PANTIP.COM : Y11787533 มนุษย์ และสัตว์ เกิดมาทำไม ถ้าไม่มีโลกจะสงบกว่านี้ []

ความคิดเห็นที่ 3

ถ้ามนุษย์ทุกคน มีไม่ดวงตา มีแค่หู ปาก จมูก และสัมผัสทางกาย

โลกนี้จะไม่มีค่ะ ^^ จักรวาลนี้ก็ไม่มี

ถ้ามนุษย์ทุกคน มีแค่ หู และ ปาก ไม่มีจมูก ไม่มีดวงตา ไม่มีประสาทรับรส

โลกนี้ ก็จะเป็นโลกของ เสียง.. ผู้คนจะตกหลุมรักกันที่เสียง ผู้คนจะมีความสุขและความทุกข์จะการฟังเสียง ได้ยินเสียง ทำเสียง พูด ฟัง

แล้วน้อง Faraday คิดว่า.. ใครล่ะ ที่ทำให้โลกนี้ "มีอยู่" ???

ก็พวกเรานี่แหละ ><

ถ้าเราไม่มี สรรพสิ่งรอบๆตัวเราก็ไม่มี

ตอนที่เราตายไปแล้ว เราก็คิดว่าสรรพสิ่งรอบๆตัวเราก็ต้องไม่มี

แต่.. มันก็ยังมี มีแบบทิพย์ ในโลกทิพย์ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนเดิม เหมือนบนโลกมนุษย์เลย..

ทำยังไงล่ะ ถึงจะไม่มี ??

ถ้ายังมีเรา มันก็ยังมีสิ่งรอบๆตัวเรา...

ลองหาดูสารคดีเกี่ยวกับ "สมอง" การทำงานของประสาทสัมผัสของมนุษย์

ลองเปรียบเทียบประสาทสัมผัสของมนุษย์กับสัตว์แต่ละชนิดดู มันต่างกัน ลองเปรียบเทียบกับเพื่อนมนุษย์ที่พิการทางประสาทสัมผัสก็ได้.. แต่ละคนมีประสาทสัมผัสที่จำกัด มีขอบเขต

ทีนี้ ลองส่องไปดูนอกโลก เวลาคืออะไร?? ช่องว่างคืออะไร?? ไอน์สไตน์อธิบายไว้หมดแล้วในทฤษฎีสัมพัทธภาพ

ลองนึกดูดีๆนะ ทำไมนั่งสมาธิแล้วมีกายทิพย์หลุดออกมา? ทำไมเวลานอนหลับแล้วยังเห็นภาพ ได้ยินเสียง ทั้งๆที่เราไม่ได้ใช้ลูกกะตามอง

เวลาที่เรามองดูแสงเทียนจากเทียนเล่มหนึ่ง ถามว่าแสงนั้นเข้ามาอยู่ในสมองของเราไหม?? ในหัวกระโหลกของเรามันมืดๆด้วยซ้ำ ไม่มีแสง ผิวหนังกับกระโหลกบังไว้หมด..

ในสมองของเรา "ไม่มีแสง" แล้วเรา.. ทำไมถึงมองเห็นแสง ?? (ถ้าขี้เกียจหาคำตอบเอง บอกใบ้ให้ก็ได้ว่า เพราะเส้นประสาทมันถูกกระตุ้น)

เราไม่ได้เห็นแสง แต่อนุภาค photon ซึ่งมี electromagnetic ด้วยมันผ่านเข้ามาทางลูกกะตา แล้วมันมากระตุ้นเส้นประสาทส่วนสร้างภาพให้ทำงาน

เวลาที่เรานอนหลับ เส้นประสาทส่วนนี้ไม่ได้ถูกกระตุ้นผ่านคลื่นแสงจากภายนอก แต่ถูกกระตุ้นโดยข้อมูลความทรงจำในสมองของคนๆนั้นเอง

คนตาบอด ต่อให้มีอนุภาค photon วิ่งเข้ามาที่ดวงตา แต่สมองไม่ถูกกระตุ้นก็มองไม่เห็นอยู่ดี

"ภาพ" คือการถูกกระตุ้นโดยเส้นประสาทส่วนที่ทำหน้าที่สร้างภาพค่ะ

"เสียง" คือการถูกกระตุ้นโดยเส้นประสาทส่วนที่ทำหน้าที่สร้างเสียง

เส้นประสาทพวกนี้ ถูกกระตุ้นได้โดยไฟฟ้า โดยอนุภาค photon หรือแม้กระทั่ง มันทำงานเอง กระตุ้นเอง

นั่นก็หมายความว่า.. "ไม่ว่าภาพต่างๆจะมีอยู่จริง หรือไม่มีอยู่จริง แต่ถ้าเส้นประสาทส่วนนั้นมันถูกกระตุ้น พวกเราก็จะมองเห็นภาพนั้นอยู่ดี ><"

โลกใบนี้ มันเป็นแค่ "โรงละครของชาติภพ" ค่ะ.. มันให้เรามาเล่นบทต่างๆ..

มีคนกลุ่มหนึ่งของโลกเมื่อ 200-300 ปีก่อน เขาคิดว่า "เหตุที่ทำให้พวกเรามาติดอยู่ในโรงละครพวกนี้ ก็คือ มารร้ายตัวหนึ่ง" เขาเชื่อว่า ถ้าเรานั่งสมาธิแล้วเราจะหลุดออกไปได้ (เช่น กายทิพย์) แล้วเราจะมองเห็นมิติที่อยู่สูงกว่าได้ เห็นนางฟ้า เทวดา

แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ....

คนกลุ่มนั้น ไม่เคยรู้ว่า "มารร้ายที่ทำให้ต้องมาเล่นละครบ่อยๆเนี่ย คืออะไร??"

พระพุทธเจ้าของพวกเรา บอกเลยว่า มารร้ายตัวนั้นก็คือ "กรรม"

คนกลุ่มนั้นเขาไม่เคยศึกษาพระพุทธศาสนา เขาเลยไม่รู้ แต่ก็ถือว่าเก่งมาก ที่สามารถเข้าใจได้ว่า สรรพสิ่งล้วนเป็นสิ่งลวงตา และจอมปลอมทั้งสิ้น

แต่คนกลุ่มนั้น ไม่เคยเรียนพระพุทธศาสนา เขาเลยไม่รู้ว่า มารร้ายที่พวกเขายังไม่รู้ว่ามันคืออะไรนั้น จริงๆแล้ว มันคือ "กรรม"

ชีวิตของพวกเราถูกขับเคลื่อนไปด้วย "กรรม" ของเราค่ะ

เราจะหลุดออกจากโรงละครของชาติภพได้ เมื่อเรา ไม่มีกรรม ไม่มีกิเลส ไม่มีความพอใจหรือเสียใจในการมาถือกำเนิด..

พูดง่ายๆก็คือ อ่านธรรมะของพระพุทธเจ้าอ่ะแหละ ท่านก็สอนไว้หมดแล้ว(พี่ก็พูดไม่ค่อยเก่ง อิอิ ^^)

จากคุณ : mooesha

เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 16:15:30

ความคิดเห็นที่ 13

ถึงน้อง Faraday

มันเข้าใจยากอ่ะ..

ในอดีต Newton เคยคิดว่า "ความเร็วแสงเป็นสิ่งสัมบูรณ์" "ความเร็ว m/s เป็นสิ่งสมบูรณ์"

200 ปีผ่านมา ไอน์สไตน์ถึงได้รู้ว่า ความเร็วแสงไม่ใช่สิ่งสมบูรณ์ แล้วความเร็วของสรรพสิ่ง ก็ไม่ใช่สิ่งสมบูรณ์ แต่มันเป็นสิ่งสัมพัทธ

ช่องว่างรอบๆตัวเรานี้ มันมีมิติของ เวลา และ ระยะทาง ซ่อนอยู่ แต่ที่เราไม่เห็นความแตกต่าง เพราะพวกเราอยู่ใน Space-Time เดียวกัน..

ถ้าเราไปอยู่บนดวงอาทิตย์ หรือไปอยู่ใกล้ๆหลุมดำ เราจะเห็นคนบนโลกเคลื่อนไหวเร็วๆ ถ้าเราอยู่บนโลกแล้วสายตายาวมองไปที่หลุมดำ เราจะเห็นคนใกล้ๆหลุมดำเคลื่อนไหวแบบช้าๆ

ถ้าเรานั่งอยู่ในยานอวกาศที่มีความเร็วเกือบเท่าความเร็วแสงเราจะมองเห็นสิ่งรอบๆตัวเราเคลื่อนไหวเร็วๆ คนที่มีความเร็วน้อยกว่าเราก็จะเห็นเราเคลื่อนไหวช้าๆ (แต่ความแตกต่างนี้มันจะเห็นชัดในความเร็วที่ใกล้ๆความเร็วแสงนะคะ ถ้าแค่ความเร็วของเครื่องบิน มันไม่มีผลมาก มันต่างกันแค่เป็นเสี้ยววินาที)

อวกาศ.. หรือพื้นที่ว่างๆ ไม่ใช่สิ่งที่เสถียร มันมีการยืด มีการหด.. และเวลาก็ไม่ใช่สิ่งที่เสถียร (ตามทฤษฎีของไอน์สไตน์ เวลาเป็นแค่ illusions)

นี่คือตามหลักทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ว่าด้วยเรื่อง Space-Time

แต่ถ้าใครเคยนั่งสมาธิ หรือชอบมีสติรู้ตัวในฝัน หรือถอดกายทิพย์ได้ ก็คงจะชินกับเรื่องนี้ดีว่า จิตวิญญาณไม่ขึ้นกับ Space ไม่ขึ้นกับ Time (ถ้าเปรียบเทียบกับโลกของสสาร ก็เหมือนกับ Space-Time มันเรียบๆอยู่ตลอดเวลาอ่ะ ไปไหนก็ไม่แก่ แค่คิดก็ถึง ไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลา)

แต่เนื่องจากไอน์สไตน์ไม่เคยนั่งสมาธิถอดจิต ก็เลยศึกษาแค่ผลของ Space-Time ที่มีต่อสสาร (เพราะคุณเธอไม่รู้ว่ามันยังมี มิติของโลกทิพย์ จิตวิญญาณ ที่ไม่ขึ้นกับ Space-Time อยู่)

ตอนนี้ สิ่งที่กว้างใหญ่กว่า Universe ที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งทฤษฎีขึ้นมาก็คือ Multiverses(มีหลายๆ Universe ไม่ได้มีแค่ Universe เดียว)

สักวันหนึ่ง ถ้าองค์กร CERN สามารถหาอนุภาค higgs ได้ มันจะมีการก้าวกระโดดเกิดขึ้นอีกครั้งในวงการวิทยาศาสตร์

การสร้างยานบินแบนๆแบบของมนุษย์ต่างดาว จะเกิดขึ้น!!

Gravity ตามทฤษฎีแล้ว แปรผันไปตามมวล ยิ่งมวลมาก Gravity ก็ยิ่งมาก

Gravity มันบิดงอ Space-Time รอบๆดวงดาว ทำให้ดวงจันทร์หมุนรอบโลก ทำให้โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์

ถ้าเราสามารถสร้างยานที่ควบคุม Space-Time รอบๆตัวยานได้.. เราจะหนีพ้นแรงดึงดูดของโลก แล้วยานลำนี้จะย้อนอดีตได้ และไปอนาคตได้ด้วย.. ถ้า Space-Time เรียบๆเวลาจะหยุดนิ่งและจะไม่มีผลกับแรงดึงดูดของโลก(ยานจะลอยได้) ถ้า space-time หดเข้ามากๆ เวลาจะเดินช้ามากๆ ถ้า space-time ยืดออกมากๆ เวลาจะเดินเร็ว

ยานลำเดียว ทำได้ 3 อย่างเลย.. แต่.. มันต้องควบคุม Space-Time รอบๆตัวยานให้ได้

สิ่งที่บิดงอ Space-Time ตามทฤษฎีของไอน์สไตน์มีอยู่ 2 อย่างคือ "ความเร็วใน scale ของความเร็วแสง" และ "Gravity"

Gravity มาจาก มวล..

ดังนั้น ถ้า CERN หาอนุภาค higgs เจอ เราจะเข้าใจความหมายของมวลมากยิ่งขึ้น ว่ามันมาได้อย่างไร..

แล้วถ้าเราสามารถเพิ่มหรือลดมวลให้กับวัตถุชิ้นหนึ่งโดยให้ปริมาตรของมันมีเท่าเดิม เมื่อนั้นเราจะสร้างยานบินแบบ UFO ได้

นอกจากนี้.. เวลาดูสารคดีเกี่ยวกับจักรวาลบ่อยๆ.. มันจะเหมือนกับ.. "มันพิศวงอ่ะ"

ทุกวันนี้ แม้แต่ Dr.Michio Kaku ก็เริ่มจะเชื่อว่า มีพระเจ้าสร้างจักรวาลจริงๆ(เพราะหลายๆสิ่ง มันพิศวงเกินไป มันอยู่เหนือ commmon sense ของคนธรรมดา)

แต่ส่วนตัวพี่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้านะ.. แต่นักดาราศาสตร์ส่วนมากเขาก็รู้จักศาสนาคริสต์มากกว่าพุทธ เมื่อเขาเห็นว่าจักรวาลมันพิศวงเขาก็คงมีแนวโน้มไปทางคริสต์มากกว่า ก็ปล่อยเขาไป

ทีนี้.. ถ้าหันมาดูเรื่อง Quantum Leap ในระดับอะตอม , electron(ไม่รู้ว่าเขาค้นพบนานหรือยังนะ พี่ก็ไม่ค่อยเก่งเรื่อง Quantum Leap) electron เนี่ย มันกระโดดข้ามวงโคจร กระโดดไป กระโดดมา แล้วมันสามารถอยู่พร้อมๆกัน 2-3 ตำแหน่งได้ในเวลาเดียวกัน.. (เรื่องนี้แหละที่ส่งผลให้เกิดทฤษฎี Parallel Universes)

แล้วนอกจากนี้ จากการพยายามค้นหาความหมายของ Dark Energy นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า Cosmos(เอกภพ)นี้ ไม่ได้มีแค่ 1 Universe แต่มีหลายๆ Universe เรียกทฤษฎีนี้ว่า Multiverses

พอเราศึกษาเรื่องนอกโลกมากๆ กลับมาดูเรื่อง ทฤษฎีสตริง..

สตริง เป็นการสั่นของพลังในหลายๆมิติ.. (อันนี้พี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน) รู้แค่ว่า.. เพราะมันสั่นหลายๆแบบนี่แหละ มันทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า สรรพสิ่งรอบๆตัวเรา มันน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 11 มิติ

ซึ่ง อีก 7 มิติ ที่เรายังไม่รู้ว่ามันคืออะไรเนี่ย.. นักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า มันอาจจะขดๆอยู่ หรือซ่อนอยู่แบบ เล็กมากๆจนเรามองไม่เห็น และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ก็ตรวจสอบไม่ได้

ทีนี้.. กลับมาดูเรื่องการทำงานของสมอง

ภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัส.. สมองทำงานโดยการถูกกระตุ้นของกระแสไฟฟ้า

ถ้ามีวัตถุชิ้นหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าน้อง.. วัตถุชิ้นนี้ อาจจะวางอยู่ตรงหน้าน้องจริงๆ หรือ.. อาจะเป็นแค่"การมองเห็น" มันอาจไม่ได้วางอยู่ตรงนั้นจริงๆ

อันนี้อธิบายยาก.. แต่ก็อธิบายไปแล้วในความเห็น #3 ถ้าอยากแบบ เห็นภาพก็ให้ไปดูหนังเรื่อง Source Code แล้วก็.. The Matrix

---

จักรวาลยืดๆหดๆ สรรพสิ่งมีสิ่งที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราเห็นอะไรมันใหญ่ มันจะมีใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราเห็นว่าอะไรมันเล็ก เราก็จะค้นพบสิ่งที่มันเล็กกว่าไปเรื่อยๆ

เป็นแบบนี้ ไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ว่าใหญ่แล้ว ก็มีใหญ่กว่า ใหญ่กว่าไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆ (Multiverses)

ว่าเล็กแล้ว ก็มีเล็กกว่า แล้วก็เล็กกว่าไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ (String Theory)

แล้วลองนึกถึงสิ่งที่เป็น "นามธรรม" สิ่ เช่น ตัวเลข

ทำไมสมองของมนุษย์ถึงไม่สามารถจินตนาการตัวเลขจำนวนที่้น้อยที่สุดได้?? (0.0000000000.....1) ไม่รู้ว่าต้องใส่ศูนย์กี่ตัว มีได้เรื่อยๆ

ทำไมเราคิดหาจำนวนที่มากที่สุดไม่ได้ 9.999999999....9 ไม่รู้ว่าต้องมี 9 กี่ตัวถึงจะเรียกได้ว่า มากที่สุด

เราถึงได้มี เครื่องหมาย Infinity เพราะความคิดของมนุษย์ มันคิดได้ไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด และนี่แหละ คือตัวตนที่แท้จริงของเรา

ถ้าเราเอาสมองปลอมๆไปใส่ไว้ในโถแก้วใบหนึ่ง แล้วเราก็เอาข้อมูลใน computer ยัดๆใส่ในสมองปลอมๆนั้น สมองปลอมๆนั้นก็จะเห็นภาพ ได้ยินเสียง มีสัมผัสทางกาย ลิ้มรสได้ ได้กลิ่น.. แค่กระตุ้นไฟฟ้าเข้าไป มันก็มีโลกใบหนึ่งขึ้นมาในสมองใบนั้น ทั้งๆที่สมองใบนั้นวางอยู่นิ่งๆกับพื้น(ลองดูหนังเรื่อง Source Code อ่ะ)

ทีนี้.. สมองใบนั้น อาจจะถูกประมวลผลและสั่งการด้วย Computer

แต่พวกเรา.. เวลาที่สมองของพวกเรามันถูกกระตุ้นและส่งสัญญาณ มันส่งไปให้ใคร???

เวลาที่มันส่งสัญญาณภาพไปว่า "เราเห็นภาพ" มันส่งไปให้ใคร??

>>> มันส่งไปให้ "Soul" <<<

นี่แหละคือ ตัวจริงเสียงจริงของพวกเรา... พวกเราเป็น วิญญาณ แกล้งมาเกิดในร่างมนุษย์เฉยๆ

ตามทฤษฎีสตริง สิ่งที่เล็กที่สุดที่ค้นพบได้ตอนนี้(เล็กกว่า Quark) คือการสั่นของเส้นพลังงาน(เส้น string)

ถ้าสายตาของมนุษย์ เป็นกล้องจุลทรรศน์แบบ Super เลยอ่ะ มองเห็นเส้นสตริงได้.. พวกเราก็คงจะมองเห็น ก้อนหินเป็นแค่ เส้นสตริงที่สั่นๆๆๆๆๆอยู่ก้อนหนึ่ง

พอมองไปที่มนุษย์คนหนึ่ง เราจะมองเห็นเส้นสตริงที่สั่นๆแต่เวลาเคลื่อนไหวไปไหนจะไปด้วยกันทั้งก้อน เหมือนมีอะไรมาบังคับมัน

ก้อนหินมันอยู่นิ่งๆ เป็นเส้นสตริงสั่นอยู่นิ่งๆเป็นก้อนๆ เพราะมันไม่มีวิญญาณ

แต่สัตว์ มนุษย์ เป็นเส้นสตริงที่เคลื่อนไหวไปมาได้.. เพราะมันมี วิญญาณ ควบคุมมันอยู่

Soul เป็นหน่วยประมวลผลที่........ สุดยอดมากกกกกกกกก!! ถ้าเทียบกับ Processor ของ Computer แล้วก็.. ห่างกันคนละชั้นเลยทีเดียว ><

จากคุณ : mooesha

เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 55 19:20:40