"สันติภาพและสงคราม" วัตถุประสงค์ของสงครามในอิสลาม
|
|
ขียนโดย เชคยูซุฟ อัลก็อรฎอวีย์ (ลุกมานุลหะกีม แปล)
Imageอิสลามได้กำหนดวัตถุประสงค์ของสงครามไว้ดังนี้
1) ตอบโต้การรุกราน
วัตถุประสงค์ของสงครามอันดับแรกที่อิสลามกำหนดไว้ก็คือ การตอบโต้การรุกรานและระงับการบุกรุกด้วยกำลัง ทั้งที่เป็นการรุกรานที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา มาตุภูมิหรือแผ่นดิน
การรุกรานที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา เช่น การที่ชาวมุสลิมถูกกดขี่ในเรื่องศาสนาและความเชื่อ ถูกก่อกวนและขัดขวางมิให้ปฏิบัติตามศาสนกิจ ถูกจำกัดและขัดขวางมิให้มีการเผยแผ่อิสลาม หรือนักเผยแผ่ได้รับอันตรายถึงขั้นถูกฆ่า เป็นต้น เช่นเดียวกันกับการรุกรานในแผ่นดินและมาตุภูมิของชาวมุสลิม และการรุกรานที่เป็นภัยต่อชีวิต การยึดครองปล้นสดมภ์ทรัพยากร การย่ำยีศักดิ์ศรีสิ่งที่เป็นที่เคารพนับถือของชาวมุสลิม ซึ่งเป็นสิ่งที่มุสลิมทุกคนจำเป็นต้องลุกขึ้นตอบโต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิสลามถือว่าประเทศของมุสลิมถือเป็นแผ่นดินอันเดียวกัน หากส่วนใดส่วนหนึ่งถูกรุกราน มุสลิมทั่วโลกจำเป็นต้องพิทักษ์รักษาป้องกัน
อิส ลามยังสั่งกำชับให้มุสลิมทุกคนปกป้องคนต่างศาสนิกที่ยอมอยู่ภายใต้การปกครอง ของรัฐอิสลามอีกด้วย โดยที่อิสลามถือว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นประชากรในรัฐอิสลามเช่นเดียวกันและ การที่พวกเขายอมสวามิภักดิ์ภายใต้การปกครองของอิสลามนั้น รัฐอิสลามจึงจำเป็นต้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาเสมือนที่รัฐอิส ลามให้การคุ้มครองแก่ชาวมุสลิมทุกประการ
เช่น เดียวกันกับกรณีของชาวต่างศาสนิก ที่กระทำสนธิสัญญากับรัฐอิสลาม พวกเขาจะต้องได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกัน เพราะการทำสนธิสัญญาย่อมหมายถึง การเกื้อกูลระหว่างกันทั้งในยามปกติหรือภาวะคับขัน ช่วงสันติหรือช่วงสงคราม ด้วยเหตุนี้เมื่อชาวกุเรชได้รุกรานเผ่าคุซาอะฮฺ ซึ่งเป็นเผ่าที่เป็นคู่สัญญากับท่านนบีฯมุหัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ท่านจึงออกคำสั่งยกกองกำลังเพื่อเปิดนครมักกะฮฺทันที
อิส ลามจึงสั่งกำชับให้มุสลิมตอบโต้การรุกรานและระงับความอยุติธรรมไม่ว่าจะมา จากฝ่ายไหนหรือจะเป็นใครก็ตาม อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงกล่าวไว้ในอัลกุรอาน ความว่า :
และพวกเจ้าจงต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ ต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเจ้าและจงอย่ารุกราน แท้จริงอัลลอฮฺทรงไม่ชอบผู้ที่รุกราน (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 190)
2 ) ระงับการแพร่ขยายของฟิตนะฮฺ (การขดขี่ในเรื่องศาสนา) หรือปกป้องพิทักษ์การเผยแผ่อิสลาม
วัตถุ ประสงค์ของสงครามในอิสลามอีกประการหนึ่งที่ระบุไว้ในอัลกุรอานคือ เพื่อระงับการแพร่ขยายของฟิตนะฮฺ ( การขดขี่ในเรื่องศาสนา ) ซึ่งได้ปรากฎใน 2 โองการในอัลกุรอาน
โองการแรก ความว่า :
และจงสู้รบกับพวกเขาจนกว่าไม่มีฟิตนะฮฺอีกต่อไป และจนกว่าศาสนาจะกลับมาเป็นสิทธิแห่งอัลลอฮฺ หากแม้นพวกเขาขอเลิกรบ ดังนั้น จงอย่าละเมิดยกเว้นกับบรรดาผู้ที่รุกล้ำอย่างอธรรม (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 193)
โองการที่สอง ความว่า :
และพวกเจ้าจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าฟิตนะฮฺในศาสนาจะไม่ปรากฏขึ้น และจนกว่าศาสนาจะกลับเป็นสิทธิแห่งอัลลอฮฺ ถ้าหากพวกเขาหยุดยั้ง (การละเมิด) แน่นอนอัลลอฮฺนั้นทรงเห็นในสิ่งที่พวกเขากระทำ (อัล-อันฟาล :39)
อัลกุรอานได้จำกัด วัตถุประสงค์ของสงครามในอิสลามเพียงเพื่อยับยั้งการคุกคามด้านศาสนา ซึ่งมีความหมายที่ครอบคลุมการคุกคามในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าต่อชีวิต ครอบครัว ทรัพย์สินหรือบุคคลที่รัก
ฟิต นะฮฺ ตามความหมายด้านภาษาแล้วหมายถึง การทดสอบ คนอาหรับมักจะพูดว่า กระทำฟิตนะฮฺทองคำ ซึ่งหมายถึง การเผาไหม้ทองคำเพื่อทดสอบและคัดสรรทองที่ดีและมีคุณภาพ ดังนั้นคำว่าฟิตนะฮฺในอัลกุรอาน จึงมีความหมายว่า การที่ชาวมุสลิมได้รับการขดขี่ ข่มเหง การประทุษร้ายต่อร่างกายและจิตใจด้วยวิธีการต่างๆ นานา เพื่อให้พวกเขาละทิ้งศาสนาอิสลาม
ช่วง ที่บรรดาผู้ศรัทธาถูกกดขี่ข่มเหงจากชาวกุเรชที่นครมักกะฮฺในอดีต อัลกุรอานก็ได้กล่าวถึงพวกเขาเพื่อปลอบใจและให้ขวัญกำลังใจแก่พวกเขา ด้วยบทอัลกุรอาน ความว่า :
อะลีฟ ลาม มีม มนุษย์คิดหรือว่าพวกเขาจะถูกปล่อยให้พูดว่าเราศรัทธาแล้ว โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกทดสอบ (ฟิตนะฮฺ ) กระนั้นหรือ
แท้จริง เราได้ทดสอบประชาชาติก่อนหน้าพวกเขาแล้ว ดังนั้นอัลลอฮฺจะทรงจำแนกให้รู้แจ้งถึงบรรดาผู้สัตย์จริงและจะทรงจำแนกถึง ผู้กล่าวเท็จ (อัล-อังกะบูต : 1-3)
อัล ลอฮฺจึงพยายามอธิบายให้บรรดาผู้ศรัทธาทราบว่า การที่ศรัทธาชนได้รับการทรมานเนื่องจากที่พวกเขายึดมั่นในศาสนานั้น เป็นเรื่องที่ได้เกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์ ที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กระทำการอย่างทารุณต่อศรัทธาชน อัลกุรอานยังได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นแก่ศรัทธาชนกลุ่มหนึ่งในอดีตกาลที่พวก เขาถูกโยนเข้าไปในกองไฟ ท่ามกลางรู้เห็นเป็นใจจากบรรดาอาชญากรเพียงเพื่อทดสอบเขาเหล่านั้นถึงการยึด มั่นในศาสนา โดยอัลกุรอานได้ระบุไว้ ความว่า :
แท้จริงบรรดาผู้ที่สร้างฟิตนะฮฺ (กดขี่ ผู้คน) บรรดาศรัทธาชนทั้งชาย หญิง แล้วพวกเขามิได้สำนึกผิดกลับตัวนั้น พวกเขาจะได้รับโทษแห่งนรกญะฮันนัม (นรกอเวจี) และพวกเขาจะได้รับการลงโทษแห่งการเผาไหม้ (อัล-บุรูจญ์ : 10)
ผู้ที่สร้างฟิตนะฮฺตามความหมายในโองการดังกล่าวคือ ผู้ที่กดขี่และทรมานศรัทธาชนด้วยการโยนพวกเขาเข้าไปในกองเพลิงท่ามกลางสักขี พยานของพวกเขา
ด้วยเหตุดังกล่าว ฟิตนะฮฺในเรื่องของศาสนา จึงเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่งสำหรับชีวิตมนุษย์ เพราะเป็นการจำกัดอิสรภาพของมนุษย์ที่จะเลือกวิถีชีวิตที่ตนเองกำหนด โดยทั่วไปแล้วบรรดาผู้มีอำนาจต่างก็พยายามที่จะบังคับความรู้สึกของมนุษย์ มนุษย์ไม่มีสิทธิปฏิบัติในสิ่งที่ตนเองเลื่อมใสศรัทธา จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากผู้ที่มีอำนาจก่อน เสมือนกับกษัตริย์ฟิรเอาน์ (ฟาโรห์) ที่เคยข่มขู่กลุ่มนักมายากลที่ประกาศตนเป็นผู้ศรัทธาในพระเจ้าของนบีมูซาและ นบีฮารูน
ความว่า : ฟิรเอาน์ (ฟาโรห์) กล่าวว่า พวกเจ้าศรัทธาต่อเขา (มูซา) ก่อนที่ข้าจะอนุมัติ แก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ (อัล-อะอฺรอฟ :123)
โองการดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่ใครคนหนึ่งจะเลื่อมใสศรัทธาในเรื่องใดเรื่อง หนึ่ง โดยไม่ผ่านการอนุมัติของฟิรเอาน์ (ฟาโรห์)
ด้วยการนี้ จึงไม่แปลกที่อัลกุรอานจะถือว่า การสร้างฟิตนะฮฺจะมีผลกระทบที่ใหญ่โตและร้ายแรงยิ่งกว่าการฆ่า
ผลกระทบของฟิตนะฮฺ หากมองในแง่ของเนื้อหาแล้ว จะร้ายแรงยิ่งกว่าการฆ่า และหากมองในแง่ของปริมาณก็จะใหญ่โตยิ่งกว่าการฆ่าเช่นเดียวกัน อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ในอัลกุรอาน
ความว่า : พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับเดือนต้องห้ามซึ่งการสู้รบในเดือนนั้น จง กล่าวเถิดว่าการสู้รบในเดือนดังกล่าวเป็นบาปที่ใหญ่หลวง แต่การขัดขวางออกจากแนวทางของอัลลอฮฺและการปฏิเสธการศรัทธาต่อพระองค์ และการกีดกันมิให้เข้ามัสยิดหะรอม ตลอดจนการขับไล่ชาวมัสยิดหะรอมออกไปนั้นเป็นบาปที่ใหญ่โตกว่า ณ ที่อัลลอฮฺ และการฟิตนะฮฺนั้นใหญ่โตยิ่งกว่าการฆ่า ( อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 217)
โองการดังกล่าวเป็นการบอกเล่าชาวมุชริกีนที่ได้โหมโรมประโคมข่าวเกี่ยวกับ การที่ชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งได้ฆ่าชาวมุชริกีนคนหนึ่งในเดือนที่ต้องห้ามโดย ไม่เจตนา อัลกุรอานจึงยอมรับว่าการฆ่าคนในเดือนที่ต้องห้ามนั้นเป็นบาปที่ยิ่งใหญ่ แต่อัลกุรอานยังบอกด้วยว่า การที่ชาวมุชริกีนได้ขัดขวางชาวมุสลิมมิให้นับถือศาสนาของอัลลอฮฺ การกีดกันพวกเขามิให้เข้ามัสยิดหะรอม ตลอดจนการขับไล่พวกเขาออกจากมาตุภูมินั้น ถือเป็นการกระทำบาปที่ยิ่งใหญ่กว่า ด้วยเหตุนี้อัลกุรอาน จึงกล่าวว่า และการฟิตนะฮฺนั้นใหญ่โตยิ่งกว่าการฆ่า
ดังนั้นความหมายของฟิตนะฮฺในอัลกุรอานนั้นคือ การที่บรรดาศรัทธาชนได้รับการทรมาน กดขี่ ข่มเหง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟิตนะฮฺที่ชาวกุเรชได้ปฏิบัติต่อท่านนบีฯ(ขอความสันติสุข จงมีแด่ท่าน) และบรรดาสาวกทั้งหลายที่นครมักกะฮฺ ตลอดระยะเวลา 13 ปี ที่บรรดาศรัทธาชนต้องได้รับการทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ถูกสกัดกั้นมิให้คบค้าสมาคมกับสังคมภายนอก และห้ามมีการติดต่อทางธุรกิจ จนกระทั่งพวกเขาต้องปลีกตัวเองออกจากสังคมโดยต้องอาศัยตามภูเขาและกินใบไม้ แทนอาหาร ในขณะที่ผู้ศรัทธาที่มีฐานะด้อยกว่าหรือยากจนก็ถูกทรมานจนเสียชีวิต พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานกับพฤติกรรมอันไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ จนกระทั่งต้องระเหเร่ร่อน อพยพออกจากมาตุภูมิของตนเองโดยวิธีการอยุติธรรม เพียงเพราะพวกเขากล่าวและศรัทธาว่า พระเจ้าของเรา คือ อัลลอฮฺ
นี่คือ ความหมายอันแท้จริงของคำว่าฟิตนะฮฺ ที่ปรากฏในอัลกุรอาน
ฟิตนะฮฺ จึงมีผลกระทบที่ใหญ่โตและร้ายแรงยิ่งกว่าการฆาตรกรรม เพราะฆาตรกรรมเป็นอาชญากรรมทางร่างกายและชีวิตที่เป็นเพียงวัตถุเท่านั้น แต่ฟิตนะฮฺเป็นการก่ออาชญากรรมทางความรู้สึก ความคิดและจิตวิญญาณซึ่งมีผลที่ร้ายแรงทั้งเชิงลึกและเชิงกว้างกว่า อาชญากรรมทางร่างกายเป็นแน่แท้
สรุป แล้ว สงครามในอิสลามเป็นสิ่งอนุมัติโดยมีเป้าประสงค์เพื่อยับยั้งการฟิตนะฮฺ ระงับการกดขี่ข่มเหงในเรื่องศาสนา ปราบปรามการกระทำที่จะนำไปสู่การบังคับขู่เข็ญมนุษย์ด้วยกันไม่ว่าทางด้าน ร่างกายและจิตใจ ตลอดจนพิทักษ์อิสรภาพของการเผยแผ่และผู้ที่เผยแผ่อิสลาม ทั้งนี้เพื่อให้ผู้คนมีสิทธิที่จะเลือกศรัทธาหรือปฏิเสธศาสนาตามความสมัครใจ ของตนเอง เพราะอิสลามยึดหลักว่า
ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา (อัล-บะเกาะเราะฮฺ :256)
ดังนั้นผู้ใดปฏิบัติตามแนวทางถูกต้อง แท้จริงเขาดำเนินตามแนวทางถูกต้องเพื่อตัวของเขา และผู้ใดหลงทาง แท้จริงก็หลงทางเพื่อตัวของเขาเช่นเดียวกัน (ยูนุส :108)
ส่วนที่มีนักวิชาการมุสลิมในยุคแรกได้ให้คำอธิบาย ฟิตนะฮฺ ด้วยความหมายว่า การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺหรือการปฏิเสธอัลลอฮฺนั้น ถือเป็นการอธิบายที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน ซึ่งตามหลักวิชาการแล้ว การอธิบายอัลกุรอานด้วยอัลกุรอานเอง ถือเป็นการอธิบายที่มีคุณค่าและถูกต้องที่สุด ดังนั้นหลังจากที่มีการศึกษาอย่างถี่ถ้วนแล้ว พบว่าฟิตนะฮฺที่ปรากฏในอัลกุรอานมีความหมายว่า การที่ศรัทธาชนถูกทำร้ายไม่ว่าทางร่างกายและจิตใจ การขดขี่บังคับให้พวกเขาละทิ้งศาสนาอิสลาม การก่อกวนและขัดขวางมิให้พวกเขาประกอบตามศาสนกิจ หรือการขับไล่พวกเขาออกจากมาตุภูมิ
3) ยื่นมือให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อ่อนแอและเดือดร้อน
วัตถุ ประสงค์ประการหนึ่งของสงครามในอิสลามคือ เพื่อยื่นมือให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อ่อนแอและผู้เดือดร้อนจากการกดขี่ข่มเหง ของผู้มีอำนาจ เพราะโดยปกติวิสัยของมนุษย์ผู้มีอำนาจ มักจะรังแกผู้ที่ด้อยกว่า พวกเขาจะทำลายเกียรติยศและศักดิ์ศรีของมนุษย์ด้วยกันพร้อมกับการวางก้าม เที่ยวรุกรานคนอื่นด้วยเหตุผลว่า พวกเขามีกองกำลังและอำนาจที่เหนือกว่าเท่านั้น
ด้วยเหตุดังกล่าว หน้าที่ของมุสลิมทุกคนคือ ต้องรีบยื่นมือให้ความช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอเหล่านั้นให้พ้นจากเงื้อมมือของ ผู้ลุแก่อำนาจ อัลกุรอานได้กล่าวไว้
ความ ว่า : ด้วยเหตุผลประการใดหรือที่พวกเจ้าไม่สู้รบในหนทางของอัลลอฮฺและหนทางของ บรรดาผู้อ่อนแอไม่ว่าชายและหญิงหรือเด็กๆ ที่กล่าวว่า โอ้พระเจ้าของเรา โปรดพาพวกเราให้ออกไปจากเมืองนี้ ซึ่งผู้คนได้ข่มเหงรังแก และได้โปรดส่งผู้คุ้มครองเราและช่วยเหลือพวกเราด้วยเทอญ (อัน-นิสาอฺ :75)
ท่านลองสังเกตสำนวนอัลกุรอานที่เชิญชวนบรรดามุสลิม ให้ลุกขึ้นต่อสู้ด้วยสำนวนที่ปลุกเร้า จะเห็นได้ว่าอัลลอฮฺ ได้ลำดับความสำคัญของการต่อสู้ในหนทางของผู้อ่อนแออยู่ในระดับเดียวกันกับ การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ และถ้าหากเราไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วจะพบว่าการต่อสู้ในหนทางของผู้อ่อนแอก็ คือ ส่วนหนึ่งของการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เนื่องจากเป้าประสงค์สูงสุดของการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺนั้น เพื่อให้สาส์นแห่งอัลลอฮฺสูงส่ง สาส์นแห่งอัลลอฮฺคือสาส์นแห่งสัจธรรมที่ปฏิเสธความเท็จ สาส์นที่อยู่บนพื้นฐานแห่งความยุติธรรมที่ต่อต้านความอยุติธรรม และการให้ความช่วยเหลือผู้อ่อนแอแท้จริงแล้วก็คือ ความพยายามที่จะดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมบนผืนแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้อัลกุรอานจึงได้กล่าวในโองการหลังจากนั้น
ความว่า : บรรดา ผู้ศรัทธาได้ทำการสู้รบในหนทางของอัลลอฮฺ แต่บรรดาผู้ปฏิเสธได้ทำการสู้รบในหนทางของอัฏ-ฏอฆูต (สิ่งที่ถูกกราบไหว้บูชาที่นอกเหนือจากอัลลอฮฺ )
ด้ายเหตุดังกล่าว มุสลิมจึงถูกเรียกร้องให้ยื่นมือมอบความช่วยเหลือแก่ผู้ที่อ่อนแอและผู้ที่ ได้รับการขดขี่ ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ใช่มุสลิมก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น มุสลิมถูกกำชับให้ความช่วยเหลือแก่สัตว์ที่ประสบความเดือดร้อนเท่าที่สามารถ ปฏิบัติได้ ไม่ว่าความเดือดร้อนเหล่านั้นมาจากการกระทำของมนุษย์หรืออันเนื่องมาจากภัย พิบัติต่างๆ ดังกรณีเกิดภาวะภัยแล้งหรือขาดแคลนน้ำ เป็นต้น
4) ให้บทเรียนแก่ผู้ละเมิดสัญญา
ส่วน หนึ่งของวัตถุประสงค์ของการทำสงครามในอิสลาม คือ ให้บทเรียนแก่ผู้ละเมิดสัญญา สั่งสอนแก่ผู้ที่รักษาสัญญาตราบใดที่ยังประโยชน์แก่พวกตนเท่านั้น ยามใดก็แล้วแต่ที่ไม่บังเกิดผลดีแก่พวกเขา และพวกเขาถือไพ่ที่เหนือกว่า พวกเขาก็จะฉีกสัญญาทันทีและถือว่าสัญญาเหล่านั้นเป็นเพียงเศษกระดาษที่ไร้ คุณค่าเท่านั้นเอง
มนุษย์ในลักษณะเช่นนี้ ไม่สมควรที่จะปล่อยให้เหิมเกริมบนหน้าแผ่นดิน หาไม่แล้วพวกเขาก็จะหยิ่งผยองและสร้างความเดือดร้อนบนแผ่นดินอย่างแน่นอน
แท้จริงแล้วชาวมุสลิมในยุคท่านนบีฯ (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ก็ถูกละเมิดสัญญาเช่นเดียวกัน ดังกรณีที่ชาวยิวได้เคยทำสัญญากับท่านนบีฯมุหัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) โดยได้กำหนดภาระหน้าที่ที่พึงมีระหว่างกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเกื้อกูลอุด หนุนและให้ความช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน แต่เผ่ายิวในสมัยนั้นไม่ว่าจะเป็นเผ่าก็อยนุกออฺ เผ่านาฏีร และเผ่ากุร็อยเศาะฮฺต่างก็ละเมิดสัญญาที่เคยกระทำไว้กับท่านนบีฯ (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) โดยที่พวกเขาร่วมมือกับบรรดามุชริกีนรุกรานและโจมตีชาวมุสลิมที่อยู่ในนครมะ ดีนะฮฺทั้งๆ ที่ชาวมุสลิมกำลังตกอยู่ในภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาอย่างมาก
ด้วยเหตุดังกล่าวท่านนบีฯ (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) จึงจำเป็นต้องประกาศสงครามกับพวกเขาหลังจากเสร็จสิ้นการทำสงครามใหญ่เกือบ ทุกครั้ง หลังจากสงครามบัดรฺ ท่านนบีฯต้องประกาศสงครามกับชาวยิวเผ่าก็อยนุกออฺ หลังจากสงครามอุหุด ท่านนบีฯต้องประกาศสงครามกับชาวยิวเผ่านาฏีรและหลังจากสงครามพลพรรค (อัหซาบ) ก็ต้องประกาศสงครามกับชาวยิวเผ่ากุร็อยเศาะฮฺ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว อัลกุรอานได้กล่าวถึงพฤติกรรมอันฉ้อฉลของพวกเขา
ความ ว่า : แท้จริงสัตว์โลกที่ชั่วร้ายยิ่ง ณ อัลลอฮฺนั้น คือ บรรดาผู้ที่เนรคุณดังนั้นพวกเขาจึงไม่ศรัทธา คือบรรดาผู้ที่เจ้าได้ทำสัญญาไว้กับพวกเขาและพวกเขาก็ทำลายสัญญาในทุกครั้ง โดยที่พวกเขาหาเกรงกลัวไม่ ถ้าหากเจ้าสามารถจับตัวเขาไว้ได้ในการรบ ก็จงขับไล่ผู้ที่อยู่ข้างหลังพวกเขา (หมายถึงผู้ที่สนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง) ด้วยการลงโทษพวกเขาเผื่อว่าพวกเขาจะสำนึก (อัล-อัมฟาล :55-56) 5) สร้างสันติภาพในกลุ่มชาวมุสลิมด้วยกัน
วัตถุ ประสงค์ของการทำสงครามในข้อนี้ เป็นวัตถุประสงค์ที่มีไว้เฉพาะสำหรับชาวมุสลิมเท่านั้น นั่นคือ การสร้างสันติภาพระหว่างมุสลิมสองกลุ่มที่ขัดแย้งกัน และการระงับการต่อสู้ระหว่างมุสลิมด้วยกันโดยใช้กองกำลัง และสิ่งนี้ถือเป็นหนึ่งในศาสนบัญญัติในอิสลามที่กำหนดให้ปฏิบัติ และผู้ที่ถูกกำชับให้ปฏิบัติในอันดับต้นๆ ก็คือ เคาะลีฟะฮฺหรือผู้นำอิสลาม อัลลอฮฺทรงตรัสไว้
ความ ว่า : และหากมีสองฝ่ายจากบรรดาผู้ศรัทธาทะเลาะวิวาทกัน พวกเจ้าก็จงไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งในสองฝ่ายนั้นละเมิดอีกฝ่ายหนึ่ง พวกเจ้าก็จงปราบฝ่ายที่ละเมิดจนกว่าฝ่ายนั้นจะกลับสู่พระบัญชาของอัลลอฮฺ ฉะนั้นหากฝ่ายนั้นกลับสู่พระบัญชาของอัลลอฮฺแล้ว พวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยความยุติธรรมและพวกเจ้าจงให้ ความเที่ยงธรรม (แก่ทั้งสองฝ่ายเถิด) แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักใคร่บรรดาผู้ให้ความเที่ยงธรรม (อัล-หุญุร็อต : 9 )
โองการดังกล่าวสอนให้เราทราบว่า ในขณะที่เกิดข้อพิพาทระหว่างมุสลิมด้วยกัน อิสลามไม่อนุญาตให้มุสลิมเป็นผู้สนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่มุสลิมทุกคนจำเป็นต้องรีบไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่ายเพื่อยับยั้งมิให้เกิด ความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน หากทั้งสองฝ่ายยอมตกลงก็ถือเป็นพรอันประเสริฐ แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปฏิเสธการประนีประนอม หรือยอมยุติปัญหาแต่ก็มีการบุกรุกและละเมิดภายหลัง ประชาชาติมุสลิมจำเป็นต้องประกาศสงครามกับฝ่ายที่ละเมิด จนกว่าพวกเขายอมกลับสู่พระบัญชาแห่งอัลลอฮฺ และหากพวกเขายอมทำตามคำบัญชาของอัลลอฮฺแล้ว ก็จงประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยความยุติธรรม
ชาวมุสลิมทั้งมวลจึงเปรียบเสมือนสภาความมั่นคงสหประชาชาติที่มีหน้าที่ไกล่เกลี่ยและยุติข้อพิพาทระหว่างมุสลิมด้วยกัน
และสิ่งเหล่านี้ คือ เป้าหมายอันสูงสุดของอิสลามที่มีความประสงค์สร้างสันติภาพในทุกมิติของสังคม มนุษย์ ไม่ว่าต่อตนเอง ครอบครัว สังคม ประชาชาติมุสลิมด้วยกันเองและกับชนต่างศาสนิก
ด้วยเหตุนี้อิสลามจึงกำชับให้มีการไกล่เกลี่ยกันยามที่มนุษย์เกิดข้อพิพาทบาดหมางระหว่างกัน ดังอัลกุรอานกล่าวไว้
ความ ว่า : ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างพวกท่าน และจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและรสูลของพระองค์เถิด หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา ( อัล-อัมฟาล : 1 )
ไม่มีความดีใดๆ ในการซุบซิบอันมากมายของพวกเขา นอกจากผู้ที่ใช้ให้ทำทาน หรือให้ทำสิ่งที่ดีงาม หรือให้ประนีประนอมระหว่างผู้คนเท่านั้น ( อัน-นิสาอฺ : 114 )
ท่านนบีฯมุหัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) กล่าวไว้ความว่า เอาไหมล่ะ ที่ฉันจะบอกให้ท่านทั้งหลายทราบถึงการปฏิบัติธรรมที่มีผลบุญมากยิ่งกว่าการ ละหมาด การถือศีลอดและการบริจาคทาน บรรดาเศาะฮาบะฮฺกล่าวว่า แน่นอนโอ้รสูลของอัลลอฮฺ ท่านนบีฯ(ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) จึงตอบว่า : การไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน แท้จริงการบาดหมางระหว่างทั้งสองฝ่ายเปรียบเสมือนมีดโกน (รายงานโดยอะบูดาวูดและติรมิซีย์)
มีหะดีษอีกบทหนึ่งที่มีการเพิ่มว่า ฉันไม่ได้หมายความว่า มีดที่โกนผม แต่มันคือมีดโกนศาสนา (รายงานโดยติรมิซีย์)
แม้แต่ความขัดแย้งของคู่สามีภรรยา อิสลามก็ยังสอนไว้ว่า
และหากพวกเจ้าหวั่นเกรงการแตกแยกระหว่างเขาทั้งสอง (สามีภรรยา) ก็จงส่งผู้ตัดสินคนหนึ่งจากครอบครัวของฝ่ายชาย และผู้ตัดสินอีกคนหนึ่งจากครอบครัวฝ่ายหญิง หากทั้งสองมีปรารถนาให้มีการประนีประนอมกันแล้ว อัลลอฮฺก็ทรงให้ความสำเร็จในระหว่างทั้งสอง (อัน-นิสาอฺ :35)
จะเห็นได้ว่า อิสลามให้ความสำคัญกับการประนีประนอมระหว่างคู่กรณีที่ขัดแย้งกัน ไม่ว่าในระดับปัจเจกบุคคล ครอบครัวหรือสังคม
ถ้าหากอิสลามส่งเสริมให้เกิดความปรองดองระหว่างประชาคมโลกโดยภาพรวม และอิสลามยังเชิญชวนให้ดำรงไว้ซึ่งสันติภาพในประชาคมระหว่างประเทศแล้ว นับเป็นสิ่งที่สมควรเป็นอย่างยิ่งที่อิสลามกำชับและส่งเสริมให้มีการปรองดอง กันภายในกลุ่มมุสลิมด้วยกันเอง
ชาวมุสลิมไม่ว่าจะมีความแตกต่างด้านสัญชาติ สีผิว ภาษา และมาตุภูมิหรือแม้จะแตกต่างด้านฐานะหรือยศถาบรรดาศักดิ์ พวกเขาจะยืนหยัดบนหลักการอันมั่นคงที่อยู่บนพื้นฐานของการศรัทธาในอัลลอฮฺ และความเป็นพี่น้องร่วมศาสนา และความรู้สึกเป็นพี่น้องกันจึงเป็นแขนงหนึ่งของการศรัทธาที่แยกออกจากกัน ไม่ได้
อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ ความว่า :
แท้จริงบรรดาศรัทธาชน คือพี่น้องกัน ดังนั้นท่านจงใกล่เกลี่ยและประนีประนอมในกลุ่มพี่น้องของท่านด้วยเถิด ( อัล-หุญุร็อต :10 )
พวกท่านทั้งหลายได้กลายเป็นพี่น้องกันด้วยความเมตตาของพระองค์" (อาละอิมรอน :103)
ท่านนบีฯ (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน ) กล่าวไว้ ความว่า :
มุสลิมกับมุสลิมด้วยกันคือพี่น้องกัน ห้ามกดขี่เขา และห้ามมอบตัวเขา (แก่ศัตรู) ใครก็ตามที่ให้ความช่วยเหลือแด่พี่น้องของเขา อัลลอฮฺทรงให้ความช่วยเหลือเขาเป็นแน่แท้ ใครก็แล้วแต่ที่ปัดเป่าความทุกข์พี่น้องของเขาในโลกนี้ อัลลอฮฺก็จะปัดเป่าความทุกข์ของเขาในโลกหน้าเช่นเดียวกัน ใครก็แล้วแต่ที่ปกปิดความชั่วร้ายของพี่น้องของเขา อัลลอฮฺจะทรงปกปิดความชั่วร้ายของเขาในโลกหน้า (รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม)
ท่านทั้งหลายจงอย่าอิจฉาริษยาซึ่งกันและกัน อย่าให้มีการแย่งซื้อขายกันในสิ่งของที่คนอื่นกำลังจะซื้อขายกัน อย่าโกรธเคือง อย่าหันหลัง (ไม่พูดไม่จา) จงเป็นบ่าวของอัลลอฮฺที่มีความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องด้วยกันเถิด มุสลิมเป็นพี่น้องกัน มุสลิมอย่าได้ดูถูกดูแคลนพี่น้องของเขา เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับบุคคลหนึ่งที่จะมีคุณสมบัติของคนชั่ว หากเขาดูถูกและสบประมาทพี่น้องของเขา มุสลิมถูกสั่งห้ามมิให้กระทำการใดๆ ต่อพี่น้องมุสลิมด้วยกันไม่ว่าทางด้านชีวิต ทรัพย์สมบัติ และเกียรติยศ (รายงานโดยมุสลิม)
มุสลิมด้วยกันเปรียบเสมือนอาคารหลังหนึ่ง ที่ส่วนประกอบของอาคารต่างก็เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน (รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม)
ความสัมพันธ์ระหว่างบรรดาศรัทธาชนในเรื่องความรัก ความเอ็นดูและความห่วงใยระหว่างกัน เปรียบเสมือนกับเรือนร่างอันเดียวกัน หากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้รับบาดเจ็บ ร่างกายส่วนอื่นก็จะเจ็บปวดและอดหลับนอนเช่นเดียวกัน (รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม)
ศรัทธาชนจึงถูกกำชับให้มีความปรองดองและสร้างความสมานฉันท์ระหว่างกัน ความเป็นเอกภาพของพวกเขาควรอยู่บนหลักพื้นฐานของการยึดมั่นในคำสอนของอัล ลอฮฺ ดังอัลกุรอาน กล่าวไว้ ความว่า :
เจ้าทั้งหลายจงยึดมั่นในสายเชือกของอัลลอฮฺและอย่าได้แตกแยก (จากการยึดมั่นในศาสนาของอัลลอฮฺ) (อาละอิมรอน :103)
และพวกเจ้าจงอย่าเป็นบรรดาผู้ที่แตกแยกกัน และขัดแย้งกัน หลังจากที่บรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งได้มายังพวกเขาแล้ว และชนเหล่านี้แหละสำหรับพวกเขาคือ การลงโทษอันใหญ่หลวง (อาละอิมรอน:105)
อิสลามไม่เพียงแต่ให้ศรัทธาชนยึดมั่นในสันติภาพด้านทฤษฏีเท่านั้น แต่ยังบังคับให้มีผลทางกฎหมายภาคปฎิบัติด้วย ด้วยเหตุนี้อิสลามจึงบังคับให้ศรัทธาชนดำรงไว้ซึ่งสันติภาพ แม้นว่าด้วยกองกำลังก็ตาม อิสลามจึงสั่งใช้ให้ศรัทธาชนระงับข้อพิพาทและการสงครามระหว่างมุสลิมด้วยกัน
ทั้งนี้เนื่องจากอิสลามต้องการให้สังคมมุสลิมใช้ชีวิตอย่างสันติสุข มีความกลมเกลียวสมานฉันท์ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฏีของคาร์ลมาร์กซ์ ที่พยายามยั่วยุให้ผู้คนมีแนวคิดให้เกิดการต่อสู้ระหว่างชนชั้น คนจนต้องทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับคนรวย กรรมกรผู้ที่ใช้แรงงานจะต้องลุกขึ้นปฏิวัติขับไล่ชนชั้นนายทุน ลูกจ้างจะต้องต่อสู้กับนายจ้าง และความขัดแย้งเหล่านี้จะดำเนินไปเรื่อยๆในสังคม จนกระทั่งที่สุดแล้วชนชั้นกรรมกรได้รับชัยชนะ ระบบทุนนิยมล่มสลายและทุกคนก็มีชนชั้นอันเดียวกันซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จ อันสูงสุดของระบบสังคมนิยม
แต่อิสลามเป็นศาสนาที่ใช้ความพยายามอย่างแรงกล้าเพื่อให้สมาชิกในสังคมมี ความสมานฉันท์และเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน สังคมจึงยืนหยัดบนหลักการความถูกต้องและยุติธรรม ทุกคนมีสิทธิครอบครองสิ่งที่ตนพึงได้ โดยมีข้อแม้ว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ใคร หรือเป็นผู้กอบโกยเพียงแต่ผู้เดียวในลักษณะมือใครยาวสาวได้สาวเอา และบนหลักการที่เต็มไปด้วยจริยธรรมอันสูงส่งเช่นนี้ ผู้ยากจนและผู้ร่ำรวยต่างก็แข่งขันกอบโกยในสิ่งที่ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติหรือ วัตถุนอกกาย แต่พวกเขาแข่งขันการกระทำความดีและประกอบคุณธรรมต่างหาก ดังที่ปรากฏในหะดีษที่ผู้มีฐานะยากจนกลุ่มหนึ่งได้มาร้องเรียนต่อท่านนบีฯ (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) พร้อมกล่าวว่า พวกร่ำรวยสามารถสร้างกุศลอันมากมาย พวกเขาละหมาดเหมือนที่เราละหมาดและได้ถือศีลอดเหมือนที่เราถือศีลอด แต่พวกเขามีทรัพย์สมบัติอันเหลือเฟือที่สามารถบริจาคหรือไถ่ทาสได้ ในขณะที่พวกเรามีทรัพย์สินที่ไม่เพียงพอที่จะกระทำเช่นนั้น
ท่านทั้งหลายลองสังเกตดูว่า สังคมมุสลิมที่ประกอบด้วยชนชั้นต่างๆในยุคท่านนบีฯ(ขอความสันติสุขจงมีแด่ ท่าน) ได้แข่งขันในเรื่องอะไร? คำตอบก็คือการประกอบคุณงามความดีและคุณธรรมต่างหาก อัลกุรอานกล่าวไว้ ความว่า :
และในการนี้บรรดาผู้แข่งขัน (ในความดีทั้งหลาย) จงแข่งขันกันเถิด (เพื่อจะได้รับผลบุญและการตอบแทนจากอัลลอฮฺ) (อัล-มุฏอฟฟิฟีน : 26)
http://www.iqraforum.com/forum/index.php?topic=1254.0
จากคุณ |
:
ใจนิ่ง
|
เขียนเมื่อ |
:
17 มี.ค. 55 21:29:59
|
|
|
|