ก็อย่างที่บอกนะครับว่า....คำว่า นิพพาน มันไม่ใช่คำที่สงวน หรือถนอมเอาไว้เฉพาะ หรอก
เหมือนกับคำอื่น ๆ ที่คนมักเข้าใจผิด (คนไม่รู้ เขาก็เข้าใจผิดอยู่เรื่อยแหล่ะ) เช่น
เช่น เคยมี ส.ส. คนหนึ่ง อภิปรายโจมตี ฝ่ายตรงข้ามในสภาว่า
"บังอาจ เอาคำว่า "ทศพิธราชธรรม" มาใช้กับบุคคลทั่ว ๆ ไป ถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะคำนี้ ใช้ได้กับพระมหากษัตริย์ เท่านั้น........ฯลฯ"
ปรากฎว่า ในสภานั้น มีอดีตมหาเปรียญ 9 ประโยค และจบปริญญาเอก ท่านนั่งสัปหงก อยู่ด้วย พอได้ยินเท่านั้นแหล่ะครับ ทั่นตาสว่างเลย !!!
สนุกไหมล่ะครับ......เจอทั่นมหาสอนมวยซะ จน ส.ส. หญิงรายนั้น กลายเป็นแบบว่า ดูหน้าโง่ ไปเลยน่ะ
เพราะทั่นมหาฯ บอกว่า ทศพิธราชธรรม นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นธรรมที่สงวนไว้แก่พระราชาเท่านั้น แต่เอามาใช้ได้ทุกคน โดยเฉพาะ ผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจ ไม่ว่าในองค์กรไหน ๆ สามารถเอามาใช้ได้ทั้งหมดแหล่ะ
จึงขอเสนอแก่ท่านเจ้าของกระทู้ว่า หากเป็นอย่างที่ ส.ส. (ผู้เริ่มต้น ที่ยังสับสน - สำนวนของเจ้าของกระทู้) ว่าจริง ........ งั้น พรหมวิหารธรรม ก็จะต้องเป็น ธรรมของพระพรหม บนพรหมโลกโน่น สินะ คงไม่มีใครกล้า ที่จะเอามาประพฤติปฏิบัติได้ล่ะสิ?
.............................................................
ก็คนไทยพุทธ ขาดการศึกษา ในศาสนาของตน ไงล่ะครับ แม้แต่คำว่า "นิพพาน" ก็เอาไปเข้าใจผิด ๆ กันมากโข เช่น เอาคำว่า นิพพาน ไปแปลกันต่าง ๆ ดังนี้
1. นิพพาน เป็นดินแดนหนึ่ง เรียกกันว่า อายตนะนิพพาน ที่สามารถเข้าไปถวายข้าวปลาอาหาร แก่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ได้
2. นิพพาน เป็นสถานที่ หรือเป็นกองบัญชาการที่มีอำนาจสูงสุด ที่สามารถส่งของวิเศษ ส่งบุคคลวิเศษ ส่งอำนาจวิเศษ ลงมาประทานให้ได้ (ดังคำพูดของแม่ชี รายหนึ่ง ที่คนพิลึก ๆ กลุ่มหนึ่งเชื่อว่า เหาะขึ้นไปปัดระเบิดปรมาณูได้)
3. นิพพาน แปลว่า การตาย หรือการมรณภาพ ของพระอรหันต์ แต่เพียงอย่างเดียว หาได้เข้าใจลึกลงไปกว่านั้นไม่ ว่า เหตุใด การตายของพระอรหันต์ เขาจึงเรียกว่านิพพาน....ก็เพราะกิเลสดับหมดแล้ว ตั้งแต่ก่อนตายนั่นเอง (ที่จริงพระอรหันต์ ท่านนิพพานมาตั้งแต่ ตอนที่ กิเลสดับแล้ว คือ ตั้งแต่ท่านยังไม่ตายนั่นเอง)
ดังนั้น หากชาวพุทธ เข้าใจ คำว่านิพพาน โดยรากศัพท์ ที่ถูกต้อง เสียก่อนแล้ว ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย
ส่วนที่เจ้าของกระทู้ บอกว่า ".....จะสร้างความสับสน ให้แก่ผู้เริ่มต้น ..." ผมก็เห็นว่า น่าจะจริง แต่มันเป็นความจริงที่น่าเห็นใจ น่าสงสาร .. เกิดขึ้นได้ ในทุกมุมโลกครับ
และแน่นอน....มันเป็นหน้าที่ ของผู้เริ่มต้นเองต่างหาก ที่จะต้องพยายาม ขวนขวาย แสดงหาความรู้เพิ่มพูนแก่ตนเองให้มากขึ้น เพื่อให้ตนเองเลิกสับสน
ไม่ใช่ พอตนเองสับสน แม้กับแค่คำพูดพื้น ๆ ในศาสนา ที่ตนไม่สามารถเข้าใจได้แล้ว พาลไปด่าว่า ครูผู้สอน หรือพระผู้ให้ความรู้ว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ
ทางที่ดี ผมว่า เขาเองควรจะตำหนิตนเองมากกว่า ว่า...
- สมองช้า ยังตามไม่ทัน (แต่จะพยายาม ๆๆๆ)
หากเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ แต่เท่าที่เห็น ๆ นะ คนที่ออกมาด่าปาว ๆ ไม่ใช่อะไรหรอก ก็เพราะปัญหา ที่กล่าวมา ก็คือ ตนเอง ไม่มีความรู้ แต่ก็ไม่พยายามศึกษา พอโดนรุกหนัก ๆ เข้า ก็ไพล่ไปอ้าง "ผลการปฏิบัติของตน" ซึ่งยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
เพราะสิ่งนั้น ไม่มีใครสามารถไปพิสูจน์ได้เลย นอกจากตัวเขาเอง และแน่นอนว่า ตัวเขาเอง อาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า เขากำลังบ้า หรือกำลังดี
แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 55 13:18:16
แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 55 12:22:21