พระพุทธศาสนาถือว่า จิต เจตสิก และ รูปในภพนี้ก็ดับหมดในภพนี้
จิต เจตสิก และรูป ในภพหน้าก็เกิดขึ้นในภพหน้า ไม่ใช่อันเดียวกัน
แต่จะปฏิเสธว่าไม่สืบเนื่องกันก็ไม่ใช่
คือ จิต เจตสิก และรูป ที่จุติดับไปในภพนี้แหละ
เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตพร้อมทั้งรูปเกิดในภพหน้า
อุปมาเหมือนกับเมล็ดข้าวที่ชาวนาปลูกลงในที่นา เมล็ดข้าวใหม่นั้นจะว่าเป็นเมล็ดข้าวอันเดียวกันกับเมล็ดข้าวที่ชาวนาปลูกลงไปนั้นก็ไม่ใช่
ฉันใดก็ดี จิต เจตสิก และรูปในภพนี้ก็ดับหมดในภพนี้
จิต เจตสิก และรูปในภพหน้าก็เกิดใหม่ในภพหน้า จะว่ามันไม่สืบเนื่องกันก็ไม่ใช่
จะว่าเป็นอันเดียวกันก็ไม่ใช่ แต่มันเป็นเหตุปัจจัยสืบเนื่องกัน ฉันนั้น
ถ้าเข้าใจว่า เมื่อคนตายแล้ววิญญาณออกจากร่างไปเกิดในภพใหม่อีก
วิญญาณเก่าไม่ดับเกิดสืบต่อไปเรื่อยๆ เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นแตกดับสลายไป
ส่วนวิญญาณไม่ดับไปเกิดในภพใหม่อีก
ทรรศนะอย่างนี้พระพุทธศาสนาเรียกว่า สัสสตทิฐิ
คือ ความเห็นว่าเป็นสิ่งเที่ยง ยั่งยืนอยู่ตลอดไป
จัดเป็นมิจฉาทิฐิอย่างรุนแรงประเภทหนึ่ง
ถ้าเข้าใจว่าเมื่อคนตายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างสูญไปหมด มีชาติปัจจุบันนี้เป็นที่สุด
ไม่มีอะไรไปเกิดอีก ทรรศนะอย่างนี้พระพุทธศาสนาเรียกว่า อุจเฉททิฐิ
คือ ความเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสูญหมดอย่างสิ้นซาก จัดเป็นมิจฉาทิฐิอย่างรุนแรงอีกประการหนึ่งและมีโทษมาก ......
(อธิบายว่า
เว้นแต่พระอรหันต์เท่านั้น ที่เมื่อดับขันธ์ปรินิพพาน
และจุติจิตดับลงแล้วจึงจะไม่ปฏิสนธิเกิดอีก.....
บุคคลอื่นจากนั้นนับตั้งแต่พระอนาคามีบุคคลลงมา เมื่อจุติจิตดับ
ลงแล้วยังต้องมีปฏิสนธิจิตเกิดอีก ด้วยอำนาจของ อวิชชาที่ยังคงเหลือ
และเป็นปัจจัยแก่ สังขาร วิญญาณ ตามกฏแห่งปฏิจจสมุปบาทนั้นเอง
ความเข้าใจเช่นนี้เป็นทางสายกลางเป็นสัมมาทิฏฐิตามทรรศนะของพุทธศาสนา)