ความคิดเห็นที่ 1 หลักพุทธจริง ไม่ได้สอนให้ตายแล้วไปเกิดที่ภพสูงขึ้น แต่สอนเพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ส่วนภพภูมิ ที่ต้องบอก เพราะมันมีอยู่จริง ถ้าไม่บอก คนก็ไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน มันก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่ว่าตายแล้วดับสูญ ไม่มีการเกิดอีก จากคุณ : Rovivta เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 12:04:52

ความคิดเห็นที่ 2 หากเป็นเช่นนั้นจริง ผมเห็นว่า การทำบุญมีส่วนลดลงแน่ คือ พระมีอาหารน้อยครับ แต่ทำนองเดียวกัน คนกลุ่มหนึ่งที่ใส่บาตรนั้น อาจจะมีแนวคิดคล้ายๆ กับฝรั่งส่วนมาก ที่ไม่เชื่อเรื่องของ บาปบุญ ภพนี้ภพหน้า แต่ทำ สิ่งที่เราเรียกว่าบุญ  เช่นการ ใส่บาตรพระ  เป็นไปเพราะ เค้าเหล่านั้น รู้ว่านี่คือ จุดยืนของ สัมมาชีพของพระ ทำบุญไป เพื่อที่จะได้ให้อีกฝ่าย เกิดการประหยัด เวลา แรงงาน และความคิด เพื่อให้ พระท่านได้เอาโอกาสไปทุ่มเท หรือให้ความสำคัญกับการ เจริญจิตภาวนา เพื่อประโยชน์ของท่านเอง และก็ย้อนกลับมา เทศน์หรือ เป็นตัวอย่าง ให้คำแนะนำ หรือร่วมฝึกปฏิบัติกับ ฆราวาสอย่างเราๆ ได้ ดีซะอีกครับ ผมเห็นว่า ท่าทีในการทำบุญจะได้ถูกยกระดับ จากพื้นฐานคือการทำเพื่อบุญ เป็นการทำเพื่อ เห็นประโยชน์ในการสร้างคน คือ สร้างพระ ที่สนใจในเรื่องแก่นเรื่องหลักของพุทธ หาใช่ยัง อยู่ในเรื่องระดับบุญทาน (ที่มีความดีควาางามอยู่แล้ว) จนไม่ขยับยกระดับ  ไปสู่เรื่องจิต  เรื่องปัญญาซักที และส่วนหนึ่ง ก็เป็นการลดทิฏฐิ หรือ ความเยิ่นเย้อจากจารีตในสังคม ให้ลัดสั้นเข้าสู่ การภาวนา ได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน จากคุณ : หน้ากาก ธรรมะ เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 12:14:03

ความคิดเห็นที่ 3 เราใส่บาตรเพื่อจรรโลงพุทธศาสนา คิดว่าพระท่านมาบวชเพื่อสืบต่อพุทธศาสนา ให้มีต่อไป จะได้เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนียวจิตใจ เป็นหลักในการดำเนินชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและส่วนรวม นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเรา ถ้าทำชั่ว จิตใจไม่สงบ มโนธรรมจะรบกวนประหนึ่งตกนรก ทำดี เราจิตใจอิ่มเอิบ , คนอื่นที่ได้รับผลจากความดีได้รับประโยชน์มีความสุข เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เวลาใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่ได้คาดหวังว่าเค้าจะได้มารับประทานอาหารนั้น แต่เป็นที่ความตั้งใจอันเป็นกุศลของเรา ที่เค้าจะได้รับรู้ว่ามีผู้ระลึกถึง แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 55 12:34:35 จากคุณ : กุ๊กไก่ใจร้าย (k487) เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 12:33:50

ความคิดเห็นที่ 4 ขอก้มกราบงาม ๆ  ต่อความเห็น ของคุณ "หน้ากากธรรมะ"  กับแนวความคิดที่ประเสริฐ หลักแหลม และหาอ่านได้ค่อนข้างยากมาก ๆ ในห้องศาสนานีี้ ความคิดเห็น ของคุณ Rovivta   ก็น่าชื่นชมมาก เช่นกันครับ  เข้าใจง่าย กระชับ แต่ยังคงรักษาจุดยืนที่ชัดเจน ทีเดียว อ่านของคุณกุ๊กไก่ฯ  ก็เห็นว่าชัดเจนดี และรู้สึกว่าเจริญด้วยปัญญาได้ อย่างดีทีเดียวครับ แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 55 12:41:41 แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 55 12:39:03 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 12:37:53

ความคิดเห็นที่ 5 สวัสดีครัีบ คุณ รถเรณู      การให้ทานของชาวพุทธ มีหลายละดับ ตามแต่ละบุคคลครับ     และ การให้ทานเพื่อให้ได้ส่งต่อไปถึง "ดวงวิญญาณ ในภพอื่น" ก็มีในบุคคลบางจำพวก ครับ     ซึ่งในพระไตรปิฎกเล่มที่ 11 ก็กล่าวถึงการให้ทานแต่ละบุคคล ตามลำดับดังนี้ --------------------------------------------------        [๓๔๕] ทานวัตถุ ๘ อย่าง            ๑. ให้ทานเพราะประจวบเหมาะ            ๒. ให้ทานเพราะกลัว            ๓. ให้ทานโดยคิดว่า เขาได้เคยให้แก่เรา            ๔. ให้ทานโดยคิดว่า เขาจักให้แก่เรา            ๕. ให้ทานโดยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี            ๖. ให้ทานโดยคิดว่า เราหุงต้ม คนเหล่านี้มิได้หุงต้ม เราหุงต้มอยู่จะไม่ให้แก่ผู้ที่มิ ได้หุงต้ม ย่อมไม่สมควร            ๗. ให้ทานโดยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ เกียรติศัพท์อันดีงาม ย่อมจะระบือไป            ๘. ให้ทานเพื่อประดับจิต และเป็นบริขารของจิต ฯ ----------------------------------------------------   อธิบาย ยังมีอีก ในพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน เป็นดังนี้ -----------------------------------------------------          [๓๔๖] ทานุปบัติ ๘ อย่าง         ๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมให้ข้าว น้ำ ผ้ายาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พักและสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีป เป็นทานแก่สมณะหรือ พราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไป เขาเห็นกษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล หรือ คฤหบดีมหาศาล ผู้เพรียบพร้อมพรั่งพร้อม ได้รับการบำรุงบำเรอด้วยกามคุณห้าอยู่ เขาจึงคิด อย่างนี้ว่า โอหนอเบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายของกษัตริย์ มหาศาลพราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดีมหาศาล เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้อบรม จิตนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่เลว มิได้รับอบรมเพื่อคุณเบื้องสูงย่อมเป็นไปเพื่อเกิด ในที่นั้น ก็ข้อนั้นแล เรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลาย ความ ตั้งใจของผู้มีศีลย่อมสำเร็จได้เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ฯ         ๒. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมถวายข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พักและที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีปเป็นทาน แก่สมณะ หรือพราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไป เขาได้ยินมาว่า พวกเทพเหล่าจาตุ มหาราชิกา มีอายุยืน มีวรรณะมากด้วยความสุขดังนี้ เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายของพวกเหล่าจาตุมหาราชิกา เขาตั้งจิตนั้นไว้ อบรมจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่เลว มิได้รับอบรมเพื่อคุณเบื้อง สูง ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในที่นั้น ก็ข้อนั้นแล เรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลาย ความตั้งใจของผู้มีศีลย่อมสำเร็จได้เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ฯ          ๓. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมถวายข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอนที่พักและสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีป เป็นทานแก่ สมณะหรือพราหมณ์เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไป เขาได้ยินมาว่า พวกเทพเหล่าดาวดึงส์มี อายุยืน มีวรรณะ มากด้วยความสุขดังนี้ เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะ กายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายของพวกเทพเหล่าดาวดึงส์ เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิต นั้นไว้ อบรมจิตนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่เลวมิได้รับอบรมเพื่อคุณเบื้องสูง ย่อมเป็น ไปเพื่อเกิดในที่นั้น ก็ข้อนั้นแลเรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลาย ความตั้งใจของผู้มีศีล ย่อมสำเร็จได้เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ฯ         ๔. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมถวายข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอนที่พักและสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีป เป็นทานแก่ สมณะหรือพราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไป เขาได้ยินมาว่า พวกเทพเหล่ายามามีอายุ ยืน มีวรรณะ มากด้วยความสุข ดังนี้ เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะ กายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายของพวกเทพเหล่ายามา เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้น ไว้อบรมจิตนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่เลว มิได้อบรมเพื่อคุณเบื้องสูง ย่อมเป็นไป เพื่อเกิดในที่นั้น ก็ข้อนั้นแล เรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับผู้ทุศีลผู้มีอายุทั้งหลาย ความตั้งใจของผู้มีศีลย่อมสำเร็จได้เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ฯ        ๕. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมถวายข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอนที่พักและสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีปเป็นทานแก่ สมณะหรือพราหมณ์เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไปเขาได้ยินมาว่า พวกเทพเหล่าดุสิตามีอายุ ยืน มีวรรณะ มากด้วยความสุข ดังนี้ เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะ กายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายของพวกเทพเหล่าดุสิตา เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้น ไว้ อบรมจิตนั้นไว้จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่เลว มิได้รับอบรมเพื่อคุณเบื้องสูง ย่อมเป็น ไปเพื่อเกิดในที่นั้น ก็ข้อนั้นแล เรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับผู้ทุศีล ผู้มีอายุ ทั้งหลาย ความตั้งใจของผู้มีศีลย่อมสำเร็จได้เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ฯ         ๖. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมถวายข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พักและสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีปเป็นทาน แก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไป เขาได้ยินมาว่า พวกเทพเหล่านิมมา นรดี มีอายุยืน มีวรรณะ มากด้วยความสุข ดังนี้ เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตกเราพึงเข้าถึงความเป็นสหายของพวกเทพเหล่านิมมานรดี เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้ อบรมจิตนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่เลว มิได้รับอบรมเพื่อคุณเบื้อง สูง ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในที่นั้น ก็ข้อนั้นแล เรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลาย ความตั้งใจของผู้มีศีลย่อมสำเร็จได้ เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ฯ         ๗. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมถวายข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พักและสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีปเป็น ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไป เขาได้ยินมาว่าพวกเทพเหล่า ปรนิมมิตวสวัตดี มีอายุยืน มีวรรณะมากด้วยความสุขดังนี้ เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายของพวกเทพเหล่าปรนิมมิตวสวัตดี เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้ อบรมจิตนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่เลว มิได้รับ อบรมเพื่อคุณเบื้องสูง ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในที่นั้น ก็ข้อนั้นแล เรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่ สำหรับผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลาย ความตั้งใจของผู้มีศีลย่อมสำเร็จได้ เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ฯ         ๘. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมถวายข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พักและสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีปเป็น ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไป เขาได้ยินมาว่าพวกเทพที่นับเนื่อง ในหมู่พรหม มีอายุยืน มีวรรณะมากด้วยความสุขดังนี้ เขาจึงคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เบื้อง หน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายของพวกเทพที่นับเนื่องในหมู่พรหม เขา ตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้ อบรมจิตนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่เลว มิได้รับอบ รมเพื่อคุณเบื้องสูง ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในที่นั้น ก็ข้อนั้นแล เรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่สำ หรับผู้ทุศีล สำหรับคนที่ปราศจากราคะ ไม่ใช่สำหรับคนที่ยังมีราคะ ผู้มีอายุทั้งหลาย ความ ตั้งใจของผู้มีศีลย่อมสำเร็จได้ เพราะปราศจากราคะ ฯ ----------------------------------------- อธิบายเพิ่ม.. เน้นตรงประโยคสำคัญ คือควรต้องเป็นผู้มี ศีล ด้วยครับ          เรากล่าวสำหรับผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลาย ความ ตั้งใจของผู้มีศีลย่อมสำเร็จได้เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ฯ   อธิบายเพิ่ม ยังมีการแยกแยะไปจากการขยายความด้านบน อีกมาก และก็มีบางส่วนก็ได้ตรงกับทิฏฐิที่ว่า การให้ทานเพื่อให้ได้ส่งต่อไปถึง "ดวงวิญญาณ ในภพอื่น" ก็มี ตามที่คุณ รถเรณู ตั้งประเด็นไว้.    จึงมีความหลากหลาย ตามทิฏฐิ(ความเห็นของผู้นั้นๆ) หรือตามความรู้ หรือตามปัญญาทางธรรม ของแต่ละบุคคล ครับ. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 12:45:10

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าใครเข้าใจหลักชาวพุทธที่แท้จริง พระสงฆ์นักบวชก็ย่อมได้รับปัจจัยเลี้ยงชีพจากญาติโยมอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้าใครไม่เข้าใจหลักคำสอน หรือเป้าหมายในศาสนาพุทธ การถวายปัจจัยบำรุงสมณชีพราหมณ์ก็คงลดน้อยหมดหายไป... ** ฉะนั้น.."" ถ้าใครจะทำความดีใด ๆ อย่าทำเพื่อหวังให้ตนได้ไปเกิดในสวรรค์ อันจะเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดอีก แต่จงทำความดีเพื่อขัดเกลากิเลสในสันดานให้สะอาดบริสุทธิ์เพื่อความพ้นทุกข์ และถ้าจะละเว้นจากการทำชั่ว ก็ไม่ควรเว้นเพราะกลัวตกนรก แต่จงเว้นเพราะกลัวการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ "" **** การบริจาคทานให้แก่นักบวช สมณชีพราหมณ์ ก็เป็นการทำความดีอย่างหนึ่ง เพราะจุดประสงค์ของการให้ทาน คือ กำจัดความตระหนี่ถี่เหนียวให้หมดไปจากสันดาน ซึ่งความตระหนี่นี่แหละจัดเป็นกิเลส**** ปล.. "จงรีบเร่งกระทำความดี เพราะเมื่อทำความดีช้าไป ใจจะกลับไปยินดีในความชั่ว " จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 12:47:52

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้านรกสวรรค์ไม่มี ชาติก่อนชาติหน้าไม่มี  คนที่บวชก็คงเป็นคนหลีกหนีปัญหาละครับ อยากอยู่แบบสบายอกสบายใจโดยไม่ต้องทำงาน ...ว่ายังงั้น  คือมีความทุกข์ทางใจ แทนที่จะไปปรึกษาจิตแพทย์ ฉีดยา ฉีดฮอร์โมน ฉีดสารเคมี ปรับสมดุลระบบประสาท  ก็หนีไปออกบวชซะนี่ จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 13:05:36

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าอยากพักผ่อนใจให้สบายให้ว่างๆชั่วคราว  ผมคงให้ทานได้บ้าง    แต่ถ้าจะบวชตลอดชีวิต  ผมไม่ให้หรอกนะ กินแรงกันนี่นา   แล้วทำไม ผมต้องให้ของถวายด้วยล่ะ แล้วบวชทำไม จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 13:10:08

ความคิดเห็นที่ 9 มาเฝ้ารอ  ขออ่านความคิดเห็นที่มีค่าของทุก ๆ ท่าน........... หวังว่า.......แม้ใครจะมีความเห็นต่าง......ก็คงไม่โดนคนที่ไม่ถูกใจ....สับ  หรือด่าว่าเอา....เพราะที่นี่  เป็นกระทู้ของคนศาสนาพุทธที่มีจิตใจสูง.....ซึ่งยอมรับฟังความเห็นต่างได้ด้วยความเคารพ จากคุณ : Detente เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 13:10:12

ความคิดเห็นที่ 10 สำหรับตัวเราเอง ยังตักบาตรต่อไปค่ะ ไม่ได้เชื่อว่า จะได้เอาไปใช้ชาติหน้า แต่เป็นเพราะอยากทำบุญ แต่ส่วนตัวแล้ว เชื่อว่าส่วนนึง อาจจะทำให้คนที่ทำหวังผล ตักบาตรน้อยลงค่ะ (คหส่วนตัว) โลกสมัยนี้เปลี่ยนไป วัตถุนิยมมากขึ้น อยู่ด้วยความคาดหวังมากขึ้น จากคุณ : หัวใจนักท่องเที่ยว เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 13:10:15

ความคิดเห็นที่ 11 อยู่แบบสบาบอก สบายใจว่างๆเสร็จ  ก็สอนญาติโยมว่า    อย่าดิ้นรนให้ทุกข์กายทุกข์ใจกันมากนักเลย    มาอยู่แบบสบายๆแบบอาตมาเถอะโยมมม .. จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 13:14:10

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่ได้กดโหวตให้ เพราะถ้าไม่มีการสอนเรื่องนี้ ก็ไม่มีพระไง บุญ บาปไม่สำคัญไม่มีเหตุผลเรื่องภพชาติ จากคุณ : ธรรมชาติไพศาล เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 13:25:23

ความคิดเห็นที่ 13 ผมคิดว่า คุณกัป อาจจะมองศาสนาพุทธ "ตื้นเขิน"  มากไปนะครับ  หากคุณคิดว่า การไม่สนใจนรก สวรรค์ ผีสางนางไม้ แล้ว พระที่บวชไม่สึก จะเป็นพระที่ ต้องการสบาย กินแรงคนอื่น หาเลี้ยงชีพ ฯลฯ ผมเข้าใจในความคิดคุณนะ แต่ผม "ไม่เชื่อ" ความคิดเห็นของคุณ ที่ไปมองว่าพระที่บวชตลอดชีวิต จะคิดว่า บวชเพื่อสบาย เพียงเพราะ ไม่สนใจเรื่องผี เปรต ชาติก่อนชาติหน้า ภพภูมิฯลฯ  อันที่จริงแล้ว  เรื่องผี เรื่องเปรต ฯลฯ แม้จะตัดออกเสียเลย (แต่ก็ยังไม่มีใครตัดหรอกครับ แค่สมมติฐาน)  ผมก็ยังเชื่อว่า ศาสนาพุทธ ก็ยังคงมีหลักธรรมที่สำคัญ ๆ มากครบสมบูรณ์ ไม่ได้ขาดหายไปไหนเลย - ธัมมจักกัปวัตนสูตร ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นปฐมเทศนา ก้ไม่ได้กระเทือนแต่ประการใด - หลักอริยสัจ ๔ ประการ ที่เราคุ้นเคย  ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ มรรค  ก็ยังไม่ได้รับความกระทบกระเทือนแต่ประการใด แม้จะไม่มีผี ไม่มีเปรต มาทำให้เกิดทุกข์ (สำหรับคนจิตอ่อน คนกลัวผี)  มนุษย์เราก็ยังมีสิ่งอื่น ๆ ให้กลัว จนเกิดทุกข์ ต้องหาทางดับทุกข์ ไปที่ต้นเหตุ ฯลฯ อยู่ดี จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 13:26:44

ความคิดเห็นที่ 14 สำหรับคุณธรรมชาติไพศาล มีความเห็ฯที่ผิดชัดเจนครับ ที่ว่า หากไม่สอนเรื่องนี้ จะไม่มีพระ ผมเชื่อว่า แม้ไม่สอนเรื่องนี้ ก็ยังมีพระมากมายครับ ว่าง ๆ คุณลอง ไปวัดไทยในต่างประเทศ ที่พระเจ้าอาวาสเป็นพระฝรั่ง (ที่มาบวชในไทย) ดูสิครับ ส่วนใหญ่ ท่านไม่สอนและไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย แต่ท่านเหล่านั้น ก็บวชอุทิศตนตลอดชีวิต และไม่ได้ยึดติดกับความสบาย ทางร่างกายเนื้อหนัง อย่างที่คุณกัปเข้าใจ  แต่ท่านก็บำเพ็ญเพียร เจริญจิตภาวนา ตามแบบของพระพุทธเจ้า และสามารถทำได้ดีกว่า พวกพระเกจิอาจารย์ ที่จ้องแต่จะนั่งทางในไปคุยกับพยานาค ในเมืองไทย เสียด้วยซ้ำนะ.....สิบอกไห่ จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 13:32:32

ความคิดเห็นที่ 15 อืมม์งั้นผมก็คงต้องถามว่า บวชทำไม  แล้วทำไมผมต้องให้ของถวาย จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 13:32:53

ความคิดเห็นที่ 16 ครับ ผมเห็นด้วยกับคุณกัป ในความเห็ฯที่ 15 ครับ และคุณกัป ควรไปถามดูนะครับ เช่น ถามหลวงพ่อชา แต่คุณกัปบุญน้อยไปหน่อย ท่านไม่อยู่ให้ถามแล้ว  ดังนั้น ก็ลองไปถาม หลวงพ่ออื่น ๆ ที่เป็นศิษย์ของท่านดูนะครับ... ผมเชื่อว่า คุณกัป จะได้คำตอบที่ดีว่า....ท่านบวชทำไม และทำไมต้องถวาย (หรือไม่ต้องถวาย ท่านก็ไม่ใส่ใจมากหรอกครับ) จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 13:38:41

ความคิดเห็นที่ 17 *** หวังว่าคุณรถเรณู คงเข้าใจคำว่า "เนยยะ" และ "ปทปรมะ" *** 2 คำนี้แหละ ไม่คำใดก็คำหนึ่ง น่าจะเอาไปใช้กับคุณ กัป' *** พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้วว่า ปัญญาของคนเรามีไม่เท่ากันเปรียบเหมือนบัว 4 เหล่า ขอให้คุณ กัป' ได้กลายมาเป็น "อุคฆฏิตัญญู" หรือ "วิปจิตัญญู"  ในเร็ววันด้วยเทอญ.... จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 13:39:09

ความคิดเห็นที่ 18 ก็ผมสงสัยจริงๆนี่นา ก็ถ้าไม่มีนรกสวรรค์ ไม่มีชาติก่อนชาติหน้า ไม่มีบุญไม่มีบาป   แล้วบวชทำไม  แล้วทำไมผมจึงควรให้ของถวาย     ถ้าคำตอบพอรับฟังได้  ผมอาจจะถวายเพิ่มก็ได้ จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 13:46:51

ความคิดเห็นที่ 19 แหม จขกท. จะมากราบอะไรกัน 55  เขินนะเนี่ย ความดีของพระสงฆ์ และฆราวาสพุทธทั้งหลายประมาณ  90% ควรจะต้องแบ่งยกให้ เป็นพระคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยเช่นกันนะครับ : ) ขอชมว่า คนตั้งกระทู้ ก็หลักแหลมเช่นกันครับ มอง 'สิ่งที่เรียกว่าปัญหา (ส่วนหนึ่ง) ที่เกิดในสังคม ได้เข้าใจดี ผมเข้าใจเจตนาของ จขกท. นะครับ หากตั้งใจอ่านแล้ว จับประเด็นดู ในตัวเลือก (โหวต) ข้อที่ 2 มันค่อนข้างจะบอกอะไรได้ชัดเจนอยู่แล้ว (และปกป้องคุณจากการครหา เช่นกัน) ผมรู้จัก หลวงพี่หลายรูปเลยครับ ที่เวลาสนทนากัน เรื่องจำพวก ภพภูมิ นรกสวรรค์ ท่านไม่ค่อยพูดถึง เพราะท่านไม่มีประสบการณ์เช่นนั้น  คงพูดกันในฐานะที่น่าเชื่อถือได้ ตามพระไตรปิฎก (แล้วผมก็ไม่ได้บอกว่า หลวงพี่เหล่านั้นปฏิเสธเรื่องภพภูมิ ด้วยนะครับ พระที่พูดถึงเรื่องนี้ซะอีก พูดเป็นตุเป็นตะ  อย่างกับว่าไปเห็นมา พูดเพื่อลาภ สักการะ พูดเพื่อดึงศรัทธาฆราวาสญาติโยม ให้แปลงศรัทธา เป็นเงินเป็นทอง เป็นสักการะไป (แต่มีพระอาจารย์หลายท่าน ที่รู้จริงเห็นจริง ท่านก็ถ่ายทอดได้เช่นกัน พระปฏิบัิติดีของจริง กับพระของปลอมที่นิยมหวังเงินในกระเป๋านั้น ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย) พระของปลอม พูดไป ก็อาจเสี่ยงต่อ อาบัติ ปาราชิกได้ (เหมือนที่ พระมหาโมคคัลานะพูดถึง เปรต เพราะท่านเห็นจริง แต่ดันมีพระโจทก์ว่าท่าน พูดเรื่องจำพวกอวดอุตริ ควรอาบัติปาราิชิก) แต่ หลวงพี่เหล่านั้น ก็บวชมาด้วยความศรัทธาในการภาวนา เราสนทนากันแต่เรื่องการภาวนา และการใช้ชีวิตให้สมดุลโลกและธรรมครับ จากคุณ : หน้ากาก ธรรมะ เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 13:52:08

ความคิดเห็นที่ 20 เคยอ่านว่าคร่าวๆว่าพระพุทธเจ้าเห็นว่า เหล่าภิกษุได้อาหารมาเหมือนกับการได้รับทานเท่านั้นคือให้ก็รับไม่ให้ก็ไ่ม่เป็นไร(ประมาณว่าบวชนี้แม้จะอดตายก็ไม่เป็นไร)เพราะเป็นการลดภาระในการเข้าถึงจิตใจที่แท้จริง ดังนั้น การที่คนให้ทานในยุคนู้นนนน เข้าใจว่า คนให้เพราะความสงสารเช่นเดียวกับให้ขอทาน ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ไม่แคร์เพราะมีคลาสกว่าตรงที่ไม่ยืนรอและไม่ขอร้องการให้ทานใดๆ ไม่มีไรกินจิงๆก็กินผลไม้หล่นได้ หรืออดตายก็ยังดีกว่าอายุยืนยาวแต่มีทุกข์ ผมเลยคิดเองว่า ยังงัยๆๆๆ โลกใบนี้มันเหมือนน้ำที่เอียงไปทางสูงน้ำก็ลงต่ำ น้ำระเหยแห้งฝั่งนี้ก็ไม่้ตกเป็นฝนฝั่งนั้น ยังงัยๆๆ ก็ยังมีคนใจดีให้ทานตักบารตให้พระอยู่จนได้แหละ เพราะถ้าคนไม่ดีมีมากกว่าคนไม่ดี ป่านนี้โลกนี้คงกลายเป็นดาวร้างไปแล้ว จากคุณ : ฟ (apre) เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 14:15:45

ความคิดเห็นที่ 21 วัฏฏสงสาร(๓๑ภูมิ)เป็นเรื่องเอก ในพุทธศาสนา ถ้าออกจากวัฏฏสงสารได้ ก็ได้นิพพาน ธรรมทั้งหลาย ทั้งหมดคือกรรมวิธีที่จะถอดแรงดึงดูด(สัมปยุต วิปปยุต) ออกจากวัฏฏสงสาร     ทำอกุศลกรรม  ได้ไปอบายภูมิ ๔     ทำกุศลกรรม     ได้ไปกามสุคติภูมิ ๗     ทำรูปฌาน        ได้ไปสุคติภูมิ ๑๖     ทำอรูปฌาน       ได้ไปอรูปภูมิ ๔ ต้องเชื่อเรื่องนี้ก่อนจึงจะได้ชื่อว่ามี"สัมมาทิฏฐิ" แล้วจะไม่พูดถึง ก็จะขาดเหตุผลของธรรมไป จากคุณ : ธรรมชาติไพศาล เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 14:38:52

ความคิดเห็นที่ 22 *** คุณ กัป ตามคห.ที่ 18 ที่คุณสงสัย ผมจะบอกให้น่ะ (ตั้งใจอ่านให้ดี อย่าพึ่งมีอคติอ่านให้จบก่อน) .. ก่อนอื่นอยากรู้ว่าคุณมีความเชื่อในเรื่องของ "วัฏฏะ" หรือไม่ ?  วัฎฎะ คือ การเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้จักจบสิ้น จนกว่าจะเข้าสู่นิพพาน คุณมีความเชื่อเรื่องนี้หรือป่าว ถ้าสมมติว่าคุณไม่เชื่อ ก็ไม่ต้องมาพูดกันในเรื่องศานาพุทธ คุณควรเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นที่เขาไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่..ถ้าคุณเชื่อ คนที่เขามาบวชในพุทธศาสนา เขาบวชเพื่อความพ้นทุกข์ ฝึกฝนตนเองเพื่อกำจัดกิเลสอันจะนำไปสู่การตัดวงจร "วัฏฏะ" นักบวชที่เขามีปัญญาจิงๆ (ซึ่งมีน้อยในปัจจุบัน) เขาไม่ได้บวชเพราะ เขาเชื่อในเรื่องนรก-สวรรค์ ชาตินี้-ชาติหน้า แต่เขาบวชเพื่อจะเป็นอริยบุคคลอันเป็นปัจจัยให้เข้าสู่นิพพาน แล้วที่คุณถามว่า "ทำไมผมจึงควรให้ของถวาย" ก็เพราะนักบวชเขามีพระวินัยห้ามไว้(ศีล 227 ข้อ) เช่น พระทำอาหารฉันเองไม่ได้ นุ่งห่มเสื้อผ้า-เครื่องประดับอย่างชาวบ้านไม่ได้ ฯลฯ จนครบ 227 ข้อ. เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นกิเลส เมื่อนักบวชมีกิเลสแล้วก็เข้าถึงนิพพานไม่ได้ เมื่อเข้าถึงนิพพานไม่ได้ก็ยังอยู่ในวงจร "วัฏฏะ" ไปอย่างนั้นเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด จึงต้องมีวินัยกำกับไว้ **วินัยกำจัดกิเลส** อยากให้คุณไปศึกษาในเรื่อง "ทิฏฐิ 3" ให้เข้าใจ-ชัดเจน เผื่อจะทำให้คุณตาสว่างหรือหายสงสัยได้บ้าง ทิฏฐิ 3 ได้แก่... 1 .อกิริยทิฏฐิ คือ ความเห็นว่าไม่เป็นอันทำ หมายถึง ผู้มีความเห็นว่าการกระทำต่าง ๆ ของคนไม่ว่าจะเป็นการทำดีหรือชั่ว ไม่มีผลให้สำเร็จเป็นบุญหรือบาปแต่อย่างใด จะได้รับผลแห่งการทำเป็นสรรเสริญหรือนินทาจากการทำดีทำชั่ว ก็ต่อเมื่อมีผู้รู้เห็นเท่านั้น ความเห็นชนิดนี้จึงปฏิเสธกรรมคือการกระทำ จึงเท่ากับปฏิเสธผลแห่งกรรมด้วย 2. อเหตุกทิฎฐิ  คือ ความเห็นว่าหาเหตุไม่ได้ หมายถึง ผู้ที่มีความเห็นว่าคนที่กำลังได้รับความสุขสบาย หรือความทุกข์ยากลำบากนั้น ไม่ได้พึ่งพาอาศัยเหตุใด ๆ ทำให้เกิดขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นและเป็นไปโดยตัวของมันเอง ความเห็นชนิดนี้ปฏิเสธเหตุคือไม่เชื่อเหตุที่ทำจะก่อให้เกิดผลได้ 3. นัตถิกทิฏฐิ  คือ ความเห็นว่าไม่มี  หมายถึง ผู้มีความเห็นว่า คนเมื่อทำอะไรก็ตามผลที่จะพึงได้รับนั้นไม่มี เพราะเมื่อตายแล้วก็ขาดสูญ ไม่มีการเกิดอีกจึงไม่ต้องรับผลอีกต่อไป ความเห็นชนิดนี้ปฏิเสธทั้งเหตุและผล จึงเท่ากับปฏิเสธอำนาจของกุศลเจตนาที่เป็นเหตุดี หรืออกุศลเจตนาที่เป็นเหตุชั่ว ที่ให้ผลทางดีหรือชั่วไปในตัวด้วย..  *** ทิฏฐิทั้ง 3 อย่างนี้ จัดเป็นความเห็นที่ผิด เรียกว่า " นิยตมิจฉาทิฎฐิ" คือ ความเห็นผิดที่จมดิ่งลงไป ยากที่จะถอนตัวถอนใจได้.. สรุป....1.ถ้าคุณคิดว่าเขาบวชทำไม? ตอบว่า เขาบวชเพราะต้องการตัดวงจรวัฎฎะ ไม่อยากมีการเกิดอีกไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ตาม  2. แล้วทำไมต้องถวาย ? ตอบว่า เพราะนักบวชเขามีวินัยกำกับไว้ในเรื่องของความเป็นอยู่ เขาจึงทำเอง-หาเองไม่ได้ และที่สำคัญเป็นกุศโลบายของพระพุทธเจ้าที่สอนให้รู้จักการให้ทานเพื่อกำจัดความตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ว่าจะให้กับนักบวชหรือกับใครก็ตาม.. และที่สำคัญอย่าให้มิจฉาทิฏฐิทั้ง 3 ที่ได้กล่าวไว้แล้วมาครอบงำตัวคุณได้ ปล...ถ้าใครอ่านแล้วเห็นว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ละเอียดเกิน  ยุ่งยากมากเรื่องเกินไป จะเปลี่ยนไปเป็นศาสนาอื่นก็ได้ ไม่มีใครห้าม !!!  เอวัง ฯฯฯฯฯ.. จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 14:42:14

ความคิดเห็นที่ 23 พุทธองค์ แรก ตรัสรู้ ไม่มี สาวกเลยสักรูป ก็ ไม่ อดตาย นะครับ -------------------------- แต่ คนเดี่ยวนี้ ทำอะไร ก็ อยากได้ผลตอบแทน น้อยมากๆ ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ต้อง มาก ครับ เริ่ม ที่ พ่อแม่เลย ครับ เพื่อนผม บางคน สอนลูกว่า จะเรียนอะไร ทำอะไร ก็ เอาแบบ ที่ ทำแล้วได้เงิน นะ เอวัง ครับ แล้ว ทำ"บุญ" เพื่อให้ได้ "บุญ" แล้วจะได้ "บุญ" หรือครับ สรุป เป็นว่า ทำเท่าไหร่ ก็ไม่เคย "ทำบุญ" เลย จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 14:52:04

ความคิดเห็นที่ 24 การสอนเรื่องผี ไม่ใช่สอนๆไปแล้วก็บังคับให้เชื่อว่ามีจริง เหมือนกับสอนว่าคนเราต้องตายนะ ไม่ใช่ว่าต้องเชื่อนะ ว่าต้องตาย แต่คนที่เชื่อใช้ปัญญาพิจารณาแล้วถึงเชื่อว่าคนเราต้องตาย เรื่องี นรก สวรรค์ ไม่ใช่ยัดๆเข้าไป แล้วบังคับให้เชื่อ ถ้าเชื่อเพราะถูกบังคับนั่นเรียกว่างมงาย จากคุณ : imanust_261204 เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 14:57:30

ความคิดเห็นที่ 25 พระท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติเพื่อพ้นจากกิเลส แค่นี้ก็เพียงพอที่ผมจะช่วยสนับสนุนท่านแล้ว คนที่ใช้พระเป็นบุรุษไปรณีย์ ส่งข้าวปลาอาหารให้บรรพบุรษที่ล่วงลับมีอยู่ เพราะปัญญาของเขาเรานั้นยังต่ำ แต่ผมไม่เคยดูถูกพวกเขาเหล่านั้น เพราะผมเองก็เคยด้อยปัญญามาก่อน บุญ ทาน ทำไปเถิด สักวันเมื่อปัจจัยถึงพร้อมปัญญาจะค่อยๆเกิดขึ้นเอง จากคุณ : Mateo2000 เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 15:54:17

ความคิดเห็นที่ 26 ศาสนาพุทธมีเหตุผลคำอธิบายของตัวศาสนาเอง (หมายถึงเหตุผลของตัวศาสนายังไม่ เกี่ยวว่าเป็นจริงหรือไม่จริง*ที่ต้องว่ากันอีกที) ศาสนาพุทธจึงอธิบายพฤติกรรม อธิบาย การกระทำในสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องได้ตลอด เช่นการบวช การทำบุญ การทำใจให้สงบ การทำความดี   แต่ถ้ามาตัดตอนเอาเฉพาะที่มองเห็นได้ รับรู้ได้ จึงจะเชื่อ มันก็จะอธิบายไม่ได้หรือ อธิบายได้ไม่ตลอด  จะกลายเป็นไม่มีเหตุผลไม่มีความจำเป็นได้เลย     เช่นว่า       พระ กับ คนดี นี่ต่างกันไหม ? หรือเป็นอย่างเดียวกัน       บวชทำไม ?  ทำไมไม่ทำมาหากินและให้สุขสบายไปจนกว่าจะตาย         ทำไมต้องทำบุญไหว้พระ ? ในเมื่อธรรมทั้งหลาย ต่างก็สิ้นสุดลงที่ความตาย       ทำไมต้องทำดี งดทำชั่ว ?  คือทำตามกฎหมายมันก็น่าจะเพียงพอ       กินเหล้าซักพอประมาณนี่จะผิดบาปยังไง ?       เสพสิ่งเสพติด ลงอ่าง ถือว่าขึ้นสวรรค์ได้มั๊ย การทำใจให้สงบจะดีกว่ารึยังไง ?      ได้ดูหนังดูละครได้ท่องเที่ยว มีความสุขกว่าการบวชรึเปล่า  ? ถ้าไม่ ทำไมถึงไม่       มีความทุกข์มากๆไม่ว่าจะทุกข์กายทุกข์ใจ แล้วเราฆ่าตัวตายก็จะพ้นทุกข์ใช่ไหม ?         ถ้าไม่ ทำไมถึงไม่  จะอธิบายยังไง ? จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 17:05:18

ความคิดเห็นที่ 27 คนที่เคยบวชและไม่เคยสอนอะไร เช้าก็ออกบินทบาตร ไม่เจอปัญหาแต่อย่างไร จากคุณ : ซุนจื๊อ เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 17:41:25

ความคิดเห็นที่ 28 ถ้า มีภพมีภูมิมนุษย์ได้ ทำไมจะมีภพภูมสวรรค์ นรก ไม่ได้ ท่านพุทธทาส ท่านสอนถอนทิฐิที่เห็นทั้ง ภพมนุษย์ นรก สวรรค์ เป็นอัตตา เท่านั้น ไม่ได้บอกว่า นรกสวรรค์ไม่มี จขกท ทำความเข้าใจใหม่คัรบ แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 55 21:26:46 จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 21:23:56

ความคิดเห็นที่ 29 ผมอยากถามคุณสายลมว่า....."คำสอนท่าพุทธทาส มาเกี่ยวอะไรกับกระทู้ผมครับ ?" และในกระทู้นี้ ไม่มีตรงไหน ที่ผมเอ่ยถึง ท่านพุทธทาสเลย.... จนกระทั่งคุณมาเอ่ยถึงท่านนี่แหล่ะครับ ผมคิดว่า ทางที่ดี หากคุณมีอคติใด ๆ กับ ท่าน หรือกับพระรูปใดอื่น ๆ ในประเทศไทย คุณก็ควรไปตั้งกระทู้เอง ในที่อื่น ๆ ดีกว่านะครับ ขอความกรุณา อย่าได้เข้ามากวน หรือทำกระทู้ให้รกรุงรัง เป็นที่น่ารำคาญเลยนะครับ ที่นี้ ผมและอีกหลาย ๆ ท่าน เรากำลังต้องการความรู้ที่ "เป็นประโยชน์" กันอยู่ครับ ขอได้โปรดเห็นใจ พวกเราด้วย เถอะนะครับ แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 55 21:54:09 แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 55 21:53:19 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 21:52:10

ความคิดเห็นที่ 30 โทษทีที่ทำให้ซีเรียส ถ้าไม่ได้เห็นอย่างนั้น ก็ขอโทษด้วย ถือเสียว่าผมมาดักไว้ก่อนก็แล้วกัน เห็นกระทู้ก่อนๆ ความเห็นท่านมีความเสี่ยงมาก งั้นผมถามมันในกระทู็นี้แหละ รกอีกสักความเห็นคงไม่เป็นไร ท่านจขกท ว่ามีนรกมีสวรรค์มีภพชาติไหม จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 22:46:14

ความคิดเห็นที่ 31 คนที่ใส่ไม่เห็นบ่น คนที่บ่นๆ ไม่ค่อยเห็นใส่ เห็นคน ส.ใส่เกือก เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องตัวเอง ก็มีทั่วไป ตั้งกระทู้ทำไมเยอะแยะ อัดอั้นตันใจอะไร ใช้พระธรรมเยียวยาใจไม่ไหว ก็ไปปรึกษาแผนกจิตเวช ชำระใจ จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 23:12:33

ความคิดเห็นที่ 32 คุณสายลม ขออนุญาต มาทำรกกระทู้อีกเล้กน้อย..ว่า ....ถ้าไม่ได้เห็นอย่างนั้น ก็ขอโทษด้วย ถือเสียว่าผมมาดักไว้ก่อนก็แล้วกัน เห็นกระทู้ก่อนๆ ความเห็นท่านมีความเสี่ยงมาก งั้นผมถามมันในกระทู็นี้แหละ รกอีกสักความเห็นคงไม่เป็นไร ท่านจขกท ว่ามีนรกมีสวรรค์มีภพชาติไหม                                   .................................. ตอบคุณสายลมว่า...    หากคุณสายลม ได้เห็นและอ่านกระทู้ก่อน ๆ มาจริง คุณก็คงจะเห็นแล้วนะครับว่า ผมตอบมาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า....   ..ผม รถเรณู เชื่อ ว่านรก-สวรรค์ ภพภูมิ ภพชาตินั้น  มีจริง... (มีแล้วไง ? จะมาบังคับให้ผมกลัวจนลนลาน หรออย่างไรมิทราบ?) หายข้องใจ และได้คำตอบแล้วใช่ไหมครับ.....    คิดว่า คงจะไม่ทำให้กระทู้ "รก"  มากไปกว่านี้นะครับ ปล. ที่บอกว่ากระทู้ผม เสี่ยง นั้น....เป็นความคิดส่วนตัวของคุณเองนะครับ  ส่วนผม ไม่เห็นว่าจะต้องไป "เสี่ยง" กับอะไร ผมตั้งกระทู้ แต่ละกระทู้ ด้วย "เจตนา"  ล้วน ๆ แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 55 23:39:14 แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 55 23:37:54 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 23:31:10

ความคิดเห็นที่ 33 ความคิดเห็นที่ 31 ของคุณซามูไรหมู... ผมคิดว่า น่าจะใช้กับตัวคุณเอง ในขณะจิต ที่กำลังแสดงความคิดเห็น ได้เป็นอย่างดีทีเดียวครับ คุณกำลังคับแค้นใจ เห็นได้ชัดเจน มากกว่าผมนะครับ  ขอให้สังเกตให้ดี ๆ เถอะ เช่น... - ขณะที่คุณอ่านกระทู้นี้ คุณคิดเช่นไร ? - เมื่อคิดแล้ว คุณรู้สึกอย่างไร ? - ความคับแค้น ความรู้สึกรับไม่ได้ และความรู้สึกอยากแสดงออก ด้วยการระบาย ในสิ่งที่คุณคับแค้น เพราะการได้เห็นกระทู้แบบนี้ นั้น.....นั่นประไร?  คุณเห็นแล้วใช่ไหม ดังนั้น คุณน่าจะไปแผนกจิตเวช ด่วนเลยนะครับ อย่าห่วงผมเลยนะ รีบ ๆ เถอะครับ จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 55 23:35:24

ความคิดเห็นที่ 34 ผมรู้แต่ว่า พระรูปไหน บอกว่า นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี เทวดาไม่มี ผมไม่คิดว่าเป็นพระในพระพุทธศาสนาครับ เพราะบุคคลพวกนี้อาศัยพระพุทธศาสนาหากิน แล้วก็มาตั้งหน้าตั้งตาสอนเรื่องที่ขัดแย้งกับองค์พระศาสดาตรัส ไอ้หลักคำสอนที่แท้จริง มันมีเยอะนะครับ พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเยอะ ชาวบ้าน... ผมไม่เห็นเขาจะสนใจอะไรมากไปกว่า เห็นว่าเป็นพระก็เลยใส่บาตร สมัยนี้จะหาคนใส่บาตรแล้วฟังธรรมน้อยครับ ผมว่าคุณรถเรณูมีตรรกะแปลกๆเกี่ยวกับเรื่องผีสางเทวดานะครับ เช่น ถ้าเชื่อ แล้วต้องกลัว... ผมว่าแปลกมาก จากคุณ : kiarati เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 09:29:20

ความคิดเห็นที่ 35 ถ้าตายแล้วสูญ วิญญานไม่อมตะ ภพชาติต่างๆย่อมไม่มี ศาสนาต่างๆไม่เกิด คือ.......มนษย์สูญพันธุ์ไปแล้ว เพราะไม่มีการเกิดเพิ่มขึ้น นี่ๆมีแต่เพิ่มชึ้น วิญญานใหม่มาจากไหน (เคยบอกไว้แล้ว) ใครรู้ช่วยตอบให้ โลกรู้หน่อย นี่เป็นรูปธรรมง่ายๆ ที่ทุกคนคิดได้ โดยไม่ต้องพิสูจน์อีก เพราะมันพิสูจน์อยู่ตลอดเวลาแล้ว จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 10:19:49

ความคิดเห็นที่ 36 ของเหล่านี้ พิสูจน์ได้ ด้วยการปฎิบัติ ทาน ศีล ภาวนา ให้ถึงพร้อม ุถึงเวลาจะเห็นเอง จากคุณ : rui เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 10:32:09

ความคิดเห็นที่ 37 น่าคิดครับ เพราะคนที่ไปส่งข้าวพระในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้แก่ ผู้เฒ่าที่เขาเชื่อกันเรื่องนี้ทั้งนั้น จากคุณ : ลำปาว เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 10:56:24

ความคิดเห็นที่ 38 ไม่มีอะไรแปลกนะครับคุณ kiarati  ตรรกะของผม ไม่ได้เป็นแบบที่คุณพูดนะ ผมไม่ได้หมายความว่า เชื่อแล้วต้องกลัวหรือไม่กลัวหรอก  แต่ผมแค่ถามใคร ๆ ว่า ..ทำไมหรือ หากผมเชื่อแล้ว จำเป็นหรือไม่ ที่ต้องให้ผมกลัวด้วยล่ะ.....  แล้วเปลี่ยนเป็นให้ผมรัก ให้ผมคิดว่า พวกเขาด้อยกว่าผม ผมควรมีเมตตา เหมือนเมตตาต่อแมว หมา กระรอก นก ฯลฯ ไม่ได้หรือ? หวังว่าคุณคงเข้าใจนะครับ...... แต่การเขียนในบางกระทู้ บางความเห็น มันก็อาจจะมีบริบท ที่ทำให้คุณเข้าใจไปเองว่า ผมมีตรรกะเช่นนั้น ก็เป็นได้ ก็ไม่แปลกนี่ครับ เพราะขนาด ผมยืนยัน มาหลาย ๆ กระทู้ จนคนทั่ว ๆ ไป เขารู้แล้วว่า ผม รถเรณู เชื่อ เรื่อง นรก สวรรค์ ภพภูมิ ชาติก่อน ชาติหน้า ฯลฯ  แต่ก็ยังบ มีคนบางคน ที่อ้างว่า เคยเห็นกระทู้ และอ่านความเห็นผมมาบ่อย ๆ กลับเอาคำถามเดิม ๆ แบบนี้ มาถามอีกจนได้  เช่นที่กำลังถาม ว่า ...ตกลง รถเรณู เชื่อหรือไม่เชื่อ ??? ดังนั้น ไม่มีอะไรแปลกครับ คุณ kiarati จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 55 11:41:25

ความคิดเห็นที่ 39 ภิกขุ ภิกษุ แปลว่า ผู้ขอ  ครับ ...  ใครจะให้ไม่ให้ก็ช่าง .. ขอเพื่อตนเอง  หรือขอเพื่อผู้อื่นได้ด้วยหรือ  ผี เปรต ภูติเหล่านัั้น มีหรือไม่มี ก็เรื่องของพวกเค้าอะครับ  แต่คนเราไปเอามาอ้าง เพื่อจะได้ปัจจัย ถ้าภพเหล่านั้นมีอยู่จริง  ก็แสดงสมควรแก่ภูติในภพเหล่านั้นจะทำทานกันเอง การสอนให้ถวายไปถึงผี ที่มันคนละภพ พิสูจน์ได้ยากว่า ผีได้รับของหรือป่าว มาจากแนวคิด ผีสาง ไหว้เจ้าของคนสมัยโบราณ  แต่พุทธแบบไทย ๆ ไปรับ มาปรับตัว  เลยทำให้เราคิดแบบเอาวะ ลงทุนไว้กับพวกผี ตายไปจะได้บุญขึ้นสวรรค์ ทั้งที่เราให้ทานกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน กับสัตว์โลกก็เห็นผลดีอยู่แล้ว การคิดแบบบุญนิยม เลยกลายมาเป็นโปรโมชั่นให้วัดหาปัจจัยมาแทรกเป็นกิจกรรม อีเวนต์ ทำบุญ คือเอาบุญมาล่อคน จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 05:49:25

ความคิดเห็นที่ 40 ถ้าคุณรถเรณู ตั้งข้อสงสัยถึงความมีอยู่ของเทวดา นรกสวรรค์ ชาติก่อนชาติหน้า     ผมอาจจะแพ้ด้วยไม่มีหลักฐาน รึบางทีผมอาจจะไม่ถกเถียงด้วยก็ได้  แต่ถ้ามาตั้งคำถามทำนองนี้ว่า พุทธศาสนาจะไม่มีเรื่องเหล่านี้ได้ไหม  ผมย่อมมีปัญหา  ก็มันไม่มีเหตุผลว่างั้นแล้ว เราจะทำอะไรต่างๆไปทำไม    เราทำมาหากินให้รวยให้สุขสบายไม่ดีกว่าหรือ ?      อย่าง บิล เกตส์ ถือว่าไม่มีทุกข์ได้ไหม เพราะเขาสามารถได้ทุกอย่างที่ต้องการ    ถ้าบอกว่าเขาห้ามตัวเองตายไม่ได้ ก็แล้วคนบวชก็ห้ามความตายไม่ได้เหมือนกัน    แล้วมันจะต่างกันยังไง      แต่ถ้าจะสอนว่า โลกนี้ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เรามาฆ่าตัวตายกันเถอะ สอนแบบนี้ยังมี   เหตุผลเสียกว่า คือตายแล้วก็จบกัน ไม่ว่าสุขว่าทุกข์  ฉนั้นการฆ่าตัวตาย จึงมีถูกต้อง   ผมคงไม่ใช่นักปรัชญา มองความดีความชั่ว แบบคนดีๆมองละมั้ง   ผมมองถึงประโยชน์ เช่นถ้าคนดีบอกว่าทำแบบนี้ ดีนะ ควรทำ แต่หากผมไม่เชื่อ  ไม่เห็นถึงประโยชน์ต่อตัวเองต่อสังคม  ผมก็ไม่ทำให้เปลืองแรง        ความจริงความคิดของคุณรถเรณู ไม่ได้ก่อโทษอะไรนักหรอก    แต่ถ้าไม่มีคานกันบ้าง เกรงว่าจะเป็นการตัดตอนให้เหลือเพียงความสุขปัจจุบัน    คือ พูดไม่ครบ อธิบายความไม่ครบตามแนวศาสนา จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 10:11:41

ความคิดเห็นที่ 41 คุณกัป  ครับ  คนที่ ไม่มีศาสนา ไม่สนใจนรกสวรรค์ ชาติหน้าชาติไหน ฯลฯ  อีกหลายพันล้านคน ในโลกนี้ .....                  "เขาก็ไม่นิยมฆ่าตัวตายกันหรอกนะครับ"  คุณต้อง มองโลกในมุมมอง ที่สวยงาม และเป็นจริง หน่อยนะครับ  คำพูดของคุณ ผิดถนัดเลยนะ  ที่บอกว่า หากไม่เชื่อเชื่อบาปบุญ ชาตินี้ชาติหน้าชาติไหน โลกอื่น  แล้วต้องฆ่าตัวตายกันซะให้เสร็จ ๆ ไป ผมว่า คนจิตอ่อน ที่ขากการวิเคราะห์ แบบที่คุณพูด (อาจจะไม่ใช่คุณ) อยู่กับครอบครัว และสังคมยากนะครับ ควรทำความเห็นให้ถูกต้องเสียโดยเร็วนะครับ  (แอบเป็นห่วงคุณเหมือนกันนะ)  ส่วนที่บอกว่า บิลเกต จะทุกข์ หรือไม่ทุกข์ นั่นมันเรื่องของเขานิ  ไม่เกี่ยวกับแนวความคิดของผมเลย ส่วนที่บอกว่า ทุกคนเกิดมาต้องตาย !!! อ้าว เวรกรรม !!!  แล้วผมได้เคยคัดค้านเรื่องนี้ซะที่ไหนเล่า ผมว่า คุณกัป เริ่มเพ้อ (เจ้อ) แล้วนะ จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 13:06:59