ตัวโอภาส - แสงสว่างนั้น เป็นสภาวะ ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติได้ในบางครั้งเมื่อมีสมาธิมีอินทรีย์ที่มีกำลัง
ตัวโอภาส นั้น ไม่ใช่เป็นตัวกิเลส
แต่ว่า เมื่อมี ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เข้าไปยึดเกาะ พอใจ ในแสงสว่างนั้น
เข้าไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นของเรา โอภาส จึงกลายเป็นที่ให้กิเลสยึดเกาะ
คือ แปรไปเป็นอุปกิเลสได้
ดังนั้น แยกให้ดีนะครับ โอภาส(ไม่ใช่ตัวกิเลส) แต่ตัณหา(ตัวกิเลส) เข้าไปพอใจในโอภาสนั้น
เช่นนี้จึงเป็นวิปัสสนูปกิเลส หรือเป็น อุปกิเลสได้
ดังนั้น เมื่อเกิดแสงสว่างขึ้น เห็นการแปรเปลี่ยนไปของแสงสว่างนั้นบ้างก็ดี
เมื่อเกิด ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ไปพอใจยินดี ก็ควรมีสติรู้เท่าทัน ในกิเลสละเอียดเหล่านั้นด้วย
___________________________________________________________
ในคัมภีร์วิสุทธิมัคคอรรถกถาไว้ว่า
อิเม โอภาสารทโย อุปกิเลสวตฺถุตาย อุปกิเลสาติ วุตฺตา น อกุสลตฺตา นิกนฺติปน อุปกิเลโส เจว อุปกิเลสวตฺถุ จ วตฺถุวเสเนว เจเต ทส คาหวเสน ปน สมตึส โหนฺติ.
วิปัสสนูปกิเลสตั้งแต่โอภาสจนถึงอุเปกขา ๙ ประการนี้เรียกว่า อุปกิเลส เพราะเป็นที่อาศัยของตัณหา,มานะ,ทิฏฐิ ทั้ง ๙ ประการนี้ตัวจริงแท้ ๆ ไม่ได้เป็นอกุศลเลย แต่ประการสุดท้ายคือ นิกันติ เป็นอุปกิเลสด้วย ทั้งเป็นที่อาศัยของอุปกิเลสด้วย อุปกิเลส ๑๐ ประการนั้น นับโดยที่ตั้งหนึ่ง ๆ เป็นที่อาศัยของอกุศล ๓ ตัว คือตัณหา,มานะ,ทิฏฐิ รวม ๑๐ ที่ตั้งก็เป็น ๓๐ ถ้วน
(คำอธิบาย จากวิปัสสนาทีปนีฎีกา แสดงไว้ว่า )
ธรรมชาติ ๙ อย่างคือ ตั้งแต่โอกาสจนถึงอุเปกขาเป็นกุศลแท้ เพราะจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องใช้ความเพียรปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานมาไม่น้อย แต่ที่มามีสภาพเป็นอุปกิเลสก็เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้ว อกุศล ๓ ตัวคือตัณหา,มานะ,ทิฏฐิ ก็คอยหาโอกาสแทรกเข้ามาเช่นเมื่อโอภาสปรากฏขึ้น ทิฏฐิ ก็จะเกิดแกโยคี ทำให้นึกคิดไปว่า แสงสว่างเกิดขึ้นนี้ คงเป็นเพราะตนได้บรรลุธรรมวิเศษแล้ว ต่อจากนั้น มานะ ก็จะเกิดขึ้น ทำให้นึกคิดไปว่าตนมีบุญแท้ ๆ ต่อจากนั้นก็จะยินดีชอบใจว่า ขอให้เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป อันแสดงว่า ตัณหา เกิดขึ้นแล้วเลยทำให้โอภาสซึ่งตัวจริงแล้วเป็นของดีแท้ ๆ มากลายสภาพเป็นอุปกิเลสไป ในเรื่องนี้มีอุปมาดังต่อไปนี้
ยังมีอุบาสกผู้หนึ่งเป็นคนดีมีศีลธรรม เป็นหัวหน้ามรรคทายกวัดแห่งหนึ่งเป็นที่นับถือของคนทั่วไปทั้งพระภิกษุสามเณรและชาวบ้าน วันหนึ่งมีเพื่อนขี้เมา ๓ คนมาชวนไปเที่ยวในตลอด และพากันเข้าไปในร้านสุรา เมื่อนั่งลงแล้วเพื่อนทั้ง ๓ ก็สั่งสุรามารับประทานจนเมา และคุยกันเอะอะ ฝูงชนเดินผ่านไปมาได้ยินเสียงดังต่างก็เหลียวดู เห็นอุบาสกผู้นั้นนั่งในวงเหล้า ก็นึกติฉินนินทาพากันเข้าใจผิดคิดว่า อุบาสกที่ตนนับถือในคุณธรรม นั้นกลายเป็นคนกินสุราไปเสียแล้ว เพราะเห็นอยู่ว่าอุบาสกนั้นนั่งอยู่ในวงเหล้า และสถานที่นั่งเป็นโรงเหล้า แม้อุบาสกผู้นั้นยังมั่นอยู่ในศีลไม่ได้ดื่มเลย นั่งเฉย ๆ อยู่แท้ ๆ ก็ต้องถูกนินทาเสียชื่อเสียง เพราะเพื่อนขี้เมา ๓ คนนั้นเป็นผู้ก่อเหตุ
ข้อนี้ฉันใด ธรรมชาติทั้ง ๙ ประการ คือตั้งแต่โอกาสจนถึงอุเปกขาก็เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นของดีเป็นกุศลแท้ ๆ แต่ก็ต้องมาเสียชื่อกลายเป็นอุปกิเลสไป เพราะเพื่อนขี้เมาทั้ง ๓ คือตัณหา,มานะ,ทิฏฐิเป็นตัวการก่อเหตุแท้ ๆ แต่พอผ่านญาณนี้(ตรุณอุททยัพพยญาณ)ไปแล้ว ตัณหา,มานะ,ทิฏฐิจากไปแล้ว ธรรมทั้ง ๙ ประการก็กลับเป็นของดีตามเดิม และดีวิเศษเสียด้วยเพราะเป็นโพชฌงค์คือองคคุณสำคัญของเหตุให้ได้มรรค,ผล ส่วนข้อสุดท้ายคือนิกันตินั้นเป็นตัวอกุศล เป็นอุปกิเลสแท้อย่างไม่ต้องสงสัย
___________________________________________________________
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑ ปฏิสัมภิทามรรค ข้อ [๕๔๒]
(ดูคำอธิบายละเอียดได้ใน
อรรถกถาธรรมุทธัจจวารนิเทศ)