๒. ไม่เชื่อ.....จนกว่าจะปฏิบัติจนเห็นเอง
ผมก็มีช่วงที่ ไม่เชื่อเอาเสียเลย ก็มีนะ คือช่วงวัยรุ่นนั้น ผมชอบวิชาวิทยาศาสตร์มาก และชอบอ่านหนังสือปรัชญาด้วย รวมทั้งทฤษฎีการเมือง บางแบบ ที่ไม่เน้นชาติก่อนชาติหน้า ฯลฯ
ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ที่เด่น ๆ เช่น ของชาร์ล ดาวิน ก็มีอิทธิพลมาก ที่ทำให้รู้ว่า แท้จริง วิวัฒนาการของมนุษย์นั้น เป็นมาอย่างไร ตลอดจนทฤษฎีอื่น ๆ ของนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการกำเนิดจักรวาล ไม่ว่าจะเป็น บิ๊กแบง หรออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ
ทำให้ประมวลความรู้ต่าง ๆ เหล่านั้น เข้ามาเปรียบเทียบกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้าได้เยอะทีเดียว แต่ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่า เข้ากันไม่ได้กับพุทธศาสนา อันที่จริงเข้ากันได้อย่างสนิททีเดียว ยกเว้นบางเรื่อง เท่านั้น ที่ไม่น่าจะผสมผสานกันได้ง่ายนัก เช่นเรื่องผีสาง นางไม้ ฯลฯ ที่เป็นเปลือกเป็นกระพี้ แอบอิงอยู่ในพุทธศาสนา ไม่อาจเอาเข้าไปผสมผสานกับหลักธรรมหลัก ๆ ได้เลย ก็ต้องจัดให้เป็นเปลือกนอก เป็นกระพี้ไป
เวลานั้น แอนตี้ ไม่เชื่อเลย แต่....
เมื่อมาเริ่มเข้าโหมดปฏิบัติ ก็รู็ก็เห็น และอยากจะบอกว่า ผมน่ะ เห็นอะไรต่ออะไร ไม่น้อยกว่า เพื่อน ๆ ที่เอามาเล่ากันอย่างน่าขนหัวลุกในห้องศาสนานี้หรอกครับ ทั้งผี ทังเปรต ทั้งเทวดา ฯลฯ
ผมเห็นมาเกือบทุกอย่างเหมือนกันแหล่ะน่า.....
สำนักปฏิบัติ ที่เพื่อน ๆ เอ่ยมานั้น 90% นั้น ผมเข้าไปสัมผัสมาแล้ว และเข้าไปใกล้ ๆ ครูบาอาจารย์หลายท่าน ได้สนทนากับท่านก็หลายรูป.....พิธีต่าง ๆ ก็เข้าร่วม
เวลานั้น อายุยังน้อย อยู่ในวัยรุ่น วัยเรียน มีเวลาวันหยุด หรือปิดเทอม ก็เน้นเข้าวัดวา (ไปคนเดียว) หาสำนักปฏิบัติ และมักจะเป็นที่เอ็นดู ของพระเจ้าสำนัก เพราะท่านอาจจะสังเกตเห็นว่า หนุ่มน้อยคนนี้ มาคนเดียว มาบ่อย ๆ......ก็เลยเมตตาเรียกเข้าไปถามบ้าง ให้หนังสือ ให้คำสอนที่ดี ๆ เป็นกรณีพิเศษบ้าง ก็มี ให้พระผู้ช่วยของท่าน นัดหมายบอกเวลาว่า วันนั้นวันนี้ หลวงพ่อจะไปกิจนิมนต์ ที่นั่น ที่นี่ หากมาได้ ให้มา หลวงพ่อจะให้ติดตามไปด้วย....ผมก็ได้ไป ได้รับใช้ใกล้ชิด หลวงพ่อหลวงปู่ รูปที่โยมบางคน แค่อยากเข้าไปกราบที่เท้าท่าน ยังเข้าไปไม่ค่อยจะถึง ก็มี ฯลฯ
ก็สรุปว่า หลายปีทีเดียว ที่อยู่ในการปฏิบัติ เพราะไม่เชื่อ แต่เมื่อปฏิบัติ ตามที่พระท่านบอกท่านสอน ก็เห็นจริง ตามนั้น
เห็นแม้กระทั้งผี เปรต เทวดา......เหมือนที่คนอื่น ๆ เขาเห็น ๆ กัน แต่ผมอาจจะโชคดีหน่อยที่ หลวงพ่อรูปนั้น นั่นเองแหล่ะ (รูปที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเรื่อง ที่ลูกศิษย์เห็น โน่น นี่ นั่น ฯลฯ ที่เป็นโอปปาติกะ) ท่านได้สอนผมในอีกระดับหนึ่ง
ท่านบอกว่า ที่เห็นสักแต่ว่าเห็นนะลูก มีน่ะมีแหล่ะ ก็เราเห็นนี่ แต่...เห็นแล้วทำให้เกิดประโยชน์ เป็นอนุสติ ให้เราทำความดี ก็เป็นกุศล แต่หากเห็นแล้ว กลัวลนลาน เสียสติ เสียผู้เสียคน ก็ไม่เข้าท่า มันเหมือนกับคนโง่เซอะ คนหนึ่งเดินเข้าไปดูหนังสงคราม ออกจากโรงหนังแล้ว ไปเอาปืนยิงกราดไปที่ชาวบ้าน แบบนั้นมันเสียสติ ดูหนัง ได้บันเทิง ได้เห็นจริง ๆ เพราะมันมีจริง ๆ แต่มันอยู่ในมิติของจอหนัง มันไม่ได้ออกมาหาเรา เราก็ไม่ได้เข้าไปหามัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เรื่องของเรา จะไม่เข้าไปเป็นบทหนังนะ เราอาจจะมีโอกาส ได้เป็นคนแสดงหนังก็ได้ (ท่านพูดให้ผมงงเล่น ๆ )
ท่านพูดต่อไปว่า.....
"แต่เอาเถอะ เวลานี้ ก็เอาแค่ได้ดู แล้วได้คติ ได้บันเทิง ได้อนุสติ ก็พอแล้ว จงทำความดีให้ยิ่งขึ้นไป และไม่ประมาท ก็พอนะ ฯลฯ"
ก็สรุปว่า....ผมไม่เชื่อ จนกว่าจะได้เห็นสิ่งเหล่านั้น ผ่านการปฏิบัติ และได้เห็นจริง และเชื่อจริง
ดังนั้น ก็อย่างที่ผมยืนยัน ว่า ผมเชื่อ ไม่ใช่ไม่เชื่อ (เมื่อก่อนไม่เชื่อ แต่พอมาปฏิบัติ และเจอกับตนเอง ก็เชื่อ ก็เห็น)
ผมเคยรอดตาย ๒ ครั้ง ขณะหลับใน เพราะผมขับรถเบนไปจะชนรถที่จอดข้างทาง ในเวลากลางคืน แต่ทันใดนั้น เสียงของโอปปาติกะ ก็ดังก้อง กรอกที่หูผมว่า "ตื่น ๆ ระวัง ๆ" ดังลั่น ผมก็ตื่น ได้สติ รถผมก็ไม่เกิดอุบัติเหตุ ทั้ง ๆ ที่ผมขับมาคนเดียว กลางคืนดึก ๆ และลักษณะนี้ เกิดขึ้น สองครั้งแล้ว .......อีกครั้งหนึ่ง เกือบตกเหวตาย ที่ลำปาง ก็มีเสียงเดิม เสียงเดียวกันนี้
แบบนี้ แล้วจะให้คิดว่าอะไร เมื่อก่อนไม่เชื่อ...เจอแบบนี้ ก็ต้องเชื่อ.....และที่แน่ ๆ เจออีกหลายครั้ง ที่ถนนอักษะ ตรงข้ามพุทธมณฑล (ถนนนั้นสว่างโร่ เพราะโคมไฟหงส์ เรียงรายเป็นพัน ๆ ต้น) ผมก็เห็นบ่อยมาก เดินช้า ๆ ตัดหน้ารถผม นุ่งขาวห่มขาว) และจงใจ มาตัดหน้า ในตอนที่ผมง่วง กำลังจะหลับในทุกที ทำให้ผมต้องตกใจตื่น ได้สติ เบรก ชะลอรถ ยกมือไหว้ขอบคุณ แล้วก็ขับรถต่อไป ฯลฯ
ยังมีอีกเป็นสิบ ๆ เคสเลยครับ ว่าง ๆ จะไปตั้งกระทู้ "เมื่อ รถเรณู เจอผี" สักกระทู้ดีไหมครับ ?
ก็สรุปว่า...ผมเชื่อ......
เชื่อแล้วไงล่ะ ก็ไม่เห็นจะแปลก ?
พระธรรมของพระพุทธเจ้า สิครับ สูงส่ง และอยู่เหนือของพวกนี้ จนมองไม่เห็นฝุ่น หากเรื่องผีสางนางไม้ เป็นแสงวับแวม ๆ เหมือนแสงหิ่งห้อย ในเวลากลางคืน คนบางพวก ก็ชมว่า มีแสงแวม ๆ สวยงามดี น่าดู น่าชม.......
แต่ พระสัทธธรรม ที่เกิดขึ้นโดยพระปัญญาคุณ ของพระพุทธองค์นั้น เปรียบเหมือนแสงแห่งพระอาทิตย์ ในยามเที่ยงวัน ไร้เมฆหมอกบัง....ต่อให้หิ่งห้อย ตัวน้อย ๆ นั้น บินวนอยู่ในอากาส ผม..รถเรณู ก็หาสนใจ จะไปชื่นชมไม่ !
ที่สำคัญ ต่อให้แสงหิ่งห้อยนั้นมีอยู่จริง ๆ .... แต่ในยามที่ แสงแห่งพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ก็มีกราดสาดส่อง สว่างจ้าอยู่นั้น.... หิ่งห้อยน้อย ถึงแม้มี ก็เหมือนไม่มีแหล่ะ.......
แสงแห่งพระธรรม ของพระพุทธองค์ ย่อมยังโลกนี้ให้สว่างไสว ย่อมยังจิตสะกิดใจ ของมนุษย์ ให้ได้รับแสงสว่างแห่งปัญญา อย่างหาที่สุดมิได้ อยู่แล้ว.....
สมดังพระพุทธศาสนสุภาษิต ที่ว่า...
นตฺถิ ปญฺญา สมา อาภา
แสงสว่างอื่นใด จะเสมอด้วยแสงสว่างแห่งปัญญานั้น ไม่มี
เช่นนี้แล้ว พวกเราพุทธศาสนิกชน จะมัวไปสนใจอะไร กับแสงหิ่งห้อย ด้วยเล่า ?
หากมีเวลา ก็จะมาต่อ ข้อ ๓ นะครับ
แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 11:48:08
แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 11:32:21