เพื่อประกาศเจตนารมณ์ ว่าไม่ได้ "ทะนงตน" หรือยกตนข่มใคร
จึงได้บอกจุดยืนไว้ในความคิดเห็นที่ 47 แล้วว่า
"แน่นอนว่าการเติมโตของปริมาณคนที่เข้าวัด ย่อมเกิดจากความร่วมมือของหลายๆฝ่าย
ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมทั้งพุทธสาสนิกชนทุกหมู่เหล่า"
"ลำพังแค่กำลังความสามารถของวัดพระธรรมกาย ไม่อาจทำให้ปริมาณเพิ่มขึ้นได้
เว้นแต่คนมีบุญทุกฝ่ายต่างหาก ที่ร่วมกันบันดาลความเป็นไปเหล่านี้ให้เกิดขึ้น"
เพราะฉนั้น หากคนเข้าวัดพระธรรมกายกันมาก
อย่าเอาแต่โทษว่า วัดหลอกลวง ให้ลองตรองดูที่หลักความจริงด้วย
พระพุทธองค์ ก่อนจะตัดสินว่าทำผิด หรือ ทำถูก
พระองค์จะตรัสเรียกมาถามเหตุผลก่อนเสมอ ทรงให้โอกาสตอบคำถามในท่ามกลางสงฆ์
พระองค์ตรัสถามถึงเจตนาก่อน ทั้งๆที่พระองค์ทรงมี เจโตปริยญาณ อ่านใจออก
ทรงรู้อยู่แล้วว่า ทำถูก หรือ ทำผิด
นั่นก็เพราะทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในการสอบสวนผู้อื่นก่อนตัดสิน ดี - ชั่ว
และทรงให้เกียรติ ให้โอกาสตอบคำถามสังคม แม้ผู้นั้นเป็นสาวกก็ตาม
และเนื่องจากปุถุชนสาวกทั้งหลายมักจะอ้างเอาภาพการกระทำอย่างเดียวมาตัดสิน
พระองค์จึงวางแม่แบบเอาไว้ เช่น การกล่าวหาภิกษุอื่น ว่า อาบัติหนัก
โดยไม่ไต่สวน ภิกษุผู้กล่าวหาจะต้องอาบัตินั้นเอง
ส่วนใครบางคน เอาพระไตรปิฏกมากาง แล้วตีความเองบ้าง ฟังคติอาจารย์ตัวเองบ้าง ฟังข่าวบ้าง
ตัดสินจากภาพบ้าง แถมยังยัดเยียด กล่าวหา ว่ามารยา สาไถ บ้าง แถไปแบบน้ำขุ่นๆบ้าง หลอกลวงบ้าง ฯลฯ
น้อยคนนักที่จะถามถึงวัตถุประสงค์
หรือ อาจจมีบ้าง ที่สงเคราะห์กันด้วยกัลยาณจิต
การใช้แค่ ทิฏฐานุคติ ในการตัดสินคนอื่น จึงเป็นบ่อเกิดขอปัญหา ที่ไม่สิ้นสุด
จุดยืนคำสอนของวัดพระธรรมกาย สอนไว้ชัดเจนแล้ว สอนมาตั้งแต่ยุคหลวงปู่วัดปากน้ำ
การนับถือใครเป็นอาจารย์ ท่านเน้นให้มี อินทรีย์ 5 เสมอกัน อันประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
จะเห็นว่า พระพุทธองค์ทรงให้ใช้ศรัทธา นำหน้าเสมอ แต่ต้องใช้หลักการ 4 อย่างตามลำดับด้วย
เพราะศรัทธา ต้องเป็นตัวนำไปสู่ หลักธรรมอื่นๆอีกนานัปการ
การมีศรัทธาอย่างเดียว ทำให้คนรวมตัวกันทำความดีไม่ได้
เพราะธรรมดาคนอยู่ร่วมกันนานๆ มันเห็นธาตุแท้
ทำให้ศรัทธามันเสื่อมได้ ทุกอย่างมันไม่เที่ยง
แต่เพราะมีหลักธรรมอีก 4 ประการ คือ วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา จึงทำให้
การรวมตัวสร้างความดี เกิดขึ้นมาให้เห็น