|
ความคิดเห็นที่ 7
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11754341/Y11754341.html#7 ขอยกความจาก วิปัสสนาทีปนีฎีกา มาไว้ให้ คุณ Ant-san อ่านโดยตรงนะครับ
----------------------------------
โยคาวจรผู้ใดต้องเจริญอุปจารสมาธิ,อัปปนาสมาธิ ๒ อย่างนี้เป็นที่พึ่งที่อาศัยแล้ว บำเพ็ญความเพียรเจริญวิปัสสนาภาวนาได้ โยคาวจรผู้นั้นชื่อว่า สมถยานิกะ คือเจริญสมถภาวนาก่อน แล้วเจริญวิปัสสนาภาวนาภายหลัง โยคาวจรผู้ใด อันอุปจารสมาธิ,อัปปนาสมาธิ ๒ อย่างไม่เป็นที่พึ่งที่อาศัย คือ ไม่เป็นพื้นฐานแก่ความเพียร วิปัสสนาภาวนาล้วน ๆ ได้ ฉะนั้น โยคาวจรผู้นั้นชื่อว่า สุทธิวิปัสสนายานิกะ คือเจริญวิปัสสนาภาวนาล้วนโดยไม่อาศัยสมถภาวนา อาจมีการท้วงว่าวิปัสสนาไม่ต้องอาศัยสมาธิเลยหรือ ข้อนี้ขอยกตัวอย่างว่า ภิกษุ ก. ไม่ฉันอาหารกลางวัน แต่ว่าร่างกายก็อ้วนท้วนสมบูรณ์อยู่ เช่นนี้ก็หมายความว่าฉันอาหารกลางคืนนั่นเอง ข้อนี้ฉันใดอุปจารสมาธิอัปปนาสมาธิ ๒ อย่างนั้นไม่เป็นที่พึ่ง แต่ว่าวิปัสสนาภาวนาก็เป็นไปได้ โดยที่วิปัสสนาภาวนามีที่อาศัยหรือที่พึ่งคือ ขณิกสมาธิ ฉะนั้น วิปัสสนายานิกบุคคลจึงมีขนิกสมาธิเป็นที่พึ่งที่อาศัยในการเจริญวิปัสสนาภาวนาได้ การอธิบายอย่างนี้เรียกว่า อัตถาปันนนัย คือข้อใดที่ไม่ได้บอกก็สามารถรู้ได้ด้วยอรรถาธิบาย
ดังที่วิสุทธิมัคคมหาฏีกากล่าวไว้ว่า
สมถยานิกสฺส หิ อุปจารปฺปนาเภทฺ สมาธึ อิตรสฺส ขณิกสมาธึ อุภเยสมฺปิ วิโมกฺขมุขตฺตยฺ วินา น กทาจิ ปิ โลกุตฺตราธิคโม สมฺภวติ เตนาห สมาธิ จ วิปสฺสเนน จ ภาวยมาโนติ
สมถยานิกบุคคล นั้น ปราศจากอุปจารสมาธิอัปจารสมาธิอัปปานาสมาธิก็ไม่สามารถไปถึงพระนิพพานได้ สำหรับ วิปัสสนายานิกบุคคล นั้น ปราศจากขณิกสมาธิก็ไม่สามารถไปถึงพระนิพพานได้ ทั้งสมถยานิกะและวิปัสสนายานิกะนั้น ปราศจากวิโมกข์ ๓ อย่างคือ อนิจจานุปัสสนา,ทุกขานุปัสสนา,อนัตตานุปัสสนา ก็ไม่สามารถไปถึงพระนิพพานได้ ฉะนั้นท่านวิสุทธิมัคคอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ว่า สมาธิ จ วิปสฺสเนน จ ภาวยมาโน แปลว่า สมาธิก็ดี วิปัสสนาก็ดี ควรเจริญให้ยิ่ง ๆ ขึ้น ดังนี้ ในที่นี้ ท่านอนุรุทธาจารย์ได้ยกจิตที่เกิดขึ้นแก่สุทธวิปัสสนายานิกโยคาวจรที่กำหนดรู้รูป,นามนั้น เรียกว่า จิตตวิสุทธิ ได้เหมือนกัน แต่ว่าเข้าในอุปจารสมาธินั้นโดยอนุโลม อีกนัยหนึ่ง สมาธิมี ๒ ประเภท คือ
๑. สมถสมาธิ ๒. วิปัสสนาขณิกสมาธิ
สมถสมาธิ ได้แก่อุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ เพ่งอยู่แต่อารมณ์บัญญัติอย่างเดี่ยวโดยไม่ให้ย้ายอารมณ์ ถ้าย้ายไปก็เสียสมาธิ ส่วน วิปัสสนาขณิกสมาธิ นั้นมีอารมณ์เป็นปรมัตถ์รูป,นาม ตั้งสติกำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง อาการต่าง ๆ เช่นการเห็น การได้ยิน การเจ็บ การปวด การคิด การนึก เป็นต้น อารมณ์ใดปรากฏชัดเจน ก็ตั้งสติกำหนดอารมณ์นั้นจนได้สมาธิชั่วขณะหนึ่ง สมาธิชั่วขณะนี้แหละเรียกว่า ขณิกสมาธิ หมายความว่า ขณิกสมาธินี้ใจสงบชั่วครั้งชั่วคราว แต่สมาธิกำลังแก่กล้าเข้าก็สามารถบรรลุถึงโลกุตตรอัปปนาสมาธิได้ คือถึงมรรค,ผล,นิพพานได้ อุปมาเหมือนกับเม็ดงาธรรมดาเม็ดงานี้มีขนาดเล็กมาก มีน้ำมันน้อยยังไม่พอใช้ แต่ว่าหลายเม็ดรวมกันแล้วก็ได้น้ำมันมาก ข้อนี้ฉันใด วิปัสสนาขณิกสมาธิสมาธิก็ฉันนั้น โยคีบุคคลมีจิตใจไปถึงที่ไหน ก็ตั้งสติกำหนดที่นั้น ได้ขณิกสมาธิเกิดขึ้นมาทันที ไม่เรียกว่าใจฟุ้งซ่าน บางคนเข้าใจว่าวิปัสสนานี้ต้องตั้งสติกำหนดเพ่งอารมณ์อยู่อย่างเดียว ใจก็จะสงบมีสมาธิดี เมื่อมีอารมณ์อื่นเช่น การเห็น การได้ยิน การเจ็บ การปวด การคิด การนึก เป็นต้น แทรกเข้ามาก็ไม่ยอมกำหนด เพราะเกรงว่าถ้ากำหนดตาม ใจจะฟุ้งซ่านเสียสมาธิ การเข้าใจอย่างนี้เป็นการเข้าใจผิด เพราะสมาธินี้เป็นสมถสมาธิ แสดงว่าผู้นั้นมิได้เข้าใจในวิปัสสนาขณิกสมาธิเลย
ดังนั้น ท่านมหาธัมมปาลเถระชาวลังกาทวีป แสดงไว้ในวิสุทธิมัคคมหาฏีกาว่า
ขณิกจิตฺเตกคฺคตาติ ขณมตฺตฐิติโก สมาธิ โส หิ ปิ อารมฺมเณ นิรนฺตรํ เอกากาเรน ปวตฺตมาโน ปฏิปกฺเขน อนภิภูโต อปฺปิโต วิย จิตฺตํ นิจฺจลํ ฐเปติ.
วิปัสสนาจิตสงบตั้งอยู่ชั่วขณะชื่อว่า ขณิกสมาธิ หมายความว่า ไม่ใช่ใจสงบได้ด้วยอาศัยอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิฝ่ายเดียว วิปัสสนาขณิกสมาธิก็ให้ใจสงบตั้งอยู่ได้เหมือนกัน ขณิกสมาธิมีกำลังมากเข้าเท่ากับอุปจารสมาธิแล้วการกำหนดอารมณ์อันหนึ่งกับอีกอันหนึ่งนั้น ระหว่างกลางอารมณ์ทั้งสองกิเลสนิวรณ์เข้าไม่ได้ เมื่อกำหนดติดต่อกันอยู่เรื่อยไป ขณะนั้นใจสงบก็ตั้งอยู่นาน ๆ ได้เหมือนกัน และเมื่อผู้ปฏิบัติเข้าถึงอุทยัพพยญาณ ภังคญาณเป็นต้น วิปัสสนาขณิกสมาธิแก่กล้ายิ่งขึ้น มีกำลังมากคล้าย ๆ กับอัปปนาสมาธิ เพราะปราศจากปฏิปักษ์คือกิเลสนิวรณ์ ฉะนั้น ขณิกสมาธิคือการที่ใจสงบตั้งอยู่นาน ๆ ได้นี้ก็ เรียกว่า จิตตวิสุทธิ ดังนี้
จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 55 06:25:58
จากคุณ |
:
เฉลิมศักดิ์1
|
เขียนเมื่อ |
:
2 มี.ค. 55 12:16:18
|
|
|
|
|