ความคิดเห็นที่ 1 จขกท ยังไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพุทธทาสสอน จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 19:54:30

ความคิดเห็นที่ 2 กระทู้โน้น http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11828300/Y11828300.html ความคิดเห็นที่ 34 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน รู้สึกจะมีคนสนใจเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันมากมาย จนอ่านไม่ไหว คนที่คัดค้านก็ค้านโดยมีพื้นฐานว่ามีนรกสวรรค์อย่างที่เป็นสถานที่ ดังนั้นจึงพูดกันอยู่อย่างเดียวคือ ให้ไปพิสูจน์ หรือถามว่า พิสูจน์หรือยัง? มันก็คงพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะคนที่เชื่อนั้นไม่ยอมรับเหตุผล เอาแต่ความเชื่อจากจิตใต้สำนึกที่แก้ได้ยาก(แก้ได้ แต่ยากมาก) มันเป็นหน้าที่ของคนที่เชื่อ ที่จะต้องพิสูจน์ เพราะความเชื่อนั้นยังเป็นแค่การคาดเดาว่าจะเป็นจริงเท่านั้น ยังไม่ได้เป็นความจริงที่สัมผัสแล้วด้วยจิตของเราเอง สรุป ความเชื่อ กับ ความจริง มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน จนกว่าคุณจะพิสูจน์ความเชื่อของคุณจนพบว่ามันเป็นความจริง ความเชื่อของคุณจึงจะเป็นความจริงได้  ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปพิสูจน์ เพราะความจริงมันก็แสดงตัวของมันอยู่เองแล้วตลอดเวลาว่าไม่มี หรือมันพิสูจน์ให้เห็นอยู่แล้วตลอดเวลาแล้วว่าไม่มี แต่ถ้าใครเชื่อว่ามีก็ต้องพิสูจน์มาให้เห็นว่ามันมี จึงจะทำลายความเชื่อว่าไม่มีนั้นได้ ใช่หรือไม่? จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 15 มี.ค. 55 19:35:05 [แก้ไข] //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// ความคิดเห็นที่ 38 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน รู้สึกจะมีคนสนใจเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันมากมาย จนอ่านไม่ไหว <---- หรือ? "แค่  37  -  38"  คคห  เอง ..... ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////                        ข้อความ -- ใช้หลักกาลามสูตรแล้ว จึงไม่เชื่อ ใช่หรือเปล่า ?"   เมื่อใด  ที่ " บุคคลใดนั้น"  "เป็นอยู่โดยชอบ  ตามที่ตรัส"                            ไม่ใช่ ตาม ที่ " What am I?"  เสนอ"   กล่าวคือ ------ บรรลุ  โสดาบัน "ตาม ที่ตรัส  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษา ที่ตรัสไว้ ฯ เมื่อนั้น  ---  ก็ ไม่ต้อง "สังขาร"  ให้ เกิด ข้อความว่า --- ใช้หลักกาลามสูตรแล้ว จึงไม่เชื่อ ใช่หรือเปล่า ?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) [Bloggang] เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 18:59:41 [แก้ไข] ////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// กระทู้นี้ ส่วนนรก-สวรรค์ของพุทธศาสนาก็คือ สวรรค์ในอก นรกในใจ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ ผู้มีปัญญายอมรับ คำว่า "ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ " ตรัสไว้  พระสูตรไหนครับ? ---- จง อ้างอิง หลักฐาน ด้วย? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 19:59:26

ความคิดเห็นที่ 3 เชื่อแล้วมีประโยชน์ ตามหลักกาลามะสูตรครับ ส่วนรูปแบบอย่างไร ก้ขึ้นอยู่กับประโยชน์ของแต่ละท่าน จากคุณ : pattaral เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 20:06:56

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนนรก-สวรรค์ของพุทธศาสนาก็คือ สวรรค์ในอก นรกในใจ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ ผู้มีปัญญายอมรับ คำว่า "ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ " ตรัสไว้  พระสูตรไหนครับ? ---- จง อ้างอิง หลักฐาน ด้วย? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)     เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 19:59:26   *************** "เมื่อพบพระพุทธเจ้า จงฆ่าท่านเสีย" หลักฐานหรือจะสู้ ความจริง วิทยาศาสตร์ คืออะไร? คำตอบก็คือ สันทิฎฐิโก อกาลิโก คือเห็นเองในปัจจุบัน หรือการศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง ซึ่ง การศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริงนี้ ก็คือหลักวิทยาศาสตร์ ทำไมต้องมีการกล่าวที่ตรงตัว(ว่าเป็นวิทยาศาสตร์) เราสามารถพิจารณาเทียบเคียงเอาเองได้  ชาวพุทธต้องรู้จักคิด ไม่ใช่เอาแต่ยึดถือตำรา จนลืมหลักกาลามสูตร แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 55 20:14:08 จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 20:10:49

ความคิดเห็นที่ 5 ไป ๆ มา ๆ ท่านอาจจะต้องศึกษาหลักกาลามสูตรใหม่เสียด้วยซ้ำ. จากคุณ : เพื่อมหาชน เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 20:12:19

ความคิดเห็นที่ 6 จขกท ยังไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพุทธทาสสอน จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา     เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 19:54:30     *************** พูดอย่างนี้ก็แสดงว่าคุณ สายลมเหงาแห่งขุนเขา  เข้าใจสิ่งทีท่านอาจารย์พุทธทาสสอนแล้ว ถ้าเข้าใจแล้วก็น่าจะนำมาเผยแผ่บ้าง จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 20:13:26

ความคิดเห็นที่ 7 คคห 4 "เมื่อพบพระพุทธเจ้า จงฆ่าท่านเสีย" ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// ข้อความข้างบน --- อมแล้ว บ้วน  ใช่ไหม? ไป อม ของใคร นั่น มา บ้วน เสนอ  ใช่ไหม? /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// คคห2 กระทู้นี้ ส่วนนรก-สวรรค์ของพุทธศาสนาก็คือ สวรรค์ในอก นรกในใจ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ ผู้มีปัญญายอมรับ คำว่า "ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ " ตรัสไว้  พระสูตรไหนครับ? ---- จง อ้างอิง หลักฐาน ด้วย? ตอบ  ให้ ตรง ที่ถาม ไหม? "What am I?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 20:15:08

ความคิดเห็นที่ 8 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11845497/Y11845497.html ทาสของพระพุทธเจ้า พระองค์นี้ เป็นอย่างไร?             ----- "What am I?"   จะ ไม่เข้าไป  แสดง คคห  หรือ? ----- จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 20:16:36

ความคิดเห็นที่ 9 ทำไมจึงเชื่อว่ามีนรก-สวรรค์? ----------- เพราะผมนับถือศาสนาพุทธ  ที่พระบรมศาสดา ทรงแสดงว่า มีสวรรค์และนรกที่เป็นภูมิภพ  และมีนรกที่เป็นผัสสะ                   และขอถาม  ท่านเจ้าของกระทู้  ทำไมจึงเชื่อว่านรก-สวรรค์มีอยู่แต่ในใจ   ทั้งๆที่พระบรมศาสดาทรงแสดงไว้ว่า มีสวรรค์-นรก ที่เป็นภูมิภพ แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 55 20:30:45 แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 55 20:29:29 จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 20:25:13

ความคิดเห็นที่ 10 จิตนั่นแหละ ตัณหานั่นแหละ สร้างภพ พูดอย่างย่อ หลวงพี่กู่ไม่กลับแล้วขอรับ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 20:48:01

ความคิดเห็นที่ 11 ...             [๘๘] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เยี่ยม คือ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมในฝ่ายบุพเพนิวาสานุสติญาณ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความ เพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการ โดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัย อยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือตามระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติ บ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติ บ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายสังวัฏกัป บ้าง หลายวิวัฏกัปบ้าง หลายสังวัฏวิวัฏกัปบ้างว่า ในภพโน้น เราได้มีชื่ออย่าง นั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์ อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพ โน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มี อาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้น จุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาบังเกิดในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ใน กาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ฯ             ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัตว์ทั้งหลายที่มีชาติอันไม่อาจนับได้ด้วยวิธีคำนวณ หรือวิธีนับ ก็ยังมีอยู่ แม้ภพซึ่งเป็นที่ๆ เขาเคยอาศัยอยู่ คือรูปภพ อรูปภพ สัญญีภพ อสัญญีภพ เนวสัญญีนาสัญญีภพ [ที่ไม่อาจนับได้] ก็ยังมี ย่อมตามระลึก ถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นธรรมที่เยี่ยม ในฝ่ายบุพเพ- *นิวาสานุสติญาณ ฯ ... ...             [๙๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา มีอยู่แก่พระตถาคตผู้ทรงมีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ แต่ไม่ทรง แสดงพระองค์ให้ปรากฏ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ได้เห็น ธรรมแม้สักข้อหนึ่งจากธรรมของพระองค์นี้ในตนแล้ว พวกเขาจะต้องยกธงเที่ยว ประกาศ ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมี มา ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลามีอยู่แก่พระตถาคตผู้ทรงมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ แต่ไม่ทรงแสดงพระองค์ให้ปรากฏ ฯ             ดูกรอุทายี เธอจงดูความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลาของ ตถาคต ผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ แต่ไม่แสดงตนให้ปรากฏ เพราะเหตุนั้น ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ได้เห็นธรรมแม้สักข้อหนึ่งจากธรรมของเรานี้ในตน แล้ว พวกเขาจะต้องยกธงเที่ยวประกาศ ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น ดูกรอุทายี เธอ จงดูความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลาของตถาคต ผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพ มากอย่างนี้ แต่ไม่แสดงตนให้ปรากฏ ฯ             ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า เพราะเหตุนั้นแล สารีบุตร เธอพึงกล่าวธรรมปริยายนี้เนืองๆ แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้ง หลายในธรรมวินัยนี้ ดูกรสารีบุตรความสงสัยหรือความเคลือบแคลงในตถาคตซึ่งจัก ยังมีอยู่บ้างแก่โมฆบุรุษทั้งหลาย พวกเขาจักละเสียได้ เพราะได้ฟังธรรมปริยายนี้ ฯ             ท่านพระสารีบุตร ได้ประกาศความเลื่อมใสของตนนี้ เฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาค ด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น คำไวยากรณ์นี้ จึงมีชื่อว่า "สัมปสาทนียะ" ดังนี้แล ฯ จบ สัมปสาทนียสูตร ที่ ๕ -----------------------------------------------------             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑  บรรทัดที่ ๒๑๓๐ - ๒๕๓๖.  หน้าที่  ๘๙ - ๑๐๕. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=2130&Z=2536&pagebreak=0             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=73 แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 55 20:57:19 จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 20:55:53

ความคิดเห็นที่ 12 ทำไมจึงเชื่อว่ามีนรก-สวรรค์? (๑) ขั้น เชื่อ การตรัสรู้ของพระบรมศาสดา เพราะ  เชื่อ  "สาสวาสัมมาทิฏฐิ"  ตาม  ที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ ครับ แล้ว "ไม่ขัดกับ  กาลามสูตร" ด้วย (๒) ส่วน  นรก สวรรค์  ตาม ไตรภูมิพระร่วง ก็ดี / ตามภาพจิตรกรรมฝาผนัง ก็ดี /  ตาม  ที่อ้าง "ตำราชั้นหลังๆ"  ---- ที่ไม่ใช่อธิบายพระไตรปิฎกตอนใดตอนหนึ่ง โดยเฉพาะ  นั่น ----  ต้อง อาศัย กาลามสูตร มากๆๆๆๆๆๆ (๓) "มีไม่จริง "                                 นรก สวรรค์ หลังตายแล้ว --- ของ ปุถุชน  ที่ จิตประภัสสร ที่เข้าถึงความเศร้าหมองแล้ว เพราะอุปกิเลส  (พิจาณณา ที่ตรัส จิตนี้เป็นประภัสสรฯ)         --- ที่ เกี่ยวกับ "หลังตายแล้วนั้น" ----  "มีไม่จริง ไม่ว่า จะอ้างที่ตรัส ฯ?" ---- (แต่  มีจริง  เมื่อ ปุถุชนนั้น ลุ  อริยสาวก ผู้รู้ชัดว่า จิตประภัสสรพ้นวิเศษจาก อุปกิเลส อันเป็นอาคันตุกะจรมาฯ) เพราะ  "ตอบไม่ได้ + อ้างอิง พระสูตรใดนั้น" ว่า --- อะไร  คือ  สิ่งที่ เนื่องกับ "นรก สวรรค์ หลังตายแล้ว" ---- (กำหนดตาม  วิญญาณฐิติ ๔ และหรือ วิญญาณฐิติ ๗  อายตนะ ๒) //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// หมายเหตุ คคห 9 วิญญาณฐิติ ๔ และหรือ วิญญาณฐิติ ๗  อายตนะ ๒  ที่เนื่องกับ "อวิชชานั่นแหละ เป็น คติ (เครื่องไป) ของ สัตว์เหล่านั้น ---- เมื่อ เนื่องกับ --- ทั้งๆที่พระบรมศาสดาทรงแสดงไว้ว่า มีสวรรค์-นรก ที่เป็นภูมิภพ คุณวงกลม   พิจารณาไหมครับว่า "อะไร" (ตาม อัสสุตวตาสูตร + จูฬสุญญตสูตร) ---- ที่ จะ เนื่องกับ ---  สวรรค์-นรก ที่เป็นภูมิภพ --- ตามที่ตรัสว่า ""อวิชชานั่นแหละ เป็น คติ (เครื่องไป) ของ สัตว์เหล่านั้น (โดย ผู้กำหนด  กำหนดตอน ที่ยังไม่ตาย ด้วย + กำหนด  คติ ของตนเอง ในอนาคต  เมื่อ ตายปั๊ป ด้วย  ตามที่อ้าง "ทั้งๆที่พระบรมศาสดาทรงแสดงไว้ว่า มีสวรรค์-นรก ที่เป็นภูมิภพ" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 20:59:03

ความคิดเห็นที่ 13 เพราะผมเชื่อพระพุทธเจ้า  ผมไม่ได้เชื่อหลวงพี่ครับ จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 20:59:45

ความคิดเห็นที่ 14 มีไม่จริง  กับ มีจริง  -- ข้างบน                    มีจริง  แต่ ไม่จริง  --- จึง = มีไม่จริง (ขั้นปุถุชน) (๑) มิจฉาทิฏฐิ ๒ -- สัสสตทิฏฐิ  กับ อุจเฉททิฏฐิ (๒) มิจฉาทิฏฐิ ๓ -- อกิริยาทิฏฐิ / อเหตุกทิฏฐิ / นัตถิกทิฏฐิ (อุจเฉททิฏฐิ) นรกใต้ดิน  สวรรค์บนฟ้า "ตามมิจฉาทิฏฐิ ๒  มิจฉาทิฏฐิ ๓" เพราะ เนื่องกับ -- " จิตนี้ประภัสสร แต่จิตฯ --ปุถุจิต (แม้นข่มอุปกิเลสได้ฯ) VS อริยจิต ที่พ้นวิเศษจาก อุปกิเลส ฯ -- ""อวิชชานั่นแหละ เป็น คติ (เครื่องไป) ของ สัตว์เหล่านั้น --- ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////                      มีจริง  แต่ จริง  --- แต่ก็ยัง = มีไม่จริง (ขั้น อริยสาวก) มีจริง  แต่ จริง ---ด้วย  สาสวาสัมมาทิฏฐิ (พระสัทธานุสารี พระธรรมานุสารี พระโสดาบัน พระอนาคามี / ดู จูฬสุญญตสูตรประกอบ)  = ยังมีไม่จริง เมื่อ บรรลุ อนาสวาสัมมาทิฏฐิ ขั้น อรหัตตผล /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////                                         ข้างบน ทั้งหมด                            ----- ล้วน เนื่องกับ "ที่ตรัสว่า" ----                 " เราเห็นแล้ว  นรกชื่อ ฉผัสสายติกนรก" กับ ฉผัสสายติกสวรรค์"                                กำหนด ก่อน ตายเข้าโลง  ด้วย          ตามที่ตรัสว่า --- ""อวิชชานั่นแหละ เป็น คติ (เครื่องไป) ของ สัตว์เหล่านั้น --- ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////            ปัญหา  ตามที่เป็นจริง มี อยู่ว่า "ขนวัว  มีมากกว่า (ขนที่หูวัว และ) เขาวัว"   ไม่ว่าสมัยพุทธกาล  หรือ สมัยสุโขทัย / อยุทธยา / กรุงรัตนโกสินทร์ -- ใช่หรือไม่?             ??? ว่าแต่ว่า "สมัยนี้"  " ทำไม ไม่ เปลี่ยนวิกฤติ เป็น โอกาส" ???? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 21:13:36

ความคิดเห็นที่ 15 มีจริง  แต่ ไม่จริง  ---  จึง = มีไม่จริง (ขั้นปุถุชน) มีจริง  แต่ จริง      ---  แต่ก็ยัง = มีไม่จริง (ขั้น อริยสาวก) มีจริง  แต่ จริง      ---  แล้ว = มีจริงๆ (อนาสวาสัมมาทิฏฐิ ขั้น พระอริยเจ้า-อรหัตตผล)                                                                          ข้างบน เนื่องกับ -- " จิตนี้ประภัสสร แต่จิตฯ --ปุถุจิต (แม้นข่มอุปกิเลสได้ฯ) VS อริยจิต ที่พ้นวิเศษจาก อุปกิเลส ฯ -- ""อวิชชานั่นแหละ เป็น คติ (เครื่องไป) ของ สัตว์เหล่านั้น ---  " เราเห็นแล้ว  นรกชื่อ ฉผัสสายติกนรก" กับ ฉผัสสายติกสวรรค์"                       "สมัยนี้ ตอนนี้ ---  เปลี่ยนวิกฤติ เป็น โอกาส" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 21:18:29

ความคิดเห็นที่ 16 ข้อความ (คคห 9)  --- ทั้งๆที่พระบรมศาสดาทรงแสดงไว้ว่า มีสวรรค์-นรก ที่เป็นภูมิภพ /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////                                                 ยกตัวอย่าง ที่ตรัส  อานิสงส์ ๗ อย่าง ของ  อานาปานสติ  --- เอกธัมมวัคค์ อานาปานสติสังยุตต์ สังยุตตนิกาย  (๑๙/๓๙๗/๑๓๑๔) --- ดูเองนะครับ เมื่อ เชื่อมกับ  "โอปปาติกะ  คือ พระอนาคามี"  ๕  ชื่อ  ตาม พระสูตรนี้ เมื่อ เชื่อมกับ "สุทธาวาส" (อะไรที่ เนื่องกับ) พระอนาคามี"  ๕  ชื่อ  ตาม พระสูตรนี้ ทำไม จึง (ยึดมั่น + +  แล้ว) กล่าว ว่า   พระอนาคามี ๕  ชื่อ นั้น (ที่เนื่องกับ อานิสงส์ ๗ อย่างนั้น) --- เนื่องกับ "โอปปาติกะ" + ""สุทธาวาส"  --- หลัง จาก "ตาย เข้าโลงแล้ว"? --- (นะ) ฯลฯ หมายเหตุ ""สุทธาวาส"   คือ สวรรค์? (ชั้นพรหมในธรรมวินัยนี้)  -- ที่เป็นภูมิภพ  ของ พระอนาคามี  หลังจากตายแล้ว นั้น ---- ไม่เนื่องกับ (๑) มิจฉาทิฏฐิ ๒ -- สัสสตทิฏฐิ  กับ อุจเฉททิฏฐิ (๒) มิจฉาทิฏฐิ ๓ -- อกิริยาทิฏฐิ / อเหตุกทิฏฐิ / นัตถิกทิฏฐิ (อุจเฉททิฏฐิ) (๓) จิตประภัสสร ของปุถุชน ฯ (ที่อ้าง อะไรก้ตาม) หรือ? แต่ ถ้า เนื่องกับ (๑) สาสวาสัมมาทิฏฐิ  ---  แล้ว  ต่างกับ "สัสสตทิฏฐิ" --- ต่างกัน คือ----> เสนอครับ?"                       "สมัยนี้ ตอนนี้ ---  เปลี่ยนวิกฤติ เป็น โอกาส" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 21:31:33

ความคิดเห็นที่ 17 --- ทั้งๆที่พระบรมศาสดาทรงแสดงไว้ว่า มีสวรรค์-นรก ที่เป็นภูมิภพ ---                                                ต้อง สอดคล้องกับ สวากขาโต ภะคะวา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ. http://community.thaiware.com/index.php/topic/339093-adhoeoel-adhaaaoel-adhensoel/ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 21:35:24

ความคิดเห็นที่ 18 เพราะท่านสติปัญญายังไม่พอเลยมองไปอย่างนั้นแหละครับ ถ้าท่านฉลาดขึ้นอีกนิดนึง ก็จะรู้เองแหละครับ จากคุณ : imanust_261204 เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 22:00:53

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าเปรียบเทียบจำนวนคนที่มีประสบการณ์รู้เห็นนรกสวรรค์ กับจำนวนคนที่ที่รู้เห็นอนุภาคควากด้วยตนเองแล้ว จากบันทึกรายงานของทั้งสองฝ่ายบอกได้เลยว่า มันมีจำนวนที่ห่างไกลกันมากมายนักหรือจะเอาเทียบ กับจำนวนของผู้ที่เคยไปถ่ายรูปโลกจากเขตอวกาศเพื่อพิสูจน์โลกกลม มันก็ยังน้อยกว่าจำนวนผู้คนที่ได้รับรู้เรื่องความมีอยู่ของนรกสวรรค์ ซึ่งส่วนใหญ่จะบอกบรรยายลักษณะได้ใกล้เคียงกัน การจะมาแย้งว่าทำไมนรกสวรรค์ของแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน ก็เพราะว่าอาณาเขตของสวรรค์และนรกมันมีมากกว่าโลกเราเสียอีก แต่ถ้ามาดูที่รายงานที่มีการทำวิจัยจดบันทึกประสบการณ์ชีวิตหลังความตาย จากทุกสังคมศาสนาทั่วโลกจะพบว่านรกสวรรค์ของพวกเขาจะไม่ต่างกันมากนัก คุณจขกท.ยังวนเวียนอยู่กับความไม่รู้ของตนเอง โดยเอาความไม่รู้ของตนเองเป็นศูนย์กลาง ไปตามทำนองว่าถ้าตนเองไม่รู้ไม่เห็นอะไรสิ่งนั้นก็ย่อมไม่มี ถามหน่อยท่านไม่รำคาญความไม่รู้ของตนเองบ้างหรือไร ถ้าผมบอกท่านว่าเทวดาผีเร่รอนผมเคยเห็นมาแล้ว เหมือนกับคนจำนวนมากมายที่เขาเห็นกันจากบันทึกปากคำคนทั่วโลก ซึ่งแน่นอนย่อมมีจำนวนคนเห็นผีเทวดานรกสวรรค์มากกว่าคนที่เห็นอนุภาคควากเสียอีก และมากกว่าคนที่เห็นว่าโลกกลมด้วยตาตนเองเสียอีก และในอนาคตผู้คนที่เห็นนรกสวรรค์ก็จะให้ปากคำเหมือนกับ คำให้การของคนทุกยุคที่ผ่านมา นรกสวรรค์ไม่ใช่จินตนาการส่วนตัว อนุภาคควากยังอยู่ในระดับที่ต้องใช้ตรรกและจินตนาการมากกว่า การมีประสบการณ์ตรงด้วยตนเองในเรื่องการเห็นนรกสวรรค์เทวดาเสียอีกนะครับ ท่านจขกท.ไม่น่าเอาจุดด้อยของตนเองมาเป็นจุดแข็งที่จะไปรื้อเรื่องสำคัญแบบนี้ จากคุณ : คนกรุงธน เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 22:16:05

ความคิดเห็นที่ 20 นรกสวรรค์ นั้น พระศากยะมุณี ทรงสอนไว้ ก่อน หน้าที่จะสอนสัทธรรมปุณฑริกสูตรว่า มีอยู่ต่างสถานที่กัน  เช่น  นรกอยู่ใต้ดิน ห้าร้อยโยช สวรรค์อยู่ เบื้องบน สูงเทียมยอดเขาพระสุเมน เป็นต้น แต่ในพระสัทธรรมปุณฑริกสูตร ทรงสอนว่าอยู่ใสถานที่เดียวกัน เสมอกัน กับที่พระพุทธประทับอยู่ ในปัจจุบันมีผู้ นับถือพุทธศาสนาจำนวนมาก ยึดถือว่า นรกและสวรรค์ มีพร้อมอยู่ในมนุษย์ภูมิ ดังเช่น  นรก คือ สภาพชีวิตที่ต่ำสุด มีจิตใจ ทุกข์ทรมาณ ปวดร้าว รุ่มร้อน                      มีร่างกายหม่นหมอง  หน้าตา ไม่มีราศรี                      มีนิสัยดุร้าย อยากทำร้ายขว้างปา อยากทำลาย แม้แต่คัวเองก็ไม่เว้น                      มีอิทธิพลต่อส่ิงแวดล้อม ในทาง ลบ  และไม่ชวน เข้าใกล้                      มีพละกำลังอ่อนแอ  และไม่มีแรง ที่จะช่วยตัวตน ให้หลุดพ้นจากนรกได้                     ไม่ มีความคิด และสติปัญญา เพราะว่าความทุกข์ทรมาณภายในทำลาย                      ความคิดด้านดี จนหมดสิ้น ส่วน  สวรรค์ คือสถานที่ ที่พวกเทวภูมิอยู่ เทวคือ สภาพชีวิตที่สูงกว่ามนุษย์ภูมิ มีความร่าเริง  เพลิดเพลิน  มีมาร อาศัยอยู่ในภูมินี้  มักเกียจคร้าน ไม่มีมานะ เพราะ  เอาแต่สบายเป็นนิสัย มีอำนาจ  และอิทธิพลเหนือพวกอสุระภูมิ ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนอยู่ใน ชีวิตเราในโลกมนุษย์ทั้งสิ้น แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 55 22:27:40 จากคุณ : boon-m1 เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 22:23:00

ความคิดเห็นที่ 21 เรื่องเห็นผี เห็นเทวดาเนี่ย เป็นเรื่องสามัญธรรมดาในหมู่นักปฏิบัติธรรม ก็ว่าได้ เรียกได้ว่า ต้องเคยสัมผัสกับตัวเองมาแล้วแทบทั้งนั้น ก็ไม่ทราบว่า หลวงพี่มัวเพ้อเจ้ออะไรอยู่ ไปปฏิบัติธรรมบ้างอะไรบ้าง เห็นมัวแต่พล่าม สร้างบาปไปวันๆ จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 22:32:20

ความคิดเห็นที่ 22 เชื่อค่ะ ^^ ฟังเจ้าคุณโชดกเทศน์เรื่องนรก-สวรรค์ แล้วเคลิ้มคล้อยเลยค่ะ ฟังไปก็คิด เอ้อ...จริงด้วย จริงของท่าน ไม่มีเหตุให้โต้แย้งได้เลย รักมาก รักเคารพ ท่านเจ้าคุณโชดกมากมากค่ะ รักหลวงพ่อจรัญด้วยค่ะ จากคุณ : เล็กแห้งตับสด เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 22:52:39

ความคิดเห็นที่ 23 นรกมีจริง สวรรค์มีจริง จากคุณ : ดำดง เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 23:01:30

ความคิดเห็นที่ 24 What am I? ... ไอ้โง่  ตัวอีเดียต  ..มรึงควรไปฝึกสมาธิภาวนาจริงๆให้ได้จิตรวมซะที   จะได้ไม่มาโพสต์กระทู้โง่ๆอยู่แบบนี้เรื่อยๆอีก   รำคาญ ... ยิ่งโพสต์ก็ยิ่งปล่อยขี้เท่อออกมาเรื่อยๆว่า  ไม่มีภูมิรู้ ไม่มีความสามรถอะไรในหลักธรรมะ  ทั้งปริยัติ และ ปฏิบัติ     จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 23:17:52

ความคิดเห็นที่ 25 What am I? เชื่อว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร แต่ผมเชื่อว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร คุยไปก็ไม่รู้เรื่อง   อีกอย่างหนึ่งทำไมชอบอ้างวิทยาศาสตร์นัก วิทยาศาตร์เมื่อห้าสิบปีที่แล้วกับตอนนี้ก็แตกต่างกัน แล้วตอนนี้ก็แตกต่างกับอีกห้าสิบปีข้างหน้า ทำไมจึงเอาศาสนาพุทธที่เป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลไปเทียบกับวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามกาล แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 55 23:45:47 จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 23:27:18

ความคิดเห็นที่ 26 ใครว่า  สวรรค์ในอก นรกในใจ เป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ พิสูจน์ให้ดูซิว่า คนบ้า หรือ มหาโจร ฆ่าคนแล้ว ใจเป็นทุกข์ การทำโทษในโลกมนุษย์มีฉันใด  ในโลกวิญญาณก็ต้องมีฉันนั้น ไม่ว่าที่ไหนๆ ใครทำผิดต้องถูกทำโทษทั้งนั้น ไอ้นั่นมันอารมณ์มันขึ้นๆลงๆอยู่แล้ว เอาแน่นอนไม่ได้ แต่ทำผิดต้องมีโทษแน่ เพราะมันเป็นกฏของความยุติธรรม จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 55 23:31:43

ความคิดเห็นที่ 28 เข้าใจท่านนะคะ ว่า ท่านตั้งคำถามเพื่อให้ มนุษย์ทุกผู้ฉุกคิด แต่คำถาม บ้างครั้งไม่ควร ตั้งเช่นนี้ เนืองเพราะ การกระทำ เพื่อให้ ผู้หนึ่งผู้ใด กล่าววาจารุนแรง และ นำมาซึ่งอคติ จักก่อให้เกิด ผลแห่งตน ซึ่งเท่ากับว่าพระคุณเจ้าเป็นผู้ล่อหลอกให้เกิดการกระทำนั้น อันเป็นการมิควรที่ สงฆ์จักกระทำ เป็นการกระทำ การสอนที่พุทธองค์ ไม่เคยกระทำ อันเป็นแนวทางที่ พุทธะ ทั้งหลายมิควรกระทำ -------------------------------------------------- มาถึงคำตอบ **เราเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่า ทำไมเราจึงเชื่อว่ามีนรก-สวรรค์อย่างที่เป็นสถานที่? และมันอยู่ที่ไหน? ใครสร้าง? สร้างด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม หรือเปล่า?เป็นต้น** ตอบเคยสงสัย ด้วยซ้ำว่ามีจริงหรือ เป็นนิทานหลอกเด็กให้เชื่อเพื่อ ให้เกรงกลัวต่อบาป แต่บัดนี้ ได้มาซึ่งคำตอบแล้ว จึงสิ้นสงสัย สิ้นกังขา ตอบว่า นรก สวรรค์ เป็นสถานที่หรือไม่  ตอบ ทั้งเป็นและไม่เป็น เป็นเพราะ จิตมโนภาพให้เกิดขึ้น ตามแต่จิตจะจินตนา ไม่เป็นเพราะ ไร้รูปลักษณะ ตายตัว -- มันอยู่ที่ใด อยู่ทุกที่ แม้ใจจิต อยู่ทุกที่ แม้ในอวกาศ  อยู่ทุกที่ แม้ที่มนุษย์มิอาจก้าวถึง และไม่อยู่สักที่ หากมนุษย์ไร้ความกริ่งเกรง หากแต่ทุกผู้จักต้องพบพาน แลเยี่ยมเยียน เมื่อมนุษย์ยังคงเวียนว่ายในวัฎะ ทั้งมีโครงสร้างและไร้ซึ่งโครงสร้าง เนืองเพราะ เป็นสัจจวัตถุ ที่ทุกผู้จักพบพาน เมื่อพบพาน เมื่อนั้นมนุษย์ย่อมสิ้นสงสัย สร้างด้วยดินน้ำลมไฟ หรือธาตุทั้ง 4 หรือไม่ ตอบ........ ไ่ม่ใช่ สร้างขึ้นด้วยการกระทำอันเป็นการเพื่อจิต สร้างด้วย จิตที่มุ่งมั่นในการกระทำ หากมุ่งมั่นกระทำดี นรก จักสลายสิ้น --------------------------------------------------------------------------- จากคุณ : ผู้สัญจร เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 00:46:10

ความคิดเห็นที่ 29 วิทยาศาสตร์มันสุดยอดขนาดนั้นเลยหรือครับ จากคุณ : ชลิโต เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 00:50:57

ความคิดเห็นที่ 30 ซึ่งแต่ละชาติหรือแต่ละศาสนา ต่างก็มีความเชื่อว่ามีนรก-สวรรค์เหมือนกัน แต่ว่าจะมีลักษณะไม่เหมือนกัน ซึ่งแล้วจริงๆมันเป็นสถานที่เดียวกันหรือคนละสถานที่? .......................................................... ตอบ ......... เป็นสถานที่เดียวกัน อยู่ที่เดียวกัน แลมีลักษณะไม่เหมือนกันสักผู้ มิใช่ เพียงต่างเพราะชาติ ศาสนา เท่านั้นไม่ ต่างผู้ต่างลักษณะ แต่ที่เดียวกัน ศาสนา ไม่เคยมีอื่น มาเนินนาน มีเพียง ลัทธิ ต่างคติเท่านั้น หากแต่ ธรรมะ เดียวกัน ( ธรรมะ อันหมายถึง ธรรมชาติ ) เนืองเพราะมิเคยมีศาสนา จึงไม่ต่าง เนืองเพราะ มิเคยมีประเทศ จึงมิต่าง หากเพราะมี ประเทศ  หากเพราะมีนิกาย  หากเพราะมีเรา มีเค้า จึงต่างสิ้น หากเพราะ มี จึงต่าง หากเพราะมิมี จึงมิต่าง ------------------------------------------------ ดูก่อน  มนุษย์ทั้งหลาย  นรก  สวรรค์ มิต่างใดเลย หากมนุษย์ มุ่งสู่หนหทางหลุดพ้น ดูก่อน  มนุษย์ทั้งหลาย นรกนั้นมี สวรรค์นั้นมี หากมนุษย์ยังเวียนว่ายในวัฎะ ดูก่อน  มนุษย์ทั้งหลาย นรกนั้นมีจริง สวรรค์นั้นมีจริง แลมิเหมือน มิซ้ำกัน อันเนืองจากการกระทำที่มิซ้ำกัน ดูก่อนมนุษย์ทั้งหลาย เจ้ายังมิิ้สิ้นสงสัย จึงมิกลัวเกรง หนทางแห่งกรรมนั้นฤา ดูก่อน มนุษย์ทั้งหลาย  เหตุที่ต้องพิสูจน์ว่า นรกนั้นมีจริง สวรรค์นั้นมีจริง ฤา เจ้าจึงจักละซึ่งกิเลส ไซร์ จากคุณ : ผู้สัญจร เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 00:57:07

ความคิดเห็นที่ 31 ถ้ามันเป็นสถานที่เดียวกัน ทำไมแต่ละศาสนา จึงไม่มีการกล่าวถึงคนต่างศาสนาเลย? ................................................................ ถามกลับ ว่า จริงรึที่ว่าไม่มีการกล่าวถึงต่างศาสนา ต่างชาติ แน่ใจเพียงใด ฤา สังฆัง ผู้เวียนวน เจ้าหมั่นใจรึ ว่ามิมีเช่นนั้นจริง หาก หมั่นใจ จงพิสูจน์ สิ่งที่เจ้าหมั่นใจ มาสิตามที่เจ้า ชมชอบกล่าวถึง กาลามสูตร พิสูจน์แล้วรึยัง ว่า มิมีการกล่าวถึงจริง? --------------------------------------------------- แต่ถ้าเป็นคนละสถานที่ ก็แสดงว่าโลกนี้มันมีสองมาตรฐาน หรือหลายมาตรฐาน คือนรก-สวรรค์ของใครของมัน ไม่เกี่ยวกัน ใช่หรือไม่? คำถาม เด็กอมมือ คำถามมนุษย์ ผู้จักเสริมแต่งศาสนะ รึ   นรก สวรรค์ จัก 2 มาตราฐาน ได้ฤา ถามจิตของเจ้า ผู้จักเป็น สังฆัง ผู้ศึกษาธรรมะ สิ ว่า จักเป็นเช่นนนั้นฤา นรก  สวรรค์ หากเจ้า ยังคง ใช้ ตรรกะ มนุษย์เพื่อพิจารณาคำตอบ เจ้าจักได้คำตอบแบบมนุษย์ ที่ติดกับ ภาพ ติดกับตัวตน ติดกับ สิ่งที่ต้องเห็น  สิ่งที่ต้องพบ ด้วยตามนุษย์ หากแต่มีอาจพบได้เมื่อ จักพบหนทาง ยิ่งค้นหา ยิ่งมิพบ ปล่อยวางแล้วฤา ปล่อยวางแล้วไซร์ หนทางที่ ไขว่คว้า จักมา ณ เบื้องหน้าตน แม้ มิอยากพบ ก็จักต้องพาน --------------------------------------------------- ถ้าเราจะรู้จักคิดหรือรู้จักสงสัยบ้าง เรื่องหลอกเด็กแบบนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องโจ๊กไปทันที ---------  มนุษย์ ผู้บังอาจ เพียงห่มกายดั่งพุทธะเพียงนั้นเอง จักหาญกล้า กล่าวเยี่ยงนี้ สงฆ์ ผู้ จิตมุ่งหาน หนทางแห่งพุทธะ สงฆ์ ผู้มีหน้าที่ อบรมสิ่งดีงามแก่มวลมนุษย์ จักกล่าวเยี่ยงนี้ฤา มองแลย้อนกลับสู่จิต มองให้ลึกถึงจิตที่จักควร กระทำ ------------------------------------------------------------- ส่วนนรก-สวรรค์ของพุทธศาสนาก็คือ สวรรค์ในอก นรกในใจ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ ผู้มีปัญญายอมรับ ........ นั้นคือ  นรก แล สวรรค์ ที่มนุษย์จักต้องประสบในเบื้องต้น นั้นเพียง สิ่งน้อยนิดที่จักได้พบ เมื่อกระทำ นั้นฤา ที่เจ้าเรียว่า นรก  นั้นฤา ที่เจ้าเรียกว่าสวรรค์ เพียง ความเจ็บปวด เพียงความทรมานจิตใจ เพียงความสำนึก เพียงความสำเนียร ในการกระทำเท่านั้นเองฤา ที่เจ้าจักเรียกว่า นรก นรกที่แท้จริง จักพบเอง เมื่อกระทำ แลจักทราบเองว่า นรกที่ว่า อยู่ในใจ นั้น มิอาจเรียก นรกได้เลย แลเพียงความสุขอันน้อยนิด เพียงความหฤหรรษ์ เพียงความอิ่มเอม  เพียงนั้น ฤา ที่เจ้าจักเรียว่า สวรรค์   สวรรค์ที่แท้ เจ้าจักพบ มนุษย์จักพบเมื่อกระทำ ด้วยความผ่อง เมื่อพบแล้ว จักพบว่า นั้นเพียงน้อยนิดของคำว่า สวรรค์ จากคุณ : ผู้สัญจร เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 01:13:08

ความคิดเห็นที่ 32 พุทธะ............... ผู้ตื่น ไสยะ..................ผู้หลับไหล บัดนี้ เจ้าจักเป็นสิ่งใด ฤา เตโชภิกขุ จากคุณ : ผู้สัญจร เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 01:17:08

ความคิดเห็นที่ 33 นรกกำลังกิดขึ้นในกระทู้นี้แหละ  เอาชนะบ้าง เป็นผู้ถูกบ้าง โกรธบ้าง อะไรบ้าง มันจะมีหรือไม่มีแล้วอย่างไร  ถ้ามันจะมีก็ต้องมี ถ้ามันจะไม่มีก้อไม่มี แล้ววันนี้เราได้เอื้อเฟื้ิอใครไปบ้าง เราได้สร้างความแตกต่างให้กับเพื่อนมนุษย์ กี่ชีวิตแล้วบ้าง จากคุณ : แยกแยะ เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 04:20:40

ความคิดเห็นที่ 34 ท่านครับ อย่าตีความพระธรรมตื้นเขินขนาดนั้น พระจันทร์ดึงดูดให้น้ำขึ้น ลง ไม่ได้ใช้เชือกผูกดึงนะครับ อย่างใช้แต่สิ่งที่มองเห็น ตัดสินว่ามีหรือไม่มี ในโลกนี้มีอะไรที่ไม่รู้เยอะแยะ พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้แจ้งโลก อย่าเอาปัญญาที่มีเพียงน้อยนิดไปตัดสินพระธรรมของท่านเลย สวรรค์ในอก นรกในใจ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อารมณ์ หรือจิต ต้นทางเหตุ ผลที่จะต้องไปนรกหรือ สวรรค์ แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 55 11:29:02 แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 55 11:24:07 จากคุณ : ธรรมชาติไพศาล เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 11:22:10

ความคิดเห็นที่ 35 พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของท่าน หรือ พระพุทธทาสเป็นศาสดาของท่าน จากคุณ : Real~Fine เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 11:26:49

ความคิดเห็นที่ 36 อย่าคิดเพียงแต่เรื่องกาลามสูตรแล้วไม่ทำอะไรเลย กาลามสูตร ท่านสอนไว้ชัดเจนว่า "อย่าเชื่อ เพราะตรงกับความเห็นของตน" แต่อย่างนี้ ท่านกลับเชื่อ เพราะตรงกับ "ความเห็นของตน" , "เพราะผู้ัสอนเป็นอาจารย์ของท่าน" ท่านได้ทำผิดหลักกาลามสูตรสองข้อแสียแล้ว นรกสวรรค์  พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องการทำสมาธิแบบกสิณไว้  ถ้าต้องการเห็น ฝึกอาโลกกสิณให้ได้   อีกอย่างหนึ่ง ผู้ืที่เคยพบเจอ ญาติของตน ที่ตายไปแล้วอยู่ในปรโลกมาหา ก็มีมากมาย   ปฏิจจสมุปบาท ท่านไม่ได้แสดงว่า มีใครตายแล้วกลับชาติมาเกิดโดยบัญญัติ แต่อย่าลืมว่า นามรูปที่ยังมีปัจจัย ก่อให้เกิดนามรูปใหม่ได้ แม้ว่านามรูปเก่าจะดับลงไป จากคุณ : Real~Fine เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 11:29:49

ความคิดเห็นที่ 37 "ถ้ากรรมในอดีตไม่ได้มีแล้วไซร้ อัตตภาพในปัจจุบันก็ไม่พึงมีแก่เรา ถ้ากรรมในปัจจุบันไม่มีไซร้ อัตตภาพในอนาคตก็จักไม่มีแก่เรา" คำพระศาสดาตรัส พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต ปุริสคติสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=1576&Z=1636&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=52 หลักกา่ลามสูตรที่ท่านปฏิบัติไม่ตรง อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน) อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย) อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย) อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน) อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ) อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ) อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน) อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา) อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย) อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ) เพราะอะไร จึงได้เชื่อท่านพระพุทธทาส มากกว่าพระไตรปิฎกที่พระอรหันต์มีพระอานนท์ซึ่งเป็นพระพุทธอุปัฏฐาก ท่านได้ตั้งใจ มอบให้กับพุทธศาสนิกชน จากคุณ : Real~Fine เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 12:17:58

ความคิดเห็นที่ 38 เราเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่า ทำไมเราจึงเชื่อว่ามีนรก-สวรรค์อย่างที่เป็นสถานที่? และมันอยู่ที่ไหน? ใครสร้าง? สร้างด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม หรือเปล่า?เป็นต้น - กายนี้ใครสร้าง จากคุณ : Real~Fine เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 12:20:00

ความคิดเห็นที่ 39 นรก- สวรรค์ ผมว่า 50/50 แต่ผมเชื่อในเวรกรรมทำดี มากกว่า จากคุณ : chelsit เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 12:31:58

ความคิดเห็นที่ 40 ภพมีปัจจัยหรือเปล่า ขอรับหลวงพี่ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 12:49:37

ความคิดเห็นที่ 41 ความเป็นจริง สวรรค์คือความสุข นรกคือทรมาร บางกลุ่มมอบความสุข อายุ พลัง อีกกลุ่มมอบโรคร้าย ความเจ็บปวด กลุ่มเหล่านี้เข้าใกล้จะรับรู้ได้ จากคุณ : เจ้าสายฟ้า เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 14:36:51

ความคิดเห็นที่ 43 คิดว่าที่ผ่านมา ท่าน จขกท. คงไม่เคยอ่านกระทู้คนอื่นๆแล้วพิจารณาตามบ้างเลย แล้วท่านจะมาแชร์ความคิด ความเห็นในบอร์ดสาธารณะทำไม ที่ผ่านมาท่านเห็นประโยชน์อะไรบ้างรึ กับกระทู้ที่ท่านตั้ง กับคำตอบจากผู้คนทั้งหลายนี้ จากคุณ : subyaey เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 15:14:48

ความคิดเห็นที่ 44 เลิกสนใจเรื่องไร้สาระนี้ซะทีเถอะหลงพี่ อจินไตย พระผู้มีพระภาคสอนไว้ว่าอย่าไปตามดูตามรู้ จะบ้าไปเปล่าๆ เร่งปฏิบัติธรรมในขณะที่ยังปฏิบัติได้ดีกว่าครับ สนใจเรื่อง มรรค 8 อริยะสัจ 4 ขันธ์ 5 ไตรลักษณ์ แล้วเร่งปฏิบัติเถอะท่าน จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 17:49:05

ความคิดเห็นที่ 45 เอ???ถามไปว่า ทำไมจึงเชื่อว่ามีนรกสวรรค์อย่างที่เป็นสถานที่ แต่ไม่เห็นมีใครตอบมาตรงๆเลยว่าเชื่อตามตำรา หรือเชื่อตามครูอาจารย์ สงสัยกลัวเสียหน้า หรือกลัวหลักกาลามสูตร แต่ก็มีบางคนอ้างว่าพิสูจน์ได้แล้ว  และพยายามอธิบายนรกสวรรค์ให้มันคลุมเคลือ เพื่อให้เข้าใจอย่างชัดเจนไม่ได้ สงสัยจะกลัวผิด บางคนก็พยายามชักจูงให้กลับมาเชื่อตามคนอื่น ซึ่งก็ขอขอบใจที่มีเมตตา แต่ก็ขอให้มีเมตตาที่ประกอบด้วยปัญญาสักหน่อย แต่ก็พอเถอะกระทู้นี้ ไปกระทู้ต่อไปดีกว่า คือเรื่อง พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน? ซึ่งแรงกว่ากระทู้นี้อีก http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11849217/Y11849217.html จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 19:44:59

ความคิดเห็นที่ 46 นมัสการหลวงพ่อเตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เหตุที่ผมเชื่อเพราะ .... ๑.ศรัทธาในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๒.มีประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยเห็น เคยได้ยิน และรับรู้ เรื่องราวสวรรค์ครับ(ความเชื่อส่วนบุคคลจากประสบการณ์ตรง) จากคุณ : สติ เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 20:00:59

ความคิดเห็นที่ 47 **แต่ก็มีบางคนอ้างว่าพิสูจน์ได้แล้ว  และพยายามอธิบายนรกสวรรค์ให้มันคลุมเคลือ เพื่อให้เข้าใจอย่างชัดเจนไม่ได้ สงสัยจะกลัวผิด** ทุกสิ่งกระจ่างชัด ทุกสิ่งชัดเจน หากมิมีอคติ เพียงแค่นี้ ยังมิจักเข้าใจรึ ภิกขุ ผู้สงกา เจ้า จิตเจตนา ต้องการ ล่อเพื่อให้ผู้คน จักปรามาศ บุรุษ ผู้ห่มกายดั่งพุทธะฤา --------------------------------------------------------------- [b] ถามเจ้า ผู้คิดว่า ข้าจักเหนือผู้ใด " แต่ก็มีบางคนอ้างว่าพิสูจน์ได้แล้ว  และพยายามอธิบายนรกสวรรค์ให้มันคลุมเคลือ เพื่อให้เข้าใจอย่างชัดเจนไม่ได้ สงสัยจะกลัวผิด" คำพูด ภาษาที่ส่อเสียด คำพูด ภาษาที่แหนบแนม จักเป็นคำกล่าว ของ ผู้ที่ได้ฉายาว่า ผู้ออกบวชแล้วฤา เพียงนี้ ก็จักสิ้นเจตนาที่เจ้าจักต้องการแต่แรก เพียงเพราะกาลนี้ฤา จิตที่ ตั้งมั่นจะสั่งสอน แลชี้แจ้งให้มนุษย์มองในหลายแง่มุม จักสิ้นเพียง เพราะ ภาษาที่แสดงผิดเพี้ยน รึ ------------------------------------------------ จากคุณ : ผู้สัญจร เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 23:25:56

ความคิดเห็นที่ 48 กระทู้นี้ สำแดง กิริยาที่ผิดเพี้ยนจาก ผู้ทรงศีล ผิดเพี้ยนจากจิตเจตนาแต่แรกเดิม เพียงเพราะ กู ตัวู ความคิดกู น่าเวทนา นัก เพียงนี้ เอง ธรรมะ จักผิดเพี้ยน เพียงแค่กระทำนี้ แล้วกาลพ้นผ่าน เนินนาน นับพัน จักมิเพี้ยนผิดฤา ----------------------------------------- ต่างเกิดรากเหง้าเดียวกัน หนึ่งเบ่งบาน  หนึ่งเป็นโคลนตม อาหาร เต่า ปู เพียง การกระทำเพียงน้อยนิด จักทำให้ เจตนานที่ตั้งมั่น ล้มเหลว เพียงเพราะ  กู เวทนายิ่งนัก มนุษย์ ผู้แต่งกายเยี่ยงพุทธะ แต่มิมีจิตเยี่ยงพุทธ ศีล อันน้อยนิด ธรรมะ พื้นฐาน ยังมิอาจควบคุม สติได้เพียงเพราะ ตัวกู แล้วเจ้าจักพร่ำสอนผู้ใด ฤา จากคุณ : ผู้สัญจร เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 23:31:16

ความคิดเห็นที่ 49 ความคิดเห็นที่ 35 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของท่าน หรือ พระพุทธทาสเป็นศาสดาของท่าน จากคุณ : Real~Fine เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 55 11:26:49 [แก้ไข] ถูกใจ : คนกรุงธน /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// ระวัง  การ อ้าง คำหล่าว ของท่านพุทธทาส ครับ โดยเฉพาะ " ใครก็ตาม  ใน ห้องศาสนา" "นี้" ดู http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11845497/Y11845497.html ทาสของพระพุทธเจ้า พระองค์นี้ เป็นอย่างไร? //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// ท่านพุทธทาส  เสนอไว้ว่า                         --- ไม่ทำอย่างที่สอน  ไม่ต้องมาอ้อนเรียกอาจารย์--- ต้องไม่ขัดกับ "ข้อความหลังปก หนังสือเล่มนี้ด้วย" ๒๔๗๕ - การถือหลักไม่มีบุคคลเป็นอาจารย์นี้ เนื่องด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ (๑) เรายังไม่สามารถหาพบบุคคลที่ควรเรียกว่า อาจารย์ในสมัยที่การปฏิบัติกำลังเสื่อมโทรมและปั่นป่วน เช่นที่กำลังเป็นอยู่บัดนี้ (๒) แม้หากจะหาบุคคลเช่นว่านั้นได้ ก็ยังมองเห็นโทษของการที่นักปฏิบัติ จะติดยึดมั่น ในบุคคลที่เป็นอาจารย์จนมีจิตใจไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติในขั้นที่เป็นการดับทุกข์ในระดับสูง และ (๓) พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ธรรมและวินัยที่ตถาคตแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว จักอยู่เป็นครูหรือเป็นอาจารย์ สำหรับท่านทั้งหลาย ในเมื่อตถาคตได้ล่วงลับไปแล้ว ดังนี้ "ทางสำนักจึงได้วางหลักว่า ไม่มีบุคคลใดเป็นอาจารย์ นอกจากหลักธรรมะและวินัย ที่ต่างคนก็ได้ศึกษามาเพียงพอแล้ว ต่างก็ทำตนเป็นกัลยาณมิตรให้แก่กันและกัน ในการปฏิบัติสืบไป โดยปราศจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งตั้งตัวเป็นอาจารย์ประจำสำนักสืบมา จนกระทั่งบัดนี้" พิจารณา //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// "ทางสำนักจึงได้วางหลักว่า ไม่มีบุคคลใดเป็นอาจารย์ นอกจากหลักธรรมะและวินัย ที่ต่างคนก็ได้ศึกษามาเพียงพอแล้ว ต่างก็ทำตนเป็นกัลยาณมิตรให้แก่กันและกัน ในการปฏิบัติสืบไป โดยปราศจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งตั้งตัวเป็นอาจารย์ประจำสำนักสืบมา จนกระทั่งบัดนี้" //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 08:20:42

ความคิดเห็นที่ 50 พระคุณเจ้าต้องการคำตอบแบบมนุย์ที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ รึ? 1.นรกสวรรค์ มี( สำหรับคนที่เชื่อว่ามี) 2. อยู่ที่ใด  อยู่ในจังหวัดหนึ่งของประเทศ นั่งรถประจำทาง ................ เมื่อถึงจังหวัด......ให้ต่อรถไปอีกประมาณ 35 นาที จากนั้นเดินลงบันไดไปประมาณ 21 ขั้น เดินตรงไปอีกนิด แล้วเลี้ยวซ้าย เข้าประตูตรงกลาง 3.ใครเป็นผู้สร้าง  พระเจ้าเป็นผู้ว่าจ้าง บริษัทหนึ่งเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง 4. ส้รางด้วยสิ่งใด  สร้างด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง ใช้เหล็กอย่างดี อิฐ ปูนอย่างดี ฉาบด้วปูนแห้งช้า ห้องพิเศษปูกระเบื้องอย่างดี ห้องทั่วไป ไม่มีกระเบื้อง 5.แต่ละชาติ แต่ละศาสนานรก  สวรรค์ ต่างกัน แต่ละประเทศมีนรกเป็นของตัวเอง สร้างตามกำลังทรัพย์ของผู้รับผิดชอบกรรมของประชาชนของตน 6.ถ้าบอกว่ามี 2 มาตราฐาน ก็รับสินบนไม่ได้ มีห้องพิเศาก็ไม่มีใครใช้ เงินทองในการให้พักก็ไม่มี นรกสวรรค์ก็ไม่มีรายได้ แล้วจะสร้างเพิ่มได้ยังไง คนยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวันๆ 7.นรกสวรรค์อยู่ในอก อยู่ในใจ ถ้าบอกแบบนั้นก็ไม่มีใครไปเยี่ยมเยียน รายได้จะมาจากที่ไหน พอทำบาป ไปสำนึกผิด ให้ใจหมองสัก 2 วันก็หมดบาปแล้ว ที่สร้างไว้ก็ไม่ได้ใช้สิ ------------------------------------------- แบบนี้ใชหรือไม่คำตอบที่พระคุณเจ้าต้องการ คำตอบที่พิสูจน์ได้ ด้วยวิทยาศาสตร์ คำตอบที่พระคุณเจ้าบอกต้องชัดเจน คลุมเครือไม่ได้ ถ้าตอบแบบธรรมะ ถือว่าไม่แน่ใจ กลัวผิด แบบนี้หรือที่พระคุณเจ้าต้องการ คำตอบสำหรับคำถามทุกๆคำถามที่ตั้งว่า จากคุณ : ผู้สัญจร เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 10:08:28

ความคิดเห็นที่ 51 *00* จากคุณ : จอมยุทธ์คู่อินทรี เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 09:06:46

ความคิดเห็นที่ 52 *01* จากคุณ : จอมยุทธ์คู่อินทรี เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 09:07:05

ความคิดเห็นที่ 53 *02* จากคุณ : จอมยุทธ์คู่อินทรี เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 09:07:20

ความคิดเห็นที่ 54 *03* จากคุณ : จอมยุทธ์คู่อินทรี เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 09:07:38

ความคิดเห็นที่ 55 *04* จากคุณ : จอมยุทธ์คู่อินทรี เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 09:07:54

ความคิดเห็นที่ 56 *05* จากคุณ : จอมยุทธ์คู่อินทรี เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 09:08:09

ความคิดเห็นที่ 57 *06* จากคุณ : จอมยุทธ์คู่อินทรี เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 09:08:25

ความคิดเห็นที่ 58 *07* จากคุณ : จอมยุทธ์คู่อินทรี เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 09:08:37