 |
ชาติก่อนชาติหน้า กฏแห่งกรรม น. ก สวรรค์ภพภูมิ มีจริง และสัตว์บุคคลในภพภูมต่างๆก็ประกอบไปด้วยการสืบต่อเกิดดับของรูปนาม เมื่อจุติจิตดับลง ปฏิสนธิจิตก็จะเกิดทันที
ผมเข้าใจ นรก สวรรค์ เทวดา เป็นสภาวะ ไม่ใช่เป็นตัวตนอย่างที่เข้าใจกันโดยทั่วไปทุกวันนี้ ส......ก เป็นสภาวของจิต ที่เป็นทุกข์ เร่าร้อนจากความโกรธ, โลภ, หลงหรือฯลฯ เป.. เป็นสภาวของจิต ที่ทุรนทุรายจากความอยากกิน, อยากได้, อยากมี, อยากเป็น, อยากเสพกามคุณ(รูป เสียง กลิ่น.. ฯล) อ.......ย เป็นสภาวของจิต ที่กลัวไำม่กล้าทำความดี เด....น เป็นสภาวของจิต(ของคน) ที่ไม่รู้ดีชั่ว ไม่สามารถแยกดีชั่วได้ หรือพอรู้ แต่ไม่สามารถควบคุมกาย วาจา ใจให้พ้นจากชั่ว ทำดีได้ และก็ไม่ได้ปฏิเสธสัตว์เ........น หมา แมว นก ..ฯล ส่วนเทวดา เป็นสภาวของจิตที่ประเสริฐมีความละอาย, เกรงกลัวต่อบาป ความชั่ว ไม่กล้าทำชั่วทั้งต่อหน้า ลับหลัง ซึ่งเราทุกคนก็เคยเกิดดับผ่านภพภูมิเหล่านี้มาบ้างไม่มากก็น้อย คงจะระลึก(ชาติ)ได้
บางคนอาจสงสัยว่าแล้วไม่เชื่อว่ามีวิญญานหลังความตายหรือ? ก็เชื่อนะแต่คงจะต่างจากหลายๆท่าน ผมเชื่อว่าวิญญาณ อนิทัสสนัง ไม่อาจมองเห็นได้ (แต่รู้ได้) อนันตัง ไม่มีขอบเขต (อยู่ทั่วไป ยิ่งกว่าความร้อน แสง ความโน้มถ่วง) สัพพโต ปภัง แจ่มใสโดยประการทั้งปวง ทูรังคมัง ไปได้ไกล เอกจรัง ไปแต่เพียงผู้เดียว ผู้เดียวจริงๆไม่ได้พบเจอใครๆเลย อสรีรัง ไม่มีรูปร่าง หน้าตา หรือรูปทรง (ไม่ต้องการสถาน ที่อยู่) คูหาสยัง อาศัยกายเป็นคูหา
เมื่อร่างกาย(รูป)แตกดับตายไป ก็ไม่มีหูให้ได้ยิน ไม่มีตาให้มองเห็น ไม่สามารถรับสัมผัสไดๆได้อีก แต่ยังมีเวทนา ความรู้สึกสุข(สวรรค์) ทุกข์(นรก) จากสัญญา+ผลกรรมที่สั่งสมมาจากตอนเป็นๆ ทั้งจากชาตินั้นและชาติก่อนๆ สังขาร ร่วมกับกิเลสที่มีอยู่ เกิดเป็นเรื่องราวให้ จิตวิญญาณ ได้รับรู้
ดังนั้น นรก สวรรค์ของแต่ละคน จึงต่างกันไปตามสัญญากับกิเลส(ตันหา,อุปปาทาน)ที่ยึดไว้ ผู้ที่ทำกรรมบาปไว้มากก็ทุกข์ร้อนมากแสนสาหัส และนานมากจนกว่ากรรมจะเบาบางลง
จากคุณ |
:
P2wichai
|
เขียนเมื่อ |
:
13 มี.ค. 55 00:24:03
|
|
|
|
 |