Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ชาวพุทธ ที่มีความศรัทธานำและที่มีปัญญาในการตรึกตรองนำ ต่างก็ทับถมกันด้วยทิฏฐิทำไมหรือ?. ติดต่อทีมงาน

ชาวพุทธ ที่มีความศรัทธานำและที่มีปัญญาในการตรึกตรองนำ ต่างก็ทับถมกันด้วยทิฏฐิทำไมหรือ?.

    หลักฐานในพุทธศาสนาคือพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าไม่มีตรงไหนที่ตรัสว่า พระสาวกของพระองค์ว่า อย่างไหนดีกว่า อย่างไหนต้องข่มฝั่งไหน หรืออย่างไหนต้อง โง่ กว่ากันเลย

     หรือในสมัยนี้การศึกษาทางโลกนั้นเจริญ แบ่งชนชั้นในการศึกษาทางโลกกันมากเหลือเกิน ชิงความเหนือชั้นกันด้วยการศึกษา ซึ่งเป็นยุคที่กำลังเจริญหรือมีความเจริญในการศึกษาและเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด จึงสั่งสมทิฏฐิ ในการข่มกัน

       แต่พระพุทธเจ้ายังตรัสสรรเสริญ ผู้ที่ เป็น สัทธานุสารี(ผู้ถึงด้วยศรัทธายิ่ง) และธรรมมานุสารี(ผู้ถึงด้วยการเพ่งด้วยปัญญายิ่ง) ไม่ได้ต่างกันเลย      

        ดังนั้นการข่มกันด้วย ทิฏฐิ ว่า “โง่กว่า” จึงไม่คอยปรากฏในพุทธสาวกที่แท้จริง  
        แม้ผู้นั้นจะมีปัญญาใช้ปัญญาเพ่งในธรรมปฏิบัติตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุด้วยผลประมาณยิ่ง  
        และแม้ผู้นั้นจะมีความศรัทธาความรักในพระธรรมและพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ปฏิบัติตามธรรมปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าตรัสวางไว้อย่างดีแล้วโดยไม่สงสัยเลย  

       ซึ่งมีหลักฐานในพระไตรปิฎกที่พระเถรานุเถระ รักษากันมาโดยไม่ให้เพิ่มหรือลบ หรือไม่ให้แก้ไขแม้แต่ความเห็นต่างๆ ที่มาแต่เดิม เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาได้สืบค้น ตามสภาพนั้นจริง เพื่อนำไปพิจารณาและสืบสานความเห็นที่ถูกที่ควรเจริญขึ้นไปตามลำดับ เป็นปัญญาที่เจริญขึ้นแห่งตน.

      หลักฐานที่   ผู้ที่เป็น สัทธานุสารี(ผู้ถึงด้วยศรัทธายิ่ง) และธรรมมานุสารี(ผู้ถึงด้วยการเพ่งด้วยปัญญายิ่ง) ไม่ได้ต่างกันเลย ดังนี้.

พระไตรปิฎกเล่มที่ 13

     อธิบายก่อน

          *** ว่าด้วย บุคคลมีปัญญาไตรตร่องพิจารณาเหตุ และเพ่งในธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างดีแล้ว ด้วยปัญญาประมาณยิ่ง
          *** ว่าด้วย บุคคลมีความรักความศรัทธาในพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ปฏิบัติตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วโดยเชื่อมั่นอย่างยิ่ง

---------------------------------------------------------------------
          [๒๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธัมมานุสารีบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล
บางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่ แต่
อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระ
ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมควรซึ่งความพินิจ โดยประมาณด้วยปัญญาของผู้นั้น อีกประการหนึ่ง
ธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ย่อมมีแก่ผู้นั้น
บุคคลนี้เรากล่าวว่า ธัมมานุสารีบุคคล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความ
ไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุแม้นี้ ข้อนี้เพราะเหตุไร เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของ
ภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้เสพเสนาสนะที่สมควรคบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่
พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวช
เป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันแล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้ เราจึง
กล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้.
             [๒๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัทธานุสารีบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล
บางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่
แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ผู้นั้นมีแต่เพียง
ความเชื่อความรักในพระตถาคต อีกประการหนึ่ง ธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์
สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ย่อมมีแก่ผู้นั้น บุคคลนี้เรากล่าวว่า สัทธานุสารีบุคคล.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุแม้นี้ ข้อนั้น
เพราะเหตุไร เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้เสพเสนาสนะ
ที่สมควร คบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มี
ธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญา
อันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้ จึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท
ย่อมมีแก่ภิกษุนี้.

------------
พระไตรปิฎกเล่มที่ 17.

     อธิบายก่อน

          *** ว่าด้วย บุคคลมีปัญญาไตรตร่องพิจารณาเหตุ และเพ่งในธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างดีแล้ว ด้วยปัญญาประมาณยิ่ง
          *** ว่าด้วย บุคคลมีความรักความศรัทธาในพระเป็นอย่างยิ่ง ปฏิบัติตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วโดยเชื่อมั่นอย่างยิ่ง

------------------------------
                                                  ๔. โอกกันตสังยุต
                                                        ๑. จักขุสูตร
                                     ว่าด้วยสัทธานุสารีและธัมมานุสารีบุคคล
              [๔๖๙] พระนครสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุไม่เที่ยง มีอัน
แปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา หูไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา จมูกไม่
เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา ลิ้นไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็น
ธรรมดา กายไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเชื่อมั่นไม่
หวั่นไหวซึ่งธรรมเหล่านี้อย่างนี้ เรากล่าวผู้นี้ว่า สัทธานุสารี ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก้าวลง
สู่สัปปุริสภูมิ ล่วงภูมิปุถุชน ไม่ควรเพื่อทำกรรมที่บุคคลทำแล้วพึงเข้าถึงนรก กำเนิดสัตว์
ดิรัจฉาน หรือปิตติวิสัย ไม่ควรเพื่อทำกาละตราบเท่าที่ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้ ย่อมควรเพ่งด้วยปัญญา โดยประมาณอย่างนี้ แก่ผู้ใด. เราเรียกผู้นี้ว่า
ธัมมานุสารี ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก้าวลงสู่สัปปุริสภูมิ ล่วงภูมิปุถุชน ไม่ควรเพื่อทำกรรมที่
บุคคลทำแล้วพึงเข้าถึงนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือปิตติวิสัย ไม่ควรเพื่อทำกาละตราบเท่าที่ยัง
ไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดรู้เห็นธรรมเหล่านี้อย่างนี้. เรากล่าวผู้นี้ว่า
เป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
                                                     จบ สูตรที่ ๑.
                                                      ๒. รูปสูตร
                                       ว่าด้วยสัทธานุสารีและธัมมานุสารีบุคคล
              [๔๗๐] พระนครสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง มี
อันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา เสียงไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา
กลิ่นไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา รสไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่าง
อื่นเป็นธรรมดา โผฏฐัพพะไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา ธรรมารมณ์ไม่
เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวซึ่ง
ธรรมเหล่านี้อย่างนี้ เรากล่าวผู้นี้ว่า สัทธานุสารี ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก้าวลงสู่สัปปุริสภูมิ
ล่วงภูมิปุถุชน ไม่ควรเพื่อทำกรรมที่บุคคลทำแล้วพึงเข้าถึงนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือปิตติ
วิสัย ไม่ควรเพื่อทำกาละ ตราบเท่าที่ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม
เหล่านี้ ย่อมควรเพ่งด้วยปัญญา โดยประมาณอย่างนี้แก่ผู้ใด. เรากล่าวผู้นี้ว่า ธัมมานุสารี
ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก้าวลงสู่สัปปุริสภูมิ ล่วงภูมิปุถุชน ไม่ควรเพื่อทำกรรมที่บุคคลทำแล้ว
พึงเข้าถึงนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือปิตติวิสัย ไม่ควรเพื่อทำกาละตราบเท่าที่ยังไม่ทำให้
แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดรู้เห็นธรรมเหล่านี้อย่างนี้ เรากล่าวผู้นี้ว่าเป็น
พระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
                                                     จบ สูตรที่ ๒.

                                                     ๑๐. ขันธสูตร
                                 ว่าด้วยสัทธานุสารีและธัมมานุสารีบุคคล
              [๔๗๘] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่น
เป็นธรรมดา เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง มีอันแปรปรวน
เป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวซึ่งธรรมเหล่านี้อย่างนี้
เรากล่าวผู้นี้ว่า สัทธานุสารี ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก้าวลงสู่สัปปุริสภูมิ ล่วงภูมิปุถุชน ไม่ควร
เพื่อทำกรรมที่บุคคลทำแล้วพึงเข้าถึงนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือปิตติวิสัย ไม่ควรเพื่อทำกาละ
ตราบเท่าที่ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้ย่อมควรเพ่งด้วยปัญญา
โดยประมาณอย่างนี้แก่ผู้ใด. เรากล่าวผู้นี้ว่า ธัมมานุสารี ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก้าวลงสู่
สัปปุริสภูมิ ล่วงภูมิปุถุชน ไม่ควรเพื่อทำกรรมที่บุคคลทำแล้วพึงเข้าถึงนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน
หรือปิตติวิสัย ไม่ควรเพื่อทำกาละ ตราบเท่าที่ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ผู้ใดรู้เห็นธรรมเหล่านี้อย่างนี้. เรากล่าวผู้นี้ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
                                                  จบ สูตรที่ ๑๐.
                                               จบ โอกกันตสังยุต.
-------------------------------------------------------------

     ดังนั้น ทิฏฐิที่ทับถมกันนั้น ของชาวพุทธ ที่กล่าวว่าผู้อื่นโง่  แม้ผู้อื่นนั้นจะยกธรรมตามที่มีหลักฐานตามพระไตรปิฎกที่พระเถรานุเถระ รักษากันมาอย่างดีแล้ว นั้นควรหรือ?

     แล้วความคิดของท่านที่ว่าผู้อื่นโง่ ยกตนนั้นเป็นอัจริยะ นั้นถูกต้องหรือ จะเอาอะไรเป็นบรรทัดฐาน เพราะที่เสนอก็คือทิฏฐิ ของท่านเองทั้งนั้น และผู้อื่นก็มีทิฏฐิของตนเองเป็นบรรทัดฐานเช่นเดียวกัน.

     ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้วยังคงมีอยู่ ธรรมะนั้นยังเ็ป็นศาสดาของชนรุ่นหลังได้อย่างดีอยู่ ผู้มีศรัทธาหรือมีปัญญาสามารถคัดสรรธรรมในพระไตรปิฎกเพื่อเหมาะสมกับตนในการพัฒนาทางธรรมยิ่งๆ ขึ้นได้อยู่ ถ้าไม่ปิดบังตนด้วยการถือทิฏฐิแห่งตนที่ปักจนแน่นจนมากเกินไป .

แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 55 20:52:50

จากคุณ : P_vicha
เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 55 20:29:08




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com