รู้กระทำ จะนึกจะคิดอะไร จะพูดออกมาให้รู้ที่ใจก่อน ทำกรรมใหม่ให้ดีนะ นี่มันวิบากนะ ผู้ที่สมาคมกับผู้ฉลาด แล้วทำตัวเองฉลาด เขาเรียกว่าตั้งตนไว้ชอบในปัจจุบันชาติ เพราะรู้ว่าการใช้กายทุจริตจะเป็นพิษต่อตนเอง ใช้วาจาโดยไม่จำเป็น พูดมากก็ผิดมาก ใช้ใจคิดพยาบาทก็สร้างความเศร้าหมอง เราอยากเป็นพระโสดาบัน แต่คบกับคนพูดมาก ผิดมาก วุ่นวาย ไร้สาระ ลูกไม่ได้เป็นโสดาแต่เป็นการชักพาให้ลูกเป็นโซดา คือผสมกับเขาไปเรื่อย ๆ ๒. หมั่นฟังธรรม หมั่นศึกษาหาความรู้ ไม่ใช่ให้ต้องมาหาพ่อนะ อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นหลักปฏิบัติถูกต้อง เรื่องราวที่มีเหตุและมีผล เมื่อเรารู้ว่าเป็นข้อปฏิบัติตามแนวทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ปฏิบัติของเราไป เวลาเข้าไปในสถานที่อื่น รู้ว่าถูกเราก็เอามาใช้ รู้ว่าผิดไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียงกับใครหยุดอยู่กับที่ แล้วทำที่ตัวเอง หรือไม่ ใคร ๆ เขาว่าอันนี้ดี ฉันไป อันนี้ดีก็ไป ศรัทธาไปหมด โดยไม่รู้ว่าอะไรดีแท้ สิ่งที่เอามารกตัวเอง ปวดหัว ไม่รู้จะปฏิบัติอันไหนก่อน จึงต้องมีปัญญาเรียนเรื่องปฏิบัติที่ถูกต้อง หมั่นฟังธรรม ที่รวมถึงการพูดคุยกับคนที่พูดมีเหตุมีผล ประเภทที่ถามว่า คุณใส่แว่นตาทำไม ฉันไม่เห็นอยากใส่เลย ไม่เห็นชอบเลยสายตาสั้น ใครบ้างอยากใส่แว่นตา ถ้าสายตามดีจะใส่แว่นไหม เคยถามคนสายตาสั้นหรือเปล่าว่าเขาชอบไหม พวกที่ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง พูดอะไรไม่มีเหตุมีผล อย่าไปสมาคมด้วย แล้วตนเองก็ต้องพยายามพูดอย่างเข้าเรื่องและมีเหตุมีผล คือพูดสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นและตนเองให้ได้ ๓. หมั่นมีใจดำริตริตรองให้ถี่ถ้วน หลักของพ่อก็คือ ก่อนจะทำอะไร ก่อนจะไปไหน รู้สึกว่าจะทำไปทำไม คิดพิจารณา ทบทวน ใคร่ครวญ แล้วค่อยตัดสิน ใช้ใจดำริตามและไตร่ตรองทุกคำพูด ด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยปัญญา เช่น เราถูกกล่าวหา ถูกว่ามา ก็ตีโพยตีพายท้าตีท้าต่อยกัน เราทำดีขนาดนี้แล้ว เราให้เงินเขายืมแล้ว ทำไมเขายังโกงเราอีก นี่หรือทำดีได้ดีมีที่ไหน เราดำริไม่ถูกต้อง คิดไม่ถูกต้อง ที่ถูกโกงเพราะเคยโกงเขามา แต่ที่ให้เขายืมเงินเราได้บุญ มันคนละเรื่องกัน หมั่นมองเหตุมองผลให้ถูกต้อง ๔. พยายามปฏิบัติตามแนวทางพ้นทุกข์สุดความสามารถ เรามีความสามารถเท่าใด พยายามให้เต็มที่ เมื่อยังไม่ได้อย่าน้อยใจ เกิดความลังเลว่าจะได้จริงหรือเปล่า พอคนอื่นเขาบอกว่าทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ ก็หวั่นไหว เราจะเป็นคนที่มีวิจิกิจฉาอยู่เรื่อย ๆ ไม่สำเร็จอะไรสักอย่าง ของที่ฟังมาเก่าอย่าเอามาอ้างอีกว่า ทำไมตรงนั้นเขาบอกว่าอย่างนี้ล่ะหลวงพ่อ ตัดอาลัยไม่ขาด พระโสดาบันท่านตัดอาลัยขาด ลูกตัดไม่ขาดลูกก็ไม่ได้เป็น เช่น เราถามว่าทำไมจึงมีโรคภัยไข้เจ็บมาก ทำไมเราจึงถูกยิง ไปฟังคนอื่นเขาบอกว่า เพราะเราไปยังคนนั้นไว้เขาเลยตามมายิง นี่เขาเรียกจองเวร จองกรรม ผิด เหตุผลไม่ตรงกัน เพราะเราเคยทำร้ายร่างกายผู้อื่นทั้งคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อน จึงมีโรคภัยไข้เจ็บ เคยฆ่าเขาจึงถูกฆ่าตอบ แต่เขานี้ไม่ใช่คนเดิม เพราะเขาคนนั้นถูกเราฆ่าแล้วเขาไม่ได้มาเกิดเป็นคน ต้องตกนรก คนที่ถูกฆ่าจิตจะมีอารมณ์โทสะ แต่กรรมของคนฆ่ามากกว่ากรรมของคนตาย คนฆ่าก็ต้องตกนรก เมื่อมีโอกาสดีได้มาเกิดเป็นคน ก็ต้องถูกคนอื่นที่มีนิสัยคล้ายกันมาฆ่าต่อ เมื่อยอมรับแล้วไม่ต้องถามว่า แล้วทำไมเขาถึงสอนอย่างนั้นเสียเวลา ถ้ายังไม่เชื่อของใหม่ก็อย่าเพิ่งตัดสิน เอาไปคิดให้รอบคอบเมื่อตัดสินว่าเชื่ออันนี้แน่ มีเหตุมีผลก็ทิ้งของเก่าทันที เพราะจะทำให้เศร้าหมองเปล่า ๆเวลาจะมีค่า เวลานั้นย่อมต้องประกอบด้วยปัญญา ทั้ง ๔ ข้อนี้เป็นหลักสำคัญมาก ถ้าเรามีความเพียรประพฤติอย่างนี้เต็มความสามารถ ความเจริญนับตั้งแต่ปุถุชนก็จะหมุนสู่ความเป็นกัลยาณชน จากกัลยาณชนก็จะสู่ความเป็นอริยชน จากอริยชนก็จะสู่ความเป็นสกทาคามี จากสกทาคามีก็จะสู่อนาคามี และจากอนาคามีก็จะสู่อรหันต์ แล้วก็จะได้ไม่ต้องเกิดอีก เมื่อได้รู้คุณลักษณะของพระโสดาบันแล้วก็คงจะจินตนาการได้ว่า ท่านคงจะหมดจดจากกิเลส ชีวิตคงราบรื่นไม่มีความทุกข์ เพราะปุถุชนเป็นผู้มีทุกข์ประจำคือขันธ์ ๕ แล้วก็แส่หาทุกข์ ส่วนพระโสดาบันเป็นผู้เอาคำว่า แส่หาทุกข์ ออกไปแล้ว ชีวิตจึงมีแต่การแก้ไขทุกข์ที่เป็นทุกข์ประจำซึ่งก็ยังแก้ได้ไม่หมดเลย นี่คือหน้าที่และเป็นคุณสมบัติพิเศษ ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะมีวิบาก จึงพยายามดูแลสอนตนเองว่านี่วิบากนะ แล้วตั้งใจทำกรรมใหม่ พอกระทบก็รู้เท่าทันไม่แส่หากรรมใหม่และทุกข์ใหม่ ส่วนลักษณะของพระโสดาบันตามคำจำกัดความของพ่อยังมีเพิ่มเติมอีกดังนี้ ๑. ไม่บ้าหอบ เวลาเราไปตลาดหรือซื้อของพะรุงพะรังนี่ บอกตนเองเลยว่ายังไกลจากพระโสดา สองมือสิบนิ้วหิ้วมันยี่สิบถุง พระโสดาไม่มีความบ้าเช่นนี้ เพราะคนหอบคือคนบ้าใช่ไหม คนหอบนี่วิปลาส ๒. ไม่บ้าคุย คนที่คุยเป็นคุ้งเป็นแคว กำลังพูดอะไรที่ไม่รู้เรื่อง บ้าไหม อยู่ดี ๆ ก็ตะโกนโหวกเหวก ๓. ไม่บ้าขอ เช่น ขอบ้างซิ ฉันอยากได้ เธอให้ฉันหน่อยซิ เป็นพระโสดาไม่ได้แล้ว พกมากเป็นทุกข์ มีมากเป็นทุกข์ ๔. ไม่รอใคร คือ การไม่มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น เดี๋ยวรอเขาก่อนถึงค่อยตัดสินใจ ไม่เป็นตัวของตัวเอง พระโสดาไม่เป็นอย่างนั้น แล้วเท่าที่ผ่านสายตาของพ่อเอง พระโสดาบันถ้าเป็นพระจะมีจีวรเพียง ๒ ชุดเท่านั้น ถ้าได้รับมากกว่านั้นจะรีบบริจาคไม่สะสมสมบัติสังโยชน์ และส่วนมากที่สัมผัสมาจะรับประทานอาหารคลุกเคล้ากันอยู่ตลอดเวลา ไม่ทีละคำ ปนกันกินได้ทุกอย่าง นอกจากนี้ที่พบมากับตัวเองคือมองไม่ไกล เดินสุภาพ พูดน้อย ยิ้มรับ ตอบน้อยแต่มีประโยชน์ ไม่ได้เดินมองโน่นมองนี่ แล้วไม่ทำกิจโดยไม่จำเป็น กิจของพระโสดาไม่จำเป็น ต้องก่อสร้าง ทาสี ไม่มีการเป็นเจ้าของทุน ออกรถทัวร์ ไม่เป็นหมอดูให้ใครแล้ว เพราะต้องดูแลตัวเองสำคัญกว่า มัวแต่ดูคนอื่น ตัวเราแย่ แล้วลักษณะจะเดินอย่างสง่าผ่าเผย การบิณฑบาต ของพระโสดาบันจะมองบาตรของตัวเอง ไม่มองอาหารของผู้ใส่ เห็นว่าพอสมควรแล้วปิดบาตรกลับทันที ไม่รับจนล้นบาตร มีชีวิตไม่พึ่งผู้อื่น ไม่ต้องมีลูกศิษย์ถือปิ่นโตตาม เพราะมีความประมาณในโภชนา บาตรก็แค่นี้ ยังใส่ปิ่นโตอีก ส่วนพระโสดาบันที่เป็นฆราวาส บุคคลนั้นจะมีความสง่าผ่าเผย หน้าตาชื่นบานอยู่เป็นนิจ มีความคิดที่รอบคอบประกอบไปด้วยการกระทำที่มีเหตุผล มีความสำรวม เป็นผู้รับฟังที่ดี ไม่โต้แย้งใคร มีใจสงบ เวลาประสบปัญหาก็จะมีสติคอยเตือนตนเอง และมีการดำเนินชีวิตอย่างง่ายและสะดวก คือ ไม่วุ่นวาย ไม่คัดเลือกอะไรทั้งสิ้น อาภรณ์จะสะอาดสะอ้าน ไม่สกปรกแต่ไม่มีมาก การประดับตกแต่งเรือนกายแทบไม่เหลือเลย ถ้าบุคคลนั้นเกิดสายตาสั้นก็จำเป็นต้องใส่แว่นตา ไม่ถือของพะรุงพะรัง เพราะไม่ซื้ออะไรที่ไม่จำเป็น ไม่ชอบหอบ ไม่ชอบขน ไม่ชอบบ่น ไม่ชอบคิด ไม่ชอบติด ไม่ชอบยิ่ง มุ่งแต่ทางเดินต่อไปไม่เกิน ๗ ชาติ ทุกคนมีสิทธิ์เป็น และขอให้เป็นทุกคนด้วย โดยเริ่มหัดสำรวมกาย วาจา ใจ พูดให้น้อย พูดน้อย ไม่พูดเลย ไม่ผิดเลย
จากคุณ |
:
เฉลิมศักดิ์1
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ก.พ. 55 12:24:33
|
|
|
|
|