ความคิดเห็นที่ 1 มีคนจำนวนมาก แย้งว่า พระไตรปิฎกนั้นถูกเพิ่มเติม แ่ต่งเติม นรกสวรรค์นั้นเป็นเรื่องของพราหมณ์แทรกซึมเข้ามาบ้าง ใช้สอนคนไม่รู้บ้าง หลักฐานข้างต้นนี้  ไม่มีใครในโลกนี้แย้งได้อีก เพราะ ถ้านรกสวรรค์ถูกแต่งเติมจริง เป็นสิ่งที่เป็นเท็จจริง  คงไม่สอดคล้อง กับการละกิเลส ละโลภะ โทสะ โมหะ ปรกติแล้ว  ธรรม  ย่อมไหลไปสู่ธรรม  ถ้าสิ่งที่ขัดแย้่งกัน  จะส่งผลตรงกันข้าม แต่การเชื่อในนรกสวรรค์ กลับสอดคล้องกับหิริและโอตตัปปะที่ทำให้อยากละกิเลสทำความดีขึ้นมา เพื่อละโลภะ โทสะ โมหะ ตามหลักกาลามสูตร ดุจลิ่มสลัก   ถ้าการเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่งาม และนรกสวรรค์ไม่มีจริง  เมื่อมองตามหลักกาลามสูตรแล้ว การเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ก็จะทำให้ "เกิดโลภะมากขึ้น โทสะมากขึ้น โมหะมากขึ้น" แต่กลับไม่ใช่ ไม่ว่าพระไตรปิฎกจะถูกแต่งเิติมหรือไม่ก็ตาม พระธรรม อันเป็นอกาลิโก ก็ปรากฎอยู่ว่า "การยอมรับนรกสวรรค์ไม่มีข้อใดเลยที่ขัดกับหลักกาลามสูตร ทั้งยังสอดคล้องกันเป็นแม่นมั่น" สิ่งนี้ ไม่ต้องอ้างตำรา ไม่ต้องอ้างครูบา ไม่ต้องอ้างทิฏฐา แต่ท่านเห็นได้ รู้ได้ด้วยตนว่า  คำสอนเรื่องนรกสวรรค์นั้น  ละกิเลสได้  ตามหลักกาลามสูตรที่สอนว่า "อะไรก็ตาม  ที่เข้าถึงแล้ว  ละกิเลสได้  ให้เข้าถึง" ไม่ว่าเรื่องนรกสวรรค์จะถูกแต่งเติมหรือไม่ แต่เราก็ได้เห็นโดยไม่ต้องอ้างตำรา ครูบา ทิฏฐาแล้วว่า เชื่อแล้ว  กิเลสสิ้นไป พระพุทธเจ้าท่านทรงมองเห็นเหตุนี้   จึงให้เราตรวจสอบด้วยกาลามสูตร  เพราะทรงทราบว่า ในอนาคตกาล  จะมีความสงสัยแก่พุทธศาสนิกชนว่าควรเชื่ออะไร  อะไรจริง อะไรไม่จริง ขอให้ท่านเตชปญฺโญหลับตา  แล้วถามว่า  นี้เราใช้ตำราหรือเปล่า   อ้างตำราอีกไหม ไม่มีตำราสักเล่ม และคุณก็เห็นได้ด้วยตนเองว่า  นรกสวรรค์ละกิเลสได้จริงตามกาลามสูตร และไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม เรื่องนรกสวรรค์ละกิเลสได้ คำถามคือ  "คุณเชื่อในอะไร ?" จากคุณ : Real~Fine เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 19:38:07

ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อเราศึกษาเรื่องอะไร เราจะต้องจับประเด็นหรือสรุปเนื้อหาของเรื่องนั้นมาให้เหลือสั้นที่สุด เพื่อสะดวกแก่การศึกษาและจดจำ หลักกาลามสูตรนั้น แม้จะมีเนื้อหามากมาย แต่เราสามารถสรุปเนื้อหาได้ใจความเพียงสั้นๆว่า "อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง แต่ให้พิสูจน์ดูก่อน เมื่อได้ผลแน่ชัดแล้วจึงค่อยเชื่อ" ทำไมเรื่องง่ายๆแค่นี้คิดกันไม่เป็น ไม่สมกับเป็นชาวพุทธที่มีปัญญากันเลย จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 20:19:20

ความคิดเห็นที่ 3 นี่แสดงว่าหลวงพี่ก็ยังไม่เข้าใจอรรถที่มุ่งหมายของการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า ในเกสปุตติยสูตรเลย แม้แต่นิดเีดียว ขออนุโมทนาจขกท. ความจริงแล้วการอ้างกาลามสูตร (เกสปุตติยสูตร ชื่อตามพระบาลี) ในเมืองไทยนั้น อ้างกันผิด ๆ มานานมาก คืออ้างกันแต่ "กาลามสุตตกังขานิยฐาน" (ข้อพิจารณาก่อนเชื่อ ๑๐ ประการ)   เบื้องต้นของพระสูตรนี้คือ พระพุึทธเจ้าทรงมุ่งว่า "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่ออะไร เพราะเหตุ ๑๐ ประการนี้" คือ ยังไม่ใช่หลักตัดสินด้วยซ้ำไป  เป็นเพียงแต่ขั้นพื้นฐานของวิธีการเลือกจะเชื่อเท่านั้น   จุดมุ่งหมายหลักก็คือ "เมื่อใด พิจารณาแล้วว่า ทำให้ โลภะ โทสะ โมหะ ลดลง เบาบาง บัณฑิตสรรเสริญ  ไม่ติเตียน  จึงควรเข้าถึงธรรมนั้น" ถ้าอ้างเอาแต่หลัก ๑๐ ประการอย่างเดียว สมาทานไว้อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ท่านจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า อะไรเป็นอะไร ควรจะจัดการกับเรื่องที่เคยได้ยินนั้นอย่างไร ขออภัยที่ผมจะพูดว่า ผมเชื่อว่า หลวงพี่ไม่เคยอ่านเกสปุตติยสูตร ในพระไตรปิฎก ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหน และเหตุอะไรที่พระุพุทธเจ้าตรัสเรื่องกาลามสูตร เป็นไปได้ไหม ว่า หลวงพี่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า พระไตรปิฎกคืออะไร แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 55 20:27:35 จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 20:26:55

ความคิดเห็นที่ 4 และไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม เรื่องนรกสวรรค์ละกิเลสได้ คำถามคือ  "คุณเชื่อในอะไร ?" จากคุณ : Real~Fine   เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 19:38:07     *********** ความเชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ชนิดที่เป็นสถานที่นั้น มันมีต้นตอมาจากความเชื่อว่า มีจิตหรือวิญญาณที่เป็นอัตตา(ตัวตนอมตะ) ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วเพื่อไปเกิดใหม่ได้ ซึ่งเมื่อสอนว่ามีอัตตา (หรือมีตัวเราอยู่จริง) ก็จะยิ่งทำให้เกิดความยึดถือว่ามีตัวเรามากยิ่งขึ้น เมื่อมีความยึดถือว่าตัวเรามาก มันก็จะยิ่งทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวเรามากยิ่งขึ้นตามไปด้วยเสมอ เมื่อเห็นแก่ตัวมาก ก็ย่อมที่จะเกิดความโลภเพื่อตัวเรา และความโกรธคนอื่นเมื่อทำให้เราไม่พอใจ รวมทั้งยังทำให้โง่มากยิ่งขึ้นอีกด้วย สรุปว่า การสอนอย่างนี้ยิ่งทำให้กิเลสเพื่มขึ้น จริงหรือไม่? แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าสอนว่า "มันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริง" เพราะจิตหรือวิญญาณของเรานี้มันเป็นอนัตตา ก็จะทำให้ไม่รู้ว่าจะโลภไปเพื่อใคร? และไม่รู้ว่าจะไปโกรธใคร? เพราะมันไม่มีเรามาโลภ และไม่มีตัวตนของใครมาให้โกรธ รวมทั้งทำให้ตาสว่าง ซึ่งก็เท่ากับความหลงได้หายตามไปด้วย การสอนอย่างนี้จึงจะทำให้ละกิเลสได้ จริงหรือไม่? จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 20:29:24

ความคิดเห็นที่ 5 แต่เราสามารถสรุปเนื้อหาได้ใจความเพียงสั้นๆว่า "อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง แต่ให้พิสูจน์ดูก่อน เมื่อได้ผลแน่ชัดแล้วจึงค่อยเชื่อ" ทำไมเรื่องง่ายๆแค่นี้คิดกันไม่เป็น ไม่สมกับเป็นชาวพุทธที่มีปัญญากันเลย จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) ผมค่อนข้างละอายใจในการโต้เถียงและพูดไม่ดีกับคนอื่น อย่างไรก็ตาม   การพิสูจน์นั้นได้ผลแน่ชัดแ้ล้วว่้า การเชื่อเรื่องนรกสวรรค์  ละักิเลสได้ จึงเชื่อ นี้หากไม่ใช่ความเชื่อ ก็เป็นตรรกะที่สมบูรณ์แล้ว   กาลามสูตรสอนให้เชื่อ ในสิ่งที่ละกิเลสได้ เรื่องนรกสวรรค์ละกิเลสได้ ในเบื้องต้น จากคุณ : Real~Fine เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 20:41:49

ความคิดเห็นที่ 6 ความเชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ชนิดที่เป็นสถานที่นั้น มันมีต้นตอมาจากความเชื่อว่า มีจิตหรือวิญญาณที่เป็นอัตตา(ตัวตนอมตะ) ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วเพื่อไปเกิดใหม่ได้ ซึ่งเมื่อสอนว่ามีอัตตา (หรือมีตัวเราอยู่จริง) ก็จะยิ่งทำให้เกิดความยึดถือว่ามีตัวเรามากยิ่งขึ้น เมื่อมีความยึดถือว่าตัวเรามาก มันก็จะยิ่งทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวเรามากยิ่งขึ้นตามไปด้วยเสมอ เมื่อเห็นแก่ตัวมาก ก็ย่อมที่จะเกิดความโลภเพื่อตัวเรา และความโกรธคนอื่นเมื่อทำให้เราไม่พอใจ รวมทั้งยังทำให้โง่มากยิ่งขึ้นอีกด้วย สรุปว่า การสอนอย่างนี้ยิ่งทำให้กิเลสเพื่มขึ้น จริงหรือไม่? แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าสอนว่า "มันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริง" เพราะจิตหรือวิญญาณของเรานี้มันเป็นอนัตตา ก็จะทำให้ไม่รู้ว่าจะโลภไปเพื่อใคร? และไม่รู้ว่าจะไปโกรธใคร? เพราะมันไม่มีเรามาโลภ และไม่มีตัวตนของใครมาให้โกรธ รวมทั้งทำให้ตาสว่าง ซึ่งก็เท่ากับความหลงได้หายตามไปด้วย การสอนอย่างนี้จึงจะทำให้ละกิเลสได้ จริงหรือไม่? จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนว่า "มีิอัตตา" ซึ่งเป็นสุดโต่้ง และ ตายแล้วสูญ ซึ่งเป็นสุดโต่ง ทรงสอนว่า  มีจิต ที่เกิดดับ ตามเหตุ เมื่อยังไม่สิ้นเหตุ จะดับจากร่างนี้ไปเป็นดวงใหม่อีกร่างหนึ่ง ตามกระแส ไม่่ใช่จิตดวงเดียวกัน ที่ตาย แล้วไปเกิดใหม่  เป็นจิตคนละดวงกัน  เกิดดับสืบเนื่องกันไป พระพุทธเจ้าทรงไม่สอนเรื่องอัตตา และไม่ทรงสอนเรื่องสูญ ทรงสอนเรื่องเหตุอย่างนี้ จากคุณ : Real~Fine เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 20:45:00

ความคิดเห็นที่ 7 ภพหรือภูมิก็คือสถานที่เกิดนั่นแหละขอรับ ............................................................................................................... แสดงผลการค้น ลำดับที่  3 / 71 กามภพ ที่เกิดของผู้ที่ยังเกี่ยวข้องอยู่ในกาม, โลกเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสพกาม       ได้แก่           อบายภูมิ ๔           มนุษยโลก และ           สวรรค์ ๖ ชั้น ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา ถึงชั้นปรนิมมิตวสวัตดี           รวมเป็น ๑๑ ชั้น       (ข้อ ๑ ในภพ ๓) แสดงผลการค้น ลำดับที่  23 / 71 ภพ โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์, ภาวะชีวิตของสัตว์ มี ๓ คือ       ๑. กามภพ ภพของผู้ยังเสวยกามคุณ       ๒. รูปภพ ภพของผู้เข้าถึงรูปฌาน       ๓. อรูปภพ ภพของผู้เข้าถึงอรูปฌาน แสดงผลการค้น ลำดับที่  27 / 71 ภวังค์ ดู ภวังคจิต ภวังคจิต จิตที่เป็นองค์แห่งภพ,       ตามหลักอภิธรรมว่า จิตที่เป็นพื้นอยู่ระหว่างปฏิสนธิและจุติ คือ ตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ในเวลาที่มิได้เสวยอารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ มีจักขุทวารเป็นต้น       แต่เมื่อใดมีการรับรู้อารมณ์ เช่น เกิดการเห็น การได้ยิน เป็นต้น ก็เกิดเป็นวิถีจิตแทนภวังคจิต เมื่อวิถีจิตดับหมดไป ก็เกิดเป็นภวังคจิตขึ้นอย่างเดิม       ภวังคจิต นี้ คือมโน ที่เป็นอายตนะที่ ๖ หรือมโนทวาร อันเป็นวิบาก เป็นอัพยากฤต ซึ่งเป็นจิตตามสภาพ หรือตามปกติของมัน ยังไม่ขึ้นสู่วิถีรับรู้อารมณ์ (เป็นเพียงมโน ยังไม่เป็นมโนวิญญาณ)       พุทธพจน์ว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา” มีความหมายว่า จิตนี้โดยธรรมชาติของมันเอง มิใช่เป็นสภาวะที่แปดเปื้อนสกปรก หรือมีสิ่งเศร้าหมองเจือปนอยู่ แต่สภาพเศร้าหมองนั้นเป็นของแปลกปลอมเข้ามา ฉะนั้น การชำระจิตให้สะอาดหมดจดจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้;       จิตที่ประภัสสรนี้ พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า ได้แก่ภวังคจิต พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ภพ&detail=on http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%C0%BE&detail=on จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 20:45:23

ความคิดเห็นที่ 8 ความเชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ชนิดที่เป็นสถานที่นั้น มันมีต้นตอมาจากความเชื่อว่า มีจิตหรือวิญญาณที่เป็นอัตตา(ตัวตนอมตะ) ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วเพื่อไปเกิดใหม่ได้ ^ ท่านกล่าวตู่นะขอรับ ไม่ได้มีต้นตอมาความเชื่อนั้นครับ โปรดศึกษาพระไตรปิฎกเพิ่มเติม จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 20:48:52

ความคิดเห็นที่ 9 ผมแถมเรื่องภวังค์แด่หลวงพี่ด้วย ที่ท่านกล่าวว่า เมื่อหลับจิตก็ดับ โปรดพิจารณาอีกครั้ง ละทิฏฐิที่ตรึกเอาเองเสีย จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 20:52:02

ความคิดเห็นที่ 10 การเกิดในร่างใหม่ ชา่ติใหม่ ไม่เกี่ยวกับอัตตา   แต่เป็นเพราะ นามรูปเก่า ดับไป ด้วยความไม่เที่ยง เป็นปัจัยให้นามรูปใหม่เกิด ตามปรมัตถ์ ชาติใหม่ ภพใหม่ เรียกว่า "รูป" ส่วนจิตที่เกิดดับประกอบกับรูปนั้นเรียกว่านาม  ไม่ีมีคนเกิดใหม่ สัตว์เกิดใหม่ มีเพียงแต่นามรูป ที่เกิดและดับไป จากคุณ : Real~Fine เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 21:19:29

ความคิดเห็นที่ 11 ทำไมท่านไม่ฝึกทิพจักขุญาณเพื่อพิสูจน์เล่า ? ในเมื่อท่านเองก็ยึดหลักกาลามสูตร (พิสูจน์ก่อนแล้วจึงเชื่อ) มิใช่หรือ ? จะมามัวเอาตำรา พลิกไปพลิกมาทำไม ไม่เกิดประโยชน์ ยังกล่าวตู่พระพุทธพจน์บทพระบาลีอีก เหตุใดท่านจึงไม่พิสูจน์ ? นั่งเทียนตีความ ได้ประโยชน์อะไร ? จากคุณ : เพื่อมหาชน เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 21:41:00

ความคิดเห็นที่ 12 จริงๆแล้วอยากจะเขียนหลายทีแล้วว่า... การเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ เข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่า เพราะผมเองนี่แหละที่เป็นคนมองเรื่องนรก-สวรรค์ว่าไร้สาระมาก่อน จนกระทั่งไปปฏิบัติธรรม จึงรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี การนึกถึงเทวดา สวรรค์ นรก ทำให้บรรลุธรรมได้ง่ายจริงๆ ง่ายต่อการละสักกายทิฐิจริงๆ อีกสักอาทิตย์หนึ่งก่อน การนำธรรมะของพระพุทธเจ้ามานั้น ทางที่ดี ถ้าเป็นไปได้ ควรเอามาทั้งพระสูตร เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตามเหตุตามการ เพราะเหตุที่ท่านตรัสย่อมมี และท่านโปรดใครนั้นเป็นวิสัยของบุคคลนั้นๆที่จะรับธรรมนั้นได้ อย่างกาลามสูตรนี้ก็เหมือนกัน มองเผินๆก็แค่หลักที่จะนำไปใช้ตัดสินว่าสิ่งนั้นควรเชื่อหรือยึดถือ แต่พระองค์ทรงแทรกหลักธรรมไว้มากมายในพระสูตร อย่างที่ท่านเจ้าของกระทู้ได้ร่ายมา อนึ่ง อย่าลืมแล้วกันว่าท่านตรัสแก่กาลมชนผู้ไม่ได้เป็นสาวกในพระพุทธศาสนา แล้วเวลาท่านกล่าวกับสาวกของท่านละ ท่านตรัสเลยว่า จงทำตามเราบอกเถิด จงเชื่อเราเถิด.. แต่นั่นก็คือหลังจากน้อมศรัทธามาหาและแสดงปัญญาให้ยอมรับแล้ว การที่บุคคลอื่นใดจะใช้กาลามสูตรกับพระองค์ก็เป็นการลักลั่น หรือสาวกจะใช้กาลามสูตรกับพระองค์ก็ลักลั่นเช่นกัน จากคุณ : kiarati เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 21:41:52

ความคิดเห็นที่ 13 คนส่วนมากไม่ปราถนาความสุขที่ไม่เคยพบ แต่ปราถนาความสุขที่เคยพบคือกามคุณ คนส่วนน้อยที่เห็นทุกข์ในกามคุณ การสอนคนจึงสอนไปตามสิ่งที่เขาเห็น ในเรื่องคุณของกรรมดี โทษของกรรมชั่ว ทางออกของกามคุณ แต่ นรก สวรรค์ ก็ต้องแปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย เหมือนกับภพมนุษย์ที่นับวันก็จะกลายเป็นนรกไปทุกทีถ้ายังมีแต่ความเสื่อมของกุศลธรรม แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 55 23:04:53 แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 55 22:41:57 จากคุณ : aunemaek2 เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 22:36:02

ความคิดเห็นที่ 14 ยึดเพื่อไม่ยึด คือ ไม่ยึด จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 22:55:20

ความคิดเห็นที่ 15 นิมนต์หลงพี่รีบเร่งปฏิบัติธรรม เจริญมรรค 8 ดับนิวรณ์ 5 บรรลุอรหันตผล เพื่อพิสูจน์คำสอนพระพุทธองค์ เมื่อบรรลุอรหันตผลแล้ว พิสูจน์ได้แล้วว่านรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่อย่างไรก็นิมนต์กลับมาบอกเพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ด้วยครับ จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 23:20:45

ความคิดเห็นที่ 16 ขอแทรกนิดครับ จะพิมพ์หลายทีแล้ว ผมว่าท่านWhat am I? ค่อนข้าง ต้องตีความ"ภาษาไทย"ใหม่เกือบหมด กาลามสูตร กล่าวว่า "อย่าเชื่อเพียง" "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อเพราะ..." เมื่อฟังมา ,เรียนมา ,ทราบมา ให้ระลึกด้วยสติ ว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ" ทันที กาลามสูตรเหมือนเครื่องหน่วงสติ ศัพท์พื้นบ้านเรียก ฟังหูไว้หู ของฝรั่งก็มีสำนวนนี้ เมื่อโยนิโสมนสิการดีแล้ว รอบคอบเช็คหน้า/เช็คหลัง ตรวจสอบโดยละเอียดอีกที และได้ลงมือปฏิบัติ พิสูจน์ผลทราบแล้ว จึงค่อยเชื่อ กาลามสูตร ไม่ได้ระบุเพิ่มเติมว่า "กาลามสูตรเป็นใหญ่ ในทั้งหมด" "ให้อ้างกาลามสูตร เวลาเถียงกัน เพื่อปัดคำสอนเรื่องอื่น" "ให้ปฏิเสธคำสอนอื่นทันที ที่ตนปฏิบัติไม่ได้ ทำไม่เป็น" อย่างที่ ท่านWhat am I กำลังปฏิเสธหมวดอื่น ปฏิเสธเรื่องเหนือธรรมชาติ ถ้าเรื่องชาติภพ สวรรค์-นรก ท่านยังปฏิบัติไม่ได้ ทำไม่เป็น ไม่ใช่วิสัย ไม่ถูกจริต ท่านWhat am I ต้องถามผู้รู้ ศึกษาเพิ่มเติม ให้เข้าใจความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่อง เหตุ-ปัจจัย ในการบัญยัติ เรื่องภพชาติ เวียนว่ายตายเกิด สวรรค์-นรกแบบอีกภูมิ ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ถาม ปฏิเสธแหม่มเลย แล้วตั้งตนเป็นผู้แตกฉาน แล้วบอกพระพุทธองค์เห็นด้วยกับอาตมา ลงเหวนะครับ ท่านWhat am I ------------- สังเกตเสียง เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย กับท่านอย่างมีสติ ซักนิดสิครับ ------------- แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 55 00:09:25 แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 55 23:58:29 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 23:35:02

ความคิดเห็นที่ 17 # เข้าใจผิดไปนู่นเลยครับ จิตหรือวิญญาณที่เป็นอัตตา(ตัวตนอมตะ) พระพุทธเจ้าท่านสอนชัดนะครับว่าไม่ใช่จิต หรือวิญญาณที่พาให้ไปเกิดใหม่ กรุณากลับไปอ่านตำราก่อนนะครับ อ่านให้เข้าใจก่อนนะครับว่าอะไรที่เป็นสิ่งพาให้ไปเกิดใหม่ ลองกลับไปอ่านของท่านพุทธทาสก็ได้ อย่าเอามามั่วซั่วแบบนี้ ในพระสูตรมีเยอะแยะ ทั้งเรื่องอริยะสัจ ทั้งปฏิจจสมุปบาทครับสอนเหมือนกัน ไม่อยากเฉลย อยากให้หลงพี่อ่านพระธรรม ศึกษาพระไตรปิฎกให้หูตาสว่างขึ้นบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าจิต หรือวิญญาณเป็นตัวตนอมตะคับ จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 19:40:58

ความคิดเห็นที่ 18 Zim-MorLuth- เอาไปกีบแรก จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 19:43:02

ความคิดเห็นที่ 19 ลองศึกษาดีๆ นรก สวรรค์ ภพภูมิ ตามที่บันทึกไว้ น้อยคนนักที่จะเห็นด้วยตาเนื้อ จนกว่าจะทำฌาน ญาณ ให้เกิด ทิพยจักษุญาณ อภิญญา จนชัดแจ้งเสียก่อน หากท่านจะปฏิเสธ ท่านต้องทำให้ จิตตั้งมั่น ปราศจากอุปกิเลส ควรแก่การงาน แล้วความลังเลสงสัยมันจะดับไปเอง ต้องให้เวลาตนเองภาวนา ทำภาวนามยปัญญาให้เกิดมีขึ้น ถ้าจะเอาแค่ดับทุกข์ ก็ยิงตัวตาย จิตก็ดับแล้ว ตามที่ท่านอ้างว่า ถ้าหลับสนิทจิตก็ดับ มันไม่ถูกต้อง ตรงนี้ต้องยอมรับว่า ถ้าเอาเกณฑ์นักวิทยาศาสตร์เป็นตัวตั้ง ท่านต้องรู้ว่า วิทยาการในโลกปัจจุบัน เพิ่งจะเริ่มศึกษาสมาธิ ที่มีผลต่อระบบประสาทในร่างกาย เรียกว่าองค์ความรู้ห่างชั้นกับพระพุทธองค์มากมาย ความรู้ที่เกี่ยวกับจิต โดยเฉพาะในวงการจิตเวช จิตแพทย์ทั่วโลก สุดท้ายแล้ว ใช้ยา ไปสกัดระบบประสาทการรับรู้ แต่พระพุทธองค์ใช้ สติ สัมปชัญญะ คำสอนของพุทธะ เรื่องจิต มีความลึกซึ้งกว่าศาสตร์ของตะวันตก คนละชั้นเลย จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 19:48:38

ความคิดเห็นที่ 20 พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนว่า "มีิอัตตา" ซึ่งเป็นสุดโต่้ง และ ตายแล้วสูญ ซึ่งเป็นสุดโต่ง ทรงสอนว่า  มีจิต ที่เกิดดับ ตามเหตุ เมื่อยังไม่สิ้นเหตุ จะดับจากร่างนี้ไปเป็นดวงใหม่อีกร่างหนึ่ง ตามกระแส ไม่่ใช่จิตดวงเดียวกัน ที่ตาย แล้วไปเกิดใหม่  เป็นจิตคนละดวงกัน  เกิดดับสืบเนื่องกันไป พระพุทธเจ้าทรงไม่สอนเรื่องอัตตา และไม่ทรงสอนเรื่องสูญ ทรงสอนเรื่องเหตุอย่างนี้ จากคุณ : Real~Fine   เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 20:45:00     **************** จิตต้องเกิดมาจากเหตุและปัจจัยมาประชุมเพื่อปรุงแต่งขึ้น คือเมื่อมีเหตุและปัจจัยพร้อม มันจึงเกิดขึ้น เมื่อไม่มีเหตุและปัจจัย มันก็ไม่เกิดขึ้น ซึ่งเหตุของจิตก็คือ วิญญาณ ที่ต้องอาศัยระบบประสาทของร่างกายที่ยังดีอยู่เพื่อเกิดขึ้นมา และต้องอาศัยปัจจัยคือ เวทนา สัญญา และสังขารมาร่วมกันปรุงแต่ง จึงเกิดเป็นจิตขึ้นมาได้ จิตไม่ได้มีเป็นดวง จิตมีลักษณะเป็นขณะ คือเกิดขึ้นมาขณะหนึ่งแล้วก็ดับหายไป แล้วเหตุและปัจจัยเก่าก็ปรุงแต่งขณะใหม่ขึ้นมาอีก เหมือนการเคาะระฆังที่เสียงเก่าดับหายไป แต่การเคาะระฆังยังมีอยู่ ก็จะทำให้เกิดเสียงระฆังใหม่ขึ้นมาได้อีกเหมือนเสียงเก่าเรื่อยไป จิตขณะเก่าดับไป ก็เป็นอันว่าดับไป แต่เมื่อร่างกายยังดีอยู่ และยังมีสัญญาเก่าอยู่ มันก็จะปรุงแต่งให้เกิดจิตขณะใหม่ขึ้นมาได้อีกเรื่อยไป ส่วนที่ว่าจิตเก่าดับไป แล้วจะมาเป็นเหตุให้เกิดจิตใหม่ในร่างกายใหม่นั้น ไม่ถูกต้อง เพราะจิตเก่าดับไปก็ดับไป มันไม่สามารถมาเป็นเหตุให้เกิดจิตใหม่แม้ในร่างกายเก่าได้ ยิ่งในร่างกายใหม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ซึ่งการที่พูดว่า จิตเก่าดับไปแล้วเป็นเหตุให้เกิดจิตใหม่ในร่างกายใหม่นั้น เป็นแค่ความเชื่อเท่านั้น ซึ่งขาดทั้งหตุผลและความจริงมารองรับ จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 20:13:37

ความคิดเห็นที่ 21 ลองศึกษาดีๆ นรก สวรรค์ ภพภูมิ ตามที่บันทึกไว้ น้อยคนนักที่จะเห็นด้วยตาเนื้อ จนกว่าจะทำฌาน ญาณ ให้เกิด ทิพยจักษุญาณ อภิญญา จนชัดแจ้งเสียก่อน ............ จากคุณ : venture     เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 19:48:38   *************** นี่แสดงว่าคุณ venture   ทำฌาน ญาณ ให้เกิด ทิพยจักษุญาณ อภิญญา จนชัดแจ้งได้แล้วใช่หรือไม่? จึงได้กล่าวเช่นนี้ ถ้าทำได้แล้วก็ช่วยนำเรื่องราวนรก สวรรค์มาแจกแจงรายละเอียดออกมทางโทรทัศน์ด้วย จะได้ดังระเบิดไปทั่งโลก แต่ถ้ายังทำไม่ได้ก็ ไม่ควรพูดอย่างนี้ เพราะพระพุทธเจ้าคงไม่สอนให้เรามาเชื่อในสิ่งที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้เป็นแน่ ใช่หรือไม่? จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 20:18:32

ความคิดเห็นที่ 22 อนึ่ง อย่าลืมแล้วกันว่าท่านตรัสแก่กาลมชนผู้ไม่ได้เป็นสาวกในพระพุทธศาสนา แล้วเวลาท่านกล่าวกับสาวกของท่านละ ท่านตรัสเลยว่า จงทำตามเราบอกเถิด จงเชื่อเราเถิด.. แต่นั่นก็คือหลังจากน้อมศรัทธามาหาและแสดงปัญญาให้ยอมรับแล้ว การที่บุคคลอื่นใดจะใช้กาลามสูตรกับพระองค์ก็เป็นการลักลั่น หรือสาวกจะใช้กาลามสูตรกับพระองค์ก็ลักลั่นเช่นกัน จากคุณ : kiarati   เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 21:41:52   ถูกใจ : ไป่หลง ********************** นี่แสดงว่าคำสอนของพระพุทธองค์นั้นมีจุดบกพร่องหรือผิดพลาด หรือไม่ดีจริง จึงได้ห้ามไม่ให้ใช้หลักกาลามสูตรมาพิจารณา เป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าจะมาสอนว่า "จงเชื่อเราเถิด" อย่างนี้มันเหมือนการอ้อนวอนขอให้คนฟังมาเชื่อคนสอน เพราะคำสอนไม่มีความจริงหรือดีเพียงพอ จึงต้องใช้วิธีนี้ คนมีปัญญาแล้วก็ไม่ต้องสอนอะไรแบบนี้อีกแล้ว เพราะเขาจะมีปัญญาเข้าใจหลักการของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 20:32:07

ความคิดเห็นที่ 23 ทำไมท่านไม่ฝึกทิพจักขุญาณเพื่อพิสูจน์เล่า ? ในเมื่อท่านเองก็ยึดหลักกาลามสูตร (พิสูจน์ก่อนแล้วจึงเชื่อ) มิใช่หรือ ? จะมามัวเอาตำรา พลิกไปพลิกมาทำไม ไม่เกิดประโยชน์ ยังกล่าวตู่พระพุทธพจน์บทพระบาลีอีก เหตุใดท่านจึงไม่พิสูจน์ ? นั่งเทียนตีความ ได้ประโยชน์อะไร ? จากคุณ : เพื่อมหาชน     เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 55 21:41:00     ***************** คุณ เพื่อมหาชน รู้ได้อย่างไรว่าใครปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ? หรือคุณพิสูจนได้แล้วจึงได้กล่าวอย่างนี้ออกมา?? อย่าลืมว่า สิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริง ถึงพิสูจน์อย่างไรก็ไม่มีทางพบเห็นได้ จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 20:44:48

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าทำได้แล้วก็ช่วยนำเรื่องราวนรก สวรรค์มาแจกแจงรายละเอียดออกมทางโทรทัศน์ด้วย จะได้ดังระเบิดไปทั่งโลก ...เอาแล้วสิ ปฏิบัติธรรม เพื่อต้องการโด่งดังไปทั่วโลก จะแสวหาทรัพย์แบบนั้น แสวงหาบารมีแบบนั้นไปเพื่ออะไรครับ ทำมาหากินแบบอื่นดีกว่า รู้จักคำว่าปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก บ้างไหม แม้แต่เรื่องการระลึกชาติ นักวิทยาศาสตร์เขาไม่ปักใจปฏิเสธ เพราะตนทำไม่ได้ แต่เขามีกระบวนการพิสูจน์เก็บข้อมูลชัดเจน ท่านไม่เคยศึกษาบ้างหรือ สรุปก็คือท่านไม่เคยภาวนา จนถึงขั้นจิตตั้งมั่น ปราศจากอุปกิเลส ควรแก่งานเลย เหมือนพยายามเอาใจแต่ฝรั่ง ตนเองพิสูจน์เรื่อง ฌาน ญาณ ไม่ได้ ก็ปิดปากเงียบๆ อย่าไประรานคนอื่นดีกว่า ท่านไม่ต้องไปแนะนำเขา มีคนที่เขาปฏิบัติแล้ว ยืนยันการมีอยู่ของภพภูมิ เขาพิสูจน์ได้ แต่แก่นของการพิสูจน์ภพภูมิ ระลึกชาติได้ ท่านก็เลือกเอาจะพิสูจน์เรื่องญาณ หรือพิสูจน์แบบกระบวนการเก็บสถิติ จากนักวิทยาศาสตร์ตัวจริงๆ เป็นๆ ไม่ต้องมาย้อนว่า เฮ้ยเอ็งช่วยเอามาโชว์สิ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 22:48:03

ความคิดเห็นที่ 25 อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ จากคุณ : by iPhone (Vees) เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 23:12:21

ความคิดเห็นที่ 26 ท่านฮุ่ยหนิงเคยกล่าวไว้ว่า   "หลักธรรมมิได้แบ่งเป็นสองคน ตางหากที่แบ่งเป็นชาวเหนือชาวใต้ หลักธรรมมีอยู่หนึ่งเดียวเท่านั้น แต่การบรรลุธรรมแตกต่างกันมีฉับพลันและเชื่องช้า โดยที่หลักธรรมนั้น ไม่มีฉับพลันหรือเชื่องช้าแต่อย่างใด คำว่า "ฉับพลัน" และ "เชื่องช้า"เกิดขึ้นเพราะความเฉียบแหลมของแต่ละคนแตกต่างกัน" จากคุณ : hikaru_hurb เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 07:24:56

ความคิดเห็นที่ 27 #23 เร่งปฏิบัติธรรมซะนะครับ อย่ามัวฟุ้งซ่านอยู่ จะได้บทพิสูจน์ซักที จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 21:00:15