ความคิดเห็นที่ 1 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ มหาจัตตารีสกสูตร (บางส่วน) [๒๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็น ประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิ รู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิ ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ             [๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติ ชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี นี้มิจฉาทิฐิ ฯ [๒๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็น ประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ             ผู้มีสัมมาทิฐิ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาทิฐิได้ ทั้งอกุศลธรรมลามกเป็น อเนกบรรดามี เพราะมิจฉาทิฐิเป็นปัจจัยนั้น ก็เป็นอันผู้มีสัมมาทิฐิสลัดได้แล้ว และกุศลธรรมเป็นอเนก ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะสัมมาทิฐิเป็น ปัจจัย ฯ             ผู้มีสัมมาสังกัปปะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสังกัปปะได้...             ผู้มีสัมมาวาจา ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวาจาได้...             ผู้มีสัมมากัมมันตะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉากัมมันตะได้...             ผู้มีสัมมาอาชีวะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาอาชีวะได้...             ผู้มีสัมมาวายามะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวายามะได้...             ผู้มีสัมมาสติ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสติได้...             ผู้มีสัมมาสมาธิ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสมาธิได้...             ผู้มีสัมมาญาณะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาญาณะได้...             ผู้มีสัมมาวิมุตติ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวิมุตติได้ ทั้งอกุศลธรรมลามก เป็นอเนกบรรดามี เพราะมิจฉาวิมุตติเป็นปัจจัยนั้น ก็เป็นอันผู้มีสัมมาวิมุตติ สลัดได้แล้ว และกุศลธรรมเป็นอเนกย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะสัมมา- *วิมุตติเป็นปัจจัย             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการนี้แล จึงเป็นธรรมฝ่ายกุศล ๒๐ ฝ่าย อกุศล ๒๐ ชื่อ ธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะ อันเราให้เป็นไปแล้ว สมณะ หรือ พราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใครๆ ในโลก จะให้เป็นไปไม่ได้ ฯ แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 17:11:37 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 16:04:05 จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 16:01:59

ความคิดเห็นที่ 2   [๒๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงสำคัญ ที่จะติเตียน คัดค้านธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะนี้ การกล่าวก่อนและการกล่าว ตามกัน ๑๐ ประการ อันชอบด้วยเหตุของสมณะหรือพราหมณ์ผู้นั้น ย่อมถึง ฐานะน่าตำหนิในปัจจุบันเทียว ถ้าใครติเตียนสัมมาทิฐิ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญ ท่านสมณพราหมณ์ผู้มีทิฐิผิด ถ้าใครติเตียนสัมมาสังกัปปะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสังกัปปะผิด ถ้าใครติเตียนสัมมาวาจา เขาก็ต้อง บูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีวาจาผิด ถ้าใครติเตียนสัมมากัมมันตะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีการงานผิด ถ้าใครติเตียนสัมมา- *อาชีวะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีอาชีวะผิด ถ้าใครติเตียน สัมมาวายามะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีความพยายามผิด ถ้าใครติเตียนสัมมาสติ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสติผิด ถ้าใครติเตียนสัมมาสมาธิ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสมาธิผิด ถ้าใครติเตียนสัมมาญาณะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีญาณผิด ถ้าใครติเตียนสัมมาวิมุตติ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มี วิมุตติผิด ฯ             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง พึงสำคัญที่จะ ติเตียน คัดค้านธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะนี้ การกล่าวก่อนและการกล่าว ตามกัน ๑๐ ประการ อันชอบด้วยเหตุของสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมถึง ฐานะน่าตำหนิในปัจจุบันเทียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พวกอัสสะและพวกภัญญะ ชาวอุกกลชนบท ซึ่งเป็นอเหตุกวาทะ อกิริยวาทะ นัตถิกวาทะ ก็ยังสำคัญที่ จะไม่ติเตียน ไม่คัดค้านธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะ นั่นเพราะเหตุไร เพราะ กลัวถูกนินทา ถูกว่าร้าย และถูกก่อความ ฯ             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิ เจ ภวํ ครหติ ความว่า เมื่อกล่าวว่า ชื่อว่ามิจฉาทิฏฐินี้ดี ดังนี้ก็ดี เมื่อกล่าวว่า ชื่อว่า สัมมาทิฏฐินี้ไม่ดี ดังนี้ก็ดี ย่อมชื่อว่าติเตียนสัมมาทิฏฐิ.               บทว่า โอกฺกลา ได้แก่ ชาวโอกกลชนบท.               บทว่า วสฺสภญฺญา ได้แก่ ชน ๒ พวก คือพวกวัสสะ และพวกภัญญะ.               บทว่า อเหตุวาทา คือ ผู้มีวาทะเป็นต้นอย่างนี้ว่า ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย.               บทว่า อกิริยวาทา ได้แก่ ผู้มีวาทะปฏิเสธการกระทำอย่างนี้ว่า เมื่อทำ (บาป) บาปก็ไม่เป็นอันทำ               บทว่า นตฺถิกวาทา ได้แก่ ผู้มีวาทะเป็นต้นว่า ทานที่ให้แล้วย่อมไม่มีผล.               ชนผู้มีวาทะดังกล่าวนั้น ย่อมเป็นผู้ก้าวลงแน่นอนในทัสสนะ ๓ ประการเหล่านี้.               ถามว่า ก็การกำหนดแน่นอนแห่งทัสสนะเหล่านี้ มีได้อย่างไร?               ตอบว่า ก็บุคคลผู้ใดถือลัทธิเห็นปานนี้ นั่งในที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน สาธยายอยู่ พิจารณาอยู่ มิจฉาสติของบุคคลผู้นั้นย่อมตั้งมั่น ในอารมณ์นั้นว่า เหตุไม่มี ปัจจัยไม่มี เมื่อทำ (บาป) บาปก็ไม่เป็นอันทำ ทานที่ให้แล้วไม่มีผล เมื่อกายแตกย่อมขาดสูญ จิตของผู้นั้นย่อมมีอารมณ์เป็นหนึ่ง.               ชวนะทั้งหลายย่อมแล่นไป. ในชวนะที่หนึ่งยังพอแก้ไขได้ ในชวนะที่สองเป็นต้นก็ยังพอแก้ไขได้เหมือนกัน. แต่ในชวนะที่เจ็ด แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ทรงแก้ไขไม่ได้ เป็นผู้มีปกติไม่หวนกลับ เช่นกับภิกษุชื่ออริฏฐกัณฏกะ.               ในบรรดาทัสสนะเหล่านั้น บางคนก้าวลงสู่ทัสสนะเดียว บางคน ๒ ทัสสนะ บางคน ๓ ทัสสนะ จึงเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิบุคคลโดยแท้ ถึงการห้ามทางไปสวรรค์และพระนิพพาน เป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะไปสู่สวรรค์ในลำดับต่อจากชาตินั้น จะป่วยกล่าวไปไยที่จะไปสู่พระนิพพาน สัตว์นี้ชื่อว่า เป็นหลักตอแห่งวัฏฏะ เฝ้าแผ่นดิน โดยมากสัตว์เห็นปานนี้ย่อมไม่มีการออกไปจากภพ แม้ชนพวกวัสสะและภัญญะก็ได้เป็นเช่นนี้.               บทว่า นินฺทาพฺยาโรสอุปารมภภยา ความว่า เพราะกลัวตนจะถูกนินทา ถูกกระทบกระทั่ง และถูกว่าร้าย.               คำที่เหลือในบททั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล. แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 16:03:23 จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 16:02:22

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ได้โหวต แต่แสดงความเห็น.  จากคำถาม....  ผู้ที่ไม่สนใจเรื่อง ผี สาง เทวดา (แม้จะมีหรือไม่มี ก็ช่างหัวผีเขาเถอะ) จะสามารถบรรลุธรรมในพุทธศาสนาได้หรือไม่ ?   ตอบ ... (ตามความเห็น) ได้บ้างหรือไม่ได้บ้าง ตามอินทรีย์ของแต่ละท่าน ที่สะสมที่เจริญขึ้นตามความสามารถตามลำดับ และตามความพอเหมาะตามฐานะ.    ส่วนผู้ที่ปักทิฏฐิ มีตัวตนหรืออัตตาเที่ยงแท้แน่นอน และ ผู้ที่ปักทิฏฐิ ขาดสูญ ที่ไม่เป็นเหตุเป็นปัจจัยอันใดเลย แน่นอน.     ผู้ที่ยังมีทิฏฐิอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2  อย่างด้านบนปักแน่น หรือวางทิฏฐิด้านหนึ่ง แล้วมาปักแน่นในทิฏฐิอีกอย่างหนึ่งในสองอย่างนั้น  ซึ่งไม่ยอมคลายวางทิฏฐินั้นเลย ย่อมไม่สามารถบรรลุธรรมได้เลยในพุทธศาสนา. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 16:11:12

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่บรรลุ หรือบรรลุก็ได้ เพราะคุณอาจไม่เชื่อตอนนี้ แต่อนคตเมื่อคุณจะบรรลุธรรม คุณเชื่อแน่   ทำไมพุทธศาสนาจึงมีเรื่อง 31 ภพภูมิ ก็เพราะว่า  - ชีวิตทางพระพุทธศาสนามีความเชื่อพื้นเรื่อง การมีชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในวัฏสงสาร พูดง่าย ๆ ก็คือ เกิด ๆ ตาย ๆ อยู่ในภาพทั้ง 31 ภพ การจะไปอยู่ภพไหน ก็คือ ความชอบที่จะไปอยู่ภพนั้น เช่น ชอบเสพกาม ไม่รู้ลูกเขาเมียใคร พ่อใครแม่ใคร พวกนี้ก็ต้องได้อัตภาพเดรัจฉานมาครอง  หรือจิตที่ชอบความสงบก็จะได้อัตภาพของพรหม เป็นต้นสภาวะของจิตจะเป็นตัวกำหนดที่ไป (ไปที่ชอบ ๆ) ทีนี้ถ้าไม่เชื่อเรื่องภพภูมิข้ามภพข้ามชาติพวกนี้ ก็จะตอบปัญหาเรื่อง การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไม่เคลียร์ (คนยุคใหม่เลยไปเชื่อหลวงพ่อพุทธทาสกันมาก เพราะท่านไม่เน้นหรือไม่พูดหรือไม่เชื่อเรือ่งข้ามภพข้ามชาติ) จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 16:11:47

ความคิดเห็นที่ 5 สนใจตัวเองก็พอครับ ดูให้ทั่วก่อนดีกว่า...จิตใจตัวเอง ยากแท้หยั่งถึง จากคุณ : Red_Arsenal เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 16:32:36

ความคิดเห็นที่ 6 ขนาดเรื่องพื้นๆยังไม่รู้ อย่าหวังมากเลยครับ บวก ลบ ยังไม่รู้ จะหวังไปตรีโกณมิติ ฝันไปป่าวว จากคุณ : imanust_261204 เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 17:21:32

ความคิดเห็นที่ 7 ผู้ที่ไม่สนใจจริงๆนะ บรรลุได้ แต่ผู้ที่คัดค้านนะ บรรลุไม่ได้ มันสำคัญตรงที่ว่า ไม่สนใจจริงๆนั่นแหละ อย่างคุณรถเรณู เขาเรียกว่า สนใจ นะ จากคุณ : kiarati เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 17:41:15

ความคิดเห็นที่ 8 น่าจะมีข้อ 3. นะครับ 3. ไม่มีความแน่นอน หมั่นตรวจสอบจิตตนเอง สม่ำเสมอ เอาสภาวะจิตปัจจุบันเป็นตัวตั้ง จนกว่่าจะถึงขั้นบรรลุพระิอริยะขั้นใด ขั้นหนึ่ง เรื่องผี เป็นกำแพงความคิด ของคนกลุ่มนึงที่ชอบตั้งกำแพงในหัวตัวเองเป็นนิสัยมากกว่า พอเจอนักปฏิบัติอื่น รีบควานหาจุดบกพร่องชาวบ้านทันที สร้างกำแพงใส่หัวคนอื่น เป็นงานถนัดในชีวิตเขาเหล่านั้น ถ้าติเพื่อก่อให้เกิดธรรม พอเข้าใจอยู่ แต่ป้ายสีความเป็นมิจฉาทิฐฐิใส่ชาวบ้าน ผมพึ่งเห็นเนี้ยล่ะ เอาเรื่องผี มาเป็นกำแพงบรรลุธรรม พับผ่าสิ! .. แยกไม่ออกหรือไงครับ ระหว่าง มิจฉาทิฐฐิแบบพราหมณ์ กับ พุทธกลุ่มที่เห็นเรื่องเหนือธรรมชาติเป็นเรื่องรอง แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 55 18:04:22 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 17:51:36

ความคิดเห็นที่ 9 มิจฉาทิฏฐิแบบพราหมณ์เป็นยังไงอะครับ และเรื่องเหนือธรรมชาติมีอะไรบ้างครับ คุณ Zim-MorLuth- จากคุณ : kiarati เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 18:07:03

ความคิดเห็นที่ 10 จะสนใจหรือไม่สนใจ ถ้าเดินถูกทางย่อมบรรลุถึงเป้าหมาย จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 19:46:02

ความคิดเห็นที่ 12 ต้องเข้าใจ   สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะ  อย่างสัมมาทิฐิ  จึงจะสามารถบรรลุธรรมในศาสนาได้ ไม่ใช่เชื่อว่ามีหรือไม่มี  โดยไม่เข้าใจ  สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะ  อย่างสัมมาทิฐิ จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 55 22:10:37

ความคิดเห็นที่ 13 เรื่องน่าสนใจที่ควรถามกลับว่า คนที่จะต้องตายในขณะที่ยังไม่บรรลุธรรมใด ๆ ไม่สนใจเรื่อง ภพภูมิ ได้หรือ คนที่จะต้องตายโดยยังไม่สามารถบรรลุธรรม มีเยอะแยะมากมายเช่น -ป้าเมี้ยนขายกล้วยแขก ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่สนใจธรรมะมาก่อนเลย จนอายุ 80 กว่า ๆ สมองเริ่มเสื่อม ดูสภาพแล้ว ใกล้เข้าโลงเต็มทน สอนปฏิจสมุปปบาท สอน อิทัปปยตา คิดว่าสอนแล้วป้าจะรับได้ไหม -เด็กแว๊นซ์สก๊อย์ สนใจแต่แวนซ์กับมั่ว บังเอิญ แวนซ์สก๊อยติดเอดส์ รู้ว่าอยู่ได้อีกไม่กี่วัน เครียดจนสติแตก ได้แต่บ่นพึมพัมไม่รับรู้อะไร สอนปฏิจสมุปปบาท สอน อิทัปปยตา คิดว่าสอนแล้ว แว๊นซ์สก๊อย จะรับได้ไหม -น้องกุ๋งกิ๋ง อายุ 6 ขวบ ตรวจเจอมะเร็งที่ไม่มีทางรักษาต้องตายในไม่ช้า สอนปฏิจสมุปปบาท สอน อิทัปปยตา คิดว่าสอนแล้ว น้องกุ๋งกิ๋ง จะรับได้ไหม มีมากมายก่ายกอง ของคนในโลก(ซึ่งเป็นส่วนมากเสียด้วย) ที่เขาไม่อยู่ในสภาพพร้อมต่อ ธรรมะชั้นลึก สิ่งที่สามารถให้เขายึดเหนี่ยวไว้ได้ คือธรรมที่รอง ๆ ลงมา และเป็นจริงและมีอยู่พระไตรปิฎก เป็นสิ่ง "ไม่สำคัญ" กระนั้นหรือ   คนมีมากมายหลายกลุ่ม หลายสันดาน หลายกำพืด หลายจริต หลายวุฒิภาวะ หลายฯลฯ และอุดมไปด้วยสถานการณ์อันไม่คาดฝันตามเหตุปัจจัยในหลายรูปแบบหลายวาระกรรม พระพุทธเจ้าจึงประทาน ธรรมะหลากหลายระดับ หลากหลายรูปแบบไว้ให้ได้พึ่งพิง นับว่าเป็นพระมหากรุณาอันสูงสุดโดยแท้ ที่ท่านไม่ได้เมตตาเพียงแค่ผู้มีปัญญากล้า แต่ได้เผื่อแผ่ธรรมะมากมายหลายชั้นเพื่อเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย  สนใจแก่นเป็นเรื่องดีครับ สาธุ อนุโมทนา แต่ด่วนตัดส่วนอื่นทิ้งผมคงไม่เห็นด้วย เพราะล้วนแล้วแต่จำเป็นทั้งสิ้น สำหรับผู้ไม่ได้เป็นพระอริยะมีความเที่ยงในอันจะต้องเกิด และความตายก็พร้อมมาโฉบได้ทุกเสี้ยววินาที  ธรรมะทุกระดับต้องระดมให้พร้อมไว้ก่อน แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 55 03:00:09 จากคุณ : TaraLek เขียนเมื่อ : 14 มี.ค. 55 00:20:40

ความคิดเห็นที่ 14 ความดีความจริง ง่ายๆ  มีมากมายให้เอามาสอนได้   โดยไม่ต้องเอาเรื่องที่ยังสงสัย ไม่แน่ใจ ยังมีปัญหา มาสอนก็ได้ ไม่ใข่ว่าต้องสอนเฉพาะ เรื่อง ผี สาง เทวดา (แม้จะมีหรือไม่มี ก็ช่างหัวผีเขาเถอะ) จะสามารถบรรลุธรรมในพุทธศาสนาได้ นอกจากว่าคุณเองเชื่ออย่างนั้นว่าเป็นเรื่องจริงด้วย   คุณก็สอนไปตามที่คุณเชื่อ  อย่างนั้นไม่ว่ากัน จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 14 มี.ค. 55 10:42:26

ความคิดเห็นที่ 15 ไปดูในสติปัฎฐานสูตรว่าพูดถึงเรื่องนี้หรือเปล่าว่าถ้าเชื่อแล้วจะบรรลุธรรม ไม่เชื่อแล้วจะไม่บรรลุธรรม ? พิสูจน์เอาเองโดยการปฏิบัติหรืออย่างน้อยไปค้นหาหลักฐานด้วยสิ จากคุณ : hollowpig เขียนเมื่อ : 14 มี.ค. 55 15:33:35

ความคิดเห็นที่ 16 ผู้ืีที่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา แต่เห็นว่า โลกเทียง ก็ไม่บรรลุธรรม ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดาเลย และเห็นว่า โลกขาดสูญ ก็ไม่บรรลุธรรม ผู้ที่เห็นว่า มีผีสางเทวดา แต่เป็นคำสมมุติ ผีสางเทวดานั้นแท้จริงคือนามรูป บรรลุธรรม จากคุณ : Real~Fine เขียนเมื่อ : 14 มี.ค. 55 19:47:09

ความคิดเห็นที่ 17 สัมมาทิฏฐิ ที่ คือ อนาสวาสัมมาทิฏฐิ นั้น จึงจะอยู่ใน มรรคมีองค์ 8 ซึ่ง ไ่ม่ใช่ สาสวาสัมมาทิฏฐิ  ที่แยกออกจากกัน อย่าง ชัดเจน ------------------------------ ผม จึงเห็นว่า อนาสวาสัมมาทิฏฐิ จึง ไม่ใช่ สาสวาสัมมาทิฏฐิ ครับ แล้ว ก็ เห็นว่า สัมมาทิฏฐิ ที่อยู่ใน มรรคมีองค์8 ไม่ใช่ สาสวาสัมมาทิฏฐิ ครับ --------------------------------- ก็เดาๆ เอานะครับ จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 14 มี.ค. 55 21:42:27