ศีล ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ ( สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ )
ศีลเป็นที่พึ่งของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระศาสนา ศีลเป็นเสมือนน้ำที่ล้างมลทิน คือความชั่วของสัตว์ทั้งหลาย อันน้ำในแม่น้ำทั้งหลายไม่อาจล้างได้ ศีล ยังผู้รักษาให้สงบเย็น ไม่ร้อนรุ่มด้วยกิเลส กลิ่นใดที่ฟุ้งไปได้ทั้งทวนลม และตามลม กลิ่นนั้นเสมอด้วยกลิ่นศีลไม่มี บันไดที่จะขึ้นสู่สวรรค์ และบรรลุนิพพาน ( สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ ) ที่จะเสมอด้วยบันได คือศีลหามีไม่
บุคคลแม้จะงดงามด้วยเครื่องประดับอันมีค่า ก็ยังไม่งามเท่าบุคคลที่มีศีลประดับกาย วาจา ใจ
ผู้มีศีล ย่อมติเตียนตนเองไม่ได้ เมื่อพิจารณาถึงความประพฤติของตน ย่อมเกิดปีติ ทุกเมื่อ เพราะศีลมีอานิสงส์มากมายดังกล่าว ศีลจึงเป็นรากฐานแห่งคุณความดีทั้งหลาย และกำจัดความ ชั่วทั้งปวง
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ความปรารถนาของผู้มีศีลเท่านั้นที่จะสำเร็จ หรือความสำเร็จ ผลสมความปรารถนาจะเกิดแก่ผู้มีศีลเท่านั้น
ผู้รักษาศีลดีแล้ว จึงไม่ต้องตั้งเจตนาปรารถนา ขอความไม่เดือดร้อนและ ความสุข จงเกิดแก่เรา ด้วยว่าความไม่เดือดร้อนและความสุข ย่อมเกิดแก่ผู้มีศีลเป็นธรรมดา แต่ผู้ทุศีลถึงจะตั้งเจตนาปรารถนาว่า ขอความไม่เดือดร้อนและความสุขจงเกิดแก่เรา เขาก็หา ได้รับผลสมตามเจตนาไม่ เพราะความเดือดร้อน และความทุกข์ย่อมเกิดแก่ผู้ทุศีลเป็นธรรมดา
ศีล ย่อมชำระปัญญาให้บริสุทธิ์ และ ปัญญาเล่า ก็ชำระศีลให้บริสุทธิ์เหมือนกัน ศีลอยู่ที่ใด ปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ใด ศีลอยู่ที่นั่น ผู้มีศีลก็มีปัญญา ผู้มีปัญญาก็มีศีล บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมกล่าวถึงศีลและปัญญา ว่าเป็นของเลิศ ในโลก เปรียบเหมือนคนล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้า ฉันใด ศีลย่อม ชำระปัญญาให้บริสุทธิ์ และปัญญาเล่าก็ชำระศีลให้บริสุทธิ์เหมือนกัน ศีลอยู่ที่ใด ปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ใด ศีลอยู่ที่นั้น ผู้มีศีลก็มีปัญญา ผู้มีปัญญาก็มีศีล บัณฑิตทั้งหลายย่อมกล่าวถึงศีล และปัญญา ว่าเป็นของเลิศในโลก ฉันนั้นก็เหมือนกัน
ศีลในพุทธศาสนา มีความเห็นตรงประกอบ
พุทธพจน์
ภิกษุ! โดยกาลใดแล ศีลของเธอเป็นศีลที่บริสุทธิ์หมดจดด้วยดี และทิฏฐิก็จักเป็นความ เห็นที่ถูกตรงด้วยโดยกาลนั้น เธออาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว พึงอบรมสติปัฏฐานสี่โดยวิธีทั้งสามเถิด
แก้ไขเมื่อ 29 ก.พ. 55 23:54:12
จากคุณ |
:
aunemaek2
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ก.พ. 55 23:53:03
|
|
|
|