"จงกระทำอย่างแต่ก่อน"
ชาวเมืองเอเฟโซส์ต้องจุดความรักที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมีนั้นขึ้นใหม่หากเขาไม่อยากจะสูญเสีย. "เพราะเหตุนี้" พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่า "จงระลึกถึงสภาพที่เจ้าได้ตกลงมานั้น และจงกลับใจ และกระทำอย่างแต่ก่อน. มิฉะนั้น เราจะมาหาเจ้า และเราจะยกเชิงตะเกียงของเจ้าออกจากที่ เว้นแต่เจ้าจะกลับใจ." (วิวรณ์ 2:5ลม) หากพวกเขาไม่ทำดังว่า ตะเกียงของเขาก็จะดับ และเชิงตะเกียงของเขาจะถูกยกออกไป. พวกเขาจะสูญเสียสิทธิพิเศษแห่งการส่องสว่างความจริงไป.
พระเยซูทรงมีถ้อยคำหนุนกำลังใจสำหรับชาวเอเฟโซส์ดังนี้ "กระนั้น เจ้ายังมีสิ่งนี้อยู่ คือเจ้าเกลียดชังการกระทำของนิกายนิโคเลาส์ ซึ่งเราก็เกลียดชังด้วย."(วิวรณ์ 2:6,ล.ม.) อย่างน้อยพวกเขาก็เกลียดชังการแบ่งแยกลัทธินิกาย เช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเกลียด. แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป หลายประชาคมไม่ได้ใส่ใจถ้อยคำเหล่านั้นของพระเยซู. การที่พวกเขาไม่มีความรักต่อพระยะโฮวา ต่อความจริง และต่อกันและกันยังผลให้พวกเขาหลุดลอยเข้าสู่ความมืดมนฝ่ายวิญญาณ. พวกเขาแตกแยกออกเป็นหลายนิกายที่ขัดแย้งกัน. "คริสเตียน" ผู้คัดลอกพระคัมภีร์ซึ่งไม่มีความรักต่อพระยะโฮวาได้ตัดพระนามเฉพาะของพระเจ้าออกจากฉบับสำเนาคัมภีร์ไบเบิลภาคภาษากรีก. การขาดความรักดังกล่าวยังเปิดช่องให้คำสอนแบบบาบูโลนและกรีก เช่น ไฟนรก,ไฟชำระ,และตรีเอกานุภาพ แทรก-ซึมเข้ามาในนามศาสนาคริสต์. เนื่องจากขาดความรักต่อพระเจ้าและต่อความจริง คนส่วนใหญ่ที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนนั้นจึงเลิกประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. พวกเขาตกอยู่ใต้อำนาจชนจำพวกนักเทศน์นักบวชที่เห็นแก่ตัว. ซึ่งได้สร้างอาณาจักรของตนขึ้นบนแผ่นดินโลกนี้.-1 โกรินโธ 4:8.
เมื่อการพิพากษาเริ่มต้นในปี 1918 นักเทศน์นักบวชในนิกายต่างๆแห่งคริสต์ศาสนจักรกำลังให้การสนับสนุนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอย่างเปิดเผยโดยกระตุ้นชาวคาทอลิกและชาวโปรเตสแตนต์ของทั้งสองฝ่ายในสงครามให้ฆ่าฟันซึ่งกันและกัน. (1 เปโตร 4:17) นิกายต่างๆในคริสต์ศาสนจักรเต็มไปด้วยหลักคำสอนที่ขัดแย้งกันและต่อต้านพระเจ้า และนักเทศน์นักบวชของเขาต่างก็เข้าร่วมกับโลกซึ่งพระเยซูตรัสว่าเหล่าสาวกของพระองค์ต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย. (โยฮัน 15:17-19) คริสตจักรเหล่านั้นไม่รู้เรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าอันเป็นสาระสำคัญของพระคัมภีร์ ฉะนั้นจึงมิได้เป็นเชิงตะเกียงที่เปล่งแสงแห่งความจริงจากพระคัมภีร์ และสมาชิกของพวกเขาก็มิได้เป็นส่วนแห่งพระวิหารฝ่ายวิญญาณของพระยะโฮวา. -2 เธซะโลนิเก 2:3,ล.ม.;มาลาคี 3:13.
อย่างไรก็ตาม ชนจำพวกโยฮันผ่านพ้นความวุ่นวายของสงครามโลกครั้งแรกมาได้พร้อมกับความรักต่อพระยะโฮวาและต่อความจริงซึ่งกระตุ้นเขาให้รับใช้ด้วยความกระตือรือร้นอันแรงกล้า. จากปี 1919 เป็นต้นมา พวกเขารุดหน้าไปเพื่อมีส่วนทำให้คำพยากรณ์สำคัญยิ่งของพระเยซูสำเร็จต่อไปที่ว่า "และข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ชนทุกชาติ ครั้นแล้วอวสานจะมาถึง." (มัดธาย 6:9,10;24:3-14,ล.ม.)
ณ การประชุมใหญ่อันเป็นประวัติการณ์ซึ่งคริสเตียนเหล่านี้ 18,000 คน ได้เข้าร่วมที่ซีดาพอยต์รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา วันที่ 5-13 กันยายน 1922 มีเสียงเรียกดังนี้ "จงกลับไปยังเขตประกาศ โอบรรดาบุตรของพระเจ้าองค์สูงสุด!....โลกจะต้องรู้ว่าพระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าและรู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย...เพราะฉะนั้นจงเป่าประกาศ ประกาศ ประกาศโฆษณาพระมหากษัตริยและราชอาณาจักรของพระองค์." พระนามอันล้ำค่าของพระยะโฮวาได้รับการทำให้เด่นขึ้น. ในปี 1931 คริสเตียนเหล่านี้ที่ได้ชุมนุมกัน ณ การประชุมใหญ่ที่โคลัมบัส รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ปิติยินดีเมื่อได้รับเอาชื่อที่พระเจ้าทรงระบุไว้ในคำพยากรณ์ของยะซายา คือพยานพระยะโฮวา. (ยะซายา 43:10,12) ตั้งแต่ฉบับ 1 มีนาคม 1939 วารสารหลักขององค์การได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น หอสังเกตุการณ์ ประกาศเรื่องราชอาณาจักรของพระยะโฮวา ทั้งนี้เป็นการถวายเกียรติแด่พระผู้สร้างของเราและราชอาณาจักรของพระองค์เป็นอันดับแรก. พยานทั้งหลายของพระยะโฮวาพร้อมด้วยความรักที่ฟื้นขึ้นใหม่ต่อพระยะโฮวา ได้กลับใจต่อความผิดพลาดแต่ก่อนคือไม่ได้ถวายเกียรติยศและยกย่องพระนามอันรุ่งโรจน์และราชอาณาจักรของพระองค์.-บทเพลงสรรเสริญ 106:6,47,48.