สังเกตุว่า แค่การย่อของ คุณ จขกท. ก็ทำให้พระธรรมตกหล่นไปหนึ่งแล้วเห็นไหมครับ
ในข้อ ๑ ถึง ๓ คำว่า "พอใจในกามคุณ ยินดีในกามคุณ บันเทิงอยู่ในกามคุณ"
คุณเจ้าของกระทู้ ย่อเหลือแค่ "พอใจและยินดี" ส่วนคำว่า บันเทิงหายไปแล้ว
ซึ่งคำเหล่านี้ก็มาจาก คำบาลี ที่ต่างกันไปทั้งนั้น
__________________________________________________________
ส่วนข้อ ๔ นั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
"ประกอบอยู่ด้วยอวิชชา เป็นคนบอด ถูกความมืดครอบงำเอาแล้ว"
คุณเจ้าของกระทู้ก็ย่อไปรวมกับข้อ ๑ ถึง ๓ กลายเป็น พอใจ หรือ ยินดี ในอวิชชา
นี่ก็ทำให้พระธรรมเปลี่ยนไปแล้ว (หากเปลี่ยนไปเรื่อยๆเช่นนี้ อย่าว่าถึง พันปีเลย
เพียงแค่ ไม่กี่ร้อยปี พระธรรมก็สูญหรือแปรเปลี่ยนไปหมดแล้วจริงไหมครับ)
__________________________________________________________
(พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ)
อัจฉริยสูตรที่ ๒
....ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ผู้ตกอยู่ในอวิชชา เป็นผู้มืด ถูกอวิชชารัด
รึงไว้ เมื่อพระตถาคตแสดงธรรมอันเป็นเครื่องปราบปรามอวิชชาอยู่ หมู่สัตว์นั้น
ย่อมฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความ
อัศจรรย์ไม่เคยมีข้อที่ ๔ ย่อมปรากฏ เพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.......
__________________________________________________________
พระสูตรแต่ละสูตร ทรงทราบถึงอัธยาศัยว่า เมื่อแสดงอย่างไร ด้วยนัยไหน
จะแสดงโดยพิศดาร หรือโดยสังเขป จึงจะเหมาะแก่ผู้ฟังนั้นเพื่อที่จะบรรลุธรรมได้
ผู้อ่านสามารถเลือกอ่าน สูตรที่ยาว ในฑีฆนิกาย หรือ สูตรที่สั้นลงมาใน สังยุตตนิกาย
หรืออ่านคาถาธรรมบท แล้วแต่จริตที่ต่างกันไปของผู้อ่านนั้นได้
แต่ไม่ควรไปเปลี่ยนแปลง ให้ตามใจของแต่ละคน เพราะเราต้องนึกถึงโดยรวม
ว่าแต่ละคนก็มีอัธยาศัยแตกต่างกันไป
__________________________________________________________
อนึ่ง พระไตรปิฎกนั้น ในหลายแห่งๆ ก็ได้มีการย่อไว้แล้ว ด้วย ไปยาลนัย
ถ้ามิได้ย่อไว้แล้วพระธรรมของพระผู้มีพระภาคย่อมมีโดยพิศดารมากกว่าพระไตรปิฎก
ที่เราเห็นนี้เสียอีก
__________________________________________________________
บางคนมีอัธยาศัย ชอบสาธยายธรรมยาวๆ บางคนก็ชอบสั้นๆต่างกันไป ดังตัวอย่างในวิสุทธิมรรค เช่นความว่า
.....ภิกษุ ๒ รูป สาธยายบาลีที่มีเปยยาลมาก ภิกษุผู้มีปัญญาเฉียบแหลมยังบาลีหน้าเปยยาลให้พิสดารครั้งเดียวหรือสองครั้ง เบื้องหน้าแต่นั้นก็ทำการสาธยายด้วยสามารถที่สุด ๒ ข้างจึงเลยไปในภิกษุ ๒ รูปนั้น ฝ่ายรูปที่มีปัญญาไม่เฉียบแหลม จะกล่าวอย่างนี้ว่า นี้ชื่อว่าสาธยายอะไรกัน ไม่ให้ทำเพียงกระทบริมฝีปาก เมื่อทำการสาธยายอยู่อย่างนี้เมื่อไรบาลีจึงจักคล่อง เธอจึงทำการสาธยายยังบาลีเปยยาลที่มาถึงแล้ว ๆ ให้พิสดาร ฝ่ายภิกษุผู้มีปัญญาเฉียบแหลมจะกล่าวกะเธออย่างนี้ว่า นี่ชื่อสาธยายอะไรกัน ไม่ให้ถึงที่สุดสักที เมื่อทำการสาธยายอย่างนี้เมื่อไรบาลีจึงจักถึงที่สุดได้.....
แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 55 22:04:57