|
ประเภทของอาบัติ
อาบัติ มาจากภาษาบาลีว่า "อา+ปตติ" แปลว่า ตกลงไป, รุดไป, ลื่นลงไป หมายถึง "การต้อง, การล่วงละเมิด" พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติชั้นความผิดของการละเมิดสิกขาบท (ไม่ประพฤติตาม) แยกประเภทตามความหนักเบาของอาบัติได้ดังนี้ คือ ความผิดขั้นสูงสุด เรียกว่า ปาราชิก รองลงมาตามลำดับคือ สังฆาทิเสส, อนิยต, นิสสัคคิยปาจิตตีย์, ปาจิตตีย์, ปาฏิเทสนียะ, เสขิยะ และข้อปลีกย่อย ซึ่งแต่ละบัญญัติมีจำนวนและรายละเอียดต่างกันไป รวมกันได้ ๒๒๗ สิกขาบท หรือที่เรียกว่า "พระปาฏิโมกข์" ที่พระภิกษุทุกรูปต้องถือปฏิบัติให้เคร่งครัดนั่นเอง
อาบัติ ที่ยกขึ้นเป็นสิกขาบทที่มาในพระปาฏิโมกข์ มี ๗ สิกขาบท และที่ไม่ได้มาในพระปาฏิโมกข์อีก ๑ สิกขาบท ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ประเภทคือ
๑.ครุกาบัติ หมายถึง อาบัติหนัก ที่มีโทษร้ายแรง มี ๒ อย่างคือ
๑. ปาราชิก ๔ แปลว่า (ผู้พ่ายแพ้) ซึ่งหมายถึง ผู้แพ้แก่หนทางชีวิตการเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา อาบัติปาราชิก เป็นอาบัติหนักที่สุด ภิกษุใดเมื่อต้องอาบัติปาราชิกแล้วจะ ขาดจากความเป็นภิกษุ ทันที ถ้าสึกออกไปแล้วและกลับเข้ามาบวชใหม่ ก็ไม่เป็นพระ แต่ถ้ายังไม่สึกออกไปและถ้าร่วมทำสังฆกรรมใดๆ ก็จะทำให้สังฆกรรมนั้นๆ เสียทั้งหมด แต่ถ้ายังอยู่ครองผ้าเหลืองหลอกให้คนกราบไหว้อยู่ ก็จะยิ่งเป็นบาปหนาขึ้นเรื่อยๆ
๒. สังฆาทิเสส ๑๓ แปลว่า (อาบัติอันจำปรารถนาสงฆ์ในกรรมเบื้องต้นและกรรมที่เหลือ) มูลเหตุแห่งอาบัติ นี้มี ๑๓ สิกขา ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว ต้องรับโทษที่เรียกว่า การอยู่ ปริวาสกรรม (อยู่กรรม) เป็นอาบัติที่หนักรองลงมา
๒.ลหุกาบัติ หมายถึง อาบัติเบา มี ๕ อย่าง คือ
๓. อนิยต ๒ แปลว่า (ไม่แน่, ไม่แน่นอน) เป็นอาบัติที่อยู่ระหว่าง "ปาราชิก หรือ สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์" ดังสาระโดยสังเขปคือ "ภิกษุผู้เดียวสำเร็จการนั่งอยู่กับมาตุคาม (สตรี) ผู้เดียว ในที่ลับหู ๑, หรือในที่ลับตา ๑ "
๔. นิสสัคคิยะปาจิตตีย์ ๓๐ แปลว่า (จำต้องสละ) อาบัติสิกขานี้ภิกษุจำต้องสละสิ่งของที่เป็นมูลเหตุแห่งอาบัติก่อน (ประกอบด้วย จีวรวรรค ๑๐, โกสิยวรรค ๑๐, ปัตตวรรค ๑๐)
๕. ปาจิตตีย์ ๙๒ แปลว่า (การละเมิดยังกุศลธรรมให้ตก) ย่อมฝืนต่ออริยมรรค เป็๋นเหตุแห่งความลุ่มหลงแห่งจิต เพราะเหตุนั้น จึงเรียกความละเมิดนั้นว่า ปาจิตตีย์ (ประกอบด้วย มุสาวาทวรรค ๑๐, ภูตคามวรรค ๑๐, โอวาทวรรค ๑๐, โภชนวรรค ๑๐, อเจลกวรร ๑๐, สุราปานวรรค ๑๐, สัปปาณวรรค ๑๐, สหธรรมมิกวรรค ๑๒, รตนวรรค ๑๐)
๖. ปาฏิเทสนียะ ๔ แปลว่า (จะพึงแสดงคืน) หมายถึงธรรมที่น่าติเตียนในศาสนาของพระสุคต. ความผิดที่ต้องแสดงคืน คือ ต้องอาบัติเกี่ยวกับบุคคลใด ให้แสดงกับบุคคลนั้น
๗. เสขิยะ ๗๕ แปลว่า (สิ่งที่พึงศึกษาอันควรปฏิบัติ) ข้อนี้เป็นเบื้องต้น เป็นพุทธบัญญัติที่ได้เตือนสติให้ ภิกษุสงฆ์พึงสำรวมกาย วาจา ใจ เมื่อเข้าไป อยู่ในที่ชุมชนหรือในละแวกบ้านของผู้อื่น เพื่อยังให้เกิดความเลื่อมใสของบุคคลในชุมชนนั้นๆ จะได้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา (ประกอบด้วย สารูป ๒๖, โภชนปฏิสังยุต ๓๐, ธรรมเทศนาปฏิสังยุต ๑๖, ปกิณกะ ๓)
จากคุณ |
:
Real~Fine
|
เขียนเมื่อ |
:
12 มี.ค. 55 09:46:48
|
|
|
|
|