ความคิดเห็นที่ 1 เรียนถามท่าน ในกรณีที่ อวิชชา ยังไม่ดับไป ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์  แต่เสียชีวิตก่อน  เช่น เป็นปถุชนปฏิบัติธรรมยังไม่บรรลุมรรคผลอะไรเลย ผลจะเป็นอย่างไร จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:22:57

ความคิดเห็นที่ 2 ผมว่าถ้าจิตคือสิ่งที่นึกคิดได้ นั่นแหละก็คือตัวตนแล้ว การรับรู้,ความรู้สึก,ความจำ,และการปรุงแต่งของจิต เป็นส่วนเติมมากกว่า จากคุณ : ISerializable เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:23:17

ความคิดเห็นที่ 3 ท่านก็อย่าทำอะไรที่ไร้สาระสิขอรับ เพราะสาระไม่มีในขันธ์๕ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:30:58

ความคิดเห็นที่ 4 ยิ้มๆ .... กับท่าน What am I?  เพราะผมเข้าใจว่า ท่านคิดว่ากระทู้นี้ สมบูรณ์แล้ว คิดอย่างรอบคอบแล้ว ไม่สามารถค้านได้    ผมจึงถามกลับท่านว่า....    ท่านเคย ปฏิบัติตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว (ไม่ใช่เพียงแต่นั่งคิด) เมื่อมีสติสมบูรณ์ มีสมาธิสมบูรณ์ เจ่มแจ้งสมบูรณ์ ดำรงณ์อยู่ โดยไม่มีความนึกคิด ไม่มีความรู้สึกแบบมีเวทนา การปรุงแต่ง ใดๆ เลย และไม่มีความรู้สึกว่า เป็นเรา ของเรา หรือตัวตัวของเราอยู่เลยหรือยัง    ถ้ายังก็ถือว่า เป็นเพียงแต่ความคิด หรือจินตนาการเอาเองของท่านเท่านั้น    หมายเหตุ ถ้าตอบว่า เวลาหลับ หรือสลบไป ก็ไม่รู้สึกว่า มีเรา ของเรา หรือตัวตนของเราอยู่ ก็ถือว่าผู้ที่ตอบอย่างนี้นั้นมีโมหะ อย่างสมบูรณ์       เพราะที่กล่าวคือ เมื่อมีสติสมบูรณ์ มีสมาธิสมบูรณ์ เจ่มแจ้งสมบูรณ์ ดำรงณ์อยู่ โดยไม่มีความนึกคิด ไม่มีความรู้สึกแบบมีเวทนา การปรุงแต่ง ใดๆ เลย และไม่มีความรู้สึกว่า เป็นเรา ของเรา หรือตัวตัวของเราอยู่เลย      พระพุทธเจ้าตรัสสอนธรรม เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติธรรม แล้วประจักกับสภาวะธรรมนั้นจริงๆ  ไม่ใช่เพียงแต่คิดเอา ประมาณเอา วิเคราะห์เอา แล้วเอาแต่เข้าใจเอาเองเท่านั้น จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:35:45

ความคิดเห็นที่ 5 อะไรคือสิ่งที่เป็นตัวเรา เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีตัวเรา จากคุณ : ซุนจื๊อ เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:36:08

ความคิดเห็นที่ 6 ท่านพระพุทธทาส ก็สอนว่า อวิชชา เป็นปัจจัยแก่สังขาร  เช่นเดียวกัน  กับพระไตรปิฎก   จึงขอเีรียนถามว่า  หากอวิชชายังมีอยู่  แต่คนคนนั้นกลับตายก่อน  สังขารจะยังมีอยู่หรือไม่ 1. หากมี  แสดงว่า การตายแล้ว มีภพต่อไปเกิดขึ้น 2. หากไม่มี  แสดงว่า อวิชชา เป็นปัจจัยแก่สมองเท่านั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สังขาร จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:37:23

ความคิดเห็นที่ 7 ผมจึงถามกลับท่านว่า....   ท่านเคย ปฏิบัติตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว (ไม่ใช่เพียงแต่นั่งคิด) เมื่อมีสติสมบูรณ์ มีสมาธิสมบูรณ์ เจ่มแจ้งสมบูรณ์ ดำรงณ์อยู่ โดยไม่มีความนึกคิด ไม่มีความรู้สึกแบบมีเวทนา การปรุงแต่ง ใดๆ เลย และไม่มีความรู้สึกว่า เป็นเรา ของเรา หรือตัวตัวของเราอยู่เลยหรือยัง   ถ้ายังก็ถือว่า เป็นเพียงแต่ความคิด หรือจินตนาการเอาเองของท่านเท่านั้น   หมายเหตุ ถ้าตอบว่า เวลาหลับ หรือสลบไป ก็ไม่รู้สึกว่า มีเรา ของเรา หรือตัวตนของเราอยู่ ก็ถือว่าผู้ที่ตอบอย่างนี้นั้นมีโมหะ อย่างสมบูรณ์      เพราะที่กล่าวคือ เมื่อมีสติสมบูรณ์ มีสมาธิสมบูรณ์ เจ่มแจ้งสมบูรณ์ ดำรงณ์อยู่ โดยไม่มีความนึกคิด ไม่มีความรู้สึกแบบมีเวทนา การปรุงแต่ง ใดๆ เลย และไม่มีความรู้สึกว่า เป็นเรา ของเรา หรือตัวตัวของเราอยู่เลย     พระพุทธเจ้าตรัสสอนธรรม เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติธรรม แล้วประจักกับสภาวะธรรมนั้นจริงๆ  ไม่ใช่เพียงแต่คิดเอา ประมาณเอา วิเคราะห์เอา แล้วเอาแต่เข้าใจเอาเองเท่านั้น จากคุณ : P_vicha     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:35:45     *************** ถ้าตอบไปแล้วใครจะรู้ว่าคำตอบนี้เป็นจริงหรือเท็จ? จิต มีลักษณะ รู้สึก นึกคิด   ดังนั้นเมื่อมีความรู้สึกนึกคิด ก็แสดงว่ามีจิต แต่ถ้าไม่มีความรู้สึกนึกคิด ก็แสดงว่าขณะนั้น ไม่มีจิต ตรรกะง่ายๆแค่นี้คิดไม่เป็นหรือ? หรือคุณ P_vicha ไม่ยอมรับตรรกะและความจริงข้อนี้ จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:54:56

ความคิดเห็นที่ 8 หลวงพี่ตรึก นึกคิด แจ่มแจ้งได้เอง หรือขอรับ? จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:56:42

ความคิดเห็นที่ 9 ท่านพระพุทธทาส ก็สอนว่า อวิชชา เป็นปัจจัยแก่สังขาร  เช่นเดียวกัน  กับพระไตรปิฎก   จึงขอเีรียนถามว่า  หากอวิชชายังมีอยู่  แต่คนคนนั้นกลับตายก่อน  สังขารจะยังมีอยู่หรือไม่ 1. หากมี  แสดงว่า การตายแล้ว มีภพต่อไปเกิดขึ้น 2. หากไม่มี  แสดงว่า อวิชชา เป็นปัจจัยแก่สมองเท่านั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สังขาร จากคุณ : Serene_Angelic     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:37:23     *************** ที่กล่าวว่า อวิชชา เป็นปัจจัยแก่สังขาร นั้น ก็มาจากหลักปฎิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นอาการของจิตที่ปรุงแต่ง(สังขาร)ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาโดยมีความรู้ว่ามีตัวเรา(อวิชชา)เป็นต้นขั้ว  ไม่ได้หมายถึงว่า เมื่อมีอวิชชา แล้วจึงมีร่างกาย (คือคำว่าว่า สังขารนี้ไม่ได้หมายถึงร่างกาย แต่หมายถึง การปรุงแต่ง) คุณคงยังศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาทมาไม่ถูกต้อง จึงได้เกิดคำถามเช่นนี้ขึ้นมา คือไปเข้าใจว่า ถ้ายังมีอวิชชา ก็จะมีร่างกายไปเกิดใหม่   ซึ่งเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนลึกซึ้ง แต่ก็สามารถเข้าใจและเห็นแจ้งได้ โดยจะต้องเข้าใจเรื่อง ขันธ์ ๕ หรือ จิต เป็น อนัตตาเสียก่อน จึงจะเข้าใจปฏิจจสมุปบาทได้ จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:04:28

ความคิดเห็นที่ 10 กำลังของตถาคต ๑๐ ประการ ...            ดูกรสารีบุตร ผู้ใดแล พึงว่าซึ่งเราผู้รู้อยู่อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ ว่าธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะ ของพระสมณโคดมไม่มี พระสมณโคดมทรง- *แสดงธรรม ที่ประมวลมาด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง ดูกรสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรก ดังถูกนำมาฝังไว้ ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึง พร้อมด้วยปัญญา พึงกระหยิ่มอรหัตผล ในปัจจุบันทีเดียว ฉันใด ดูกรสารีบุตร เรากล่าวข้ออุปไมย นี้ก็ฉันนั้น ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ ที่จะตกนรก ดังถูกนำมาฝังไว้. ... มหาสีหนาทสูตร ที่ ๒ -----------------------------------------------------             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  บรรทัดที่ ๒๒๙๖ - ๒๗๘๓.  หน้าที่  ๙๕ - ๑๑๓. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=2296&Z=2783&pagebreak=0             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=159 จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:07:10

ความคิดเห็นที่ 11 หลวงพี่ตรึก นึกคิด แจ่มแจ้งได้เอง หรือขอรับ? จากคุณ : JitZungkabuai     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:56:42     *************** ในขณะที่คิดพิจารณาอย่างตั้งใจ(สมาธิ) และน้อมนำสิ่งที่คิดพิจารณานี้มาดูในจิตของตัวเอง (โอปนยิโก) ก็จะทำให้จิตยอมรับเหตุผล (จากการคิดที่เข้าใจแจ่มแจ้งโดยไม่มีข้อสงสัย) แล้วจิตก็จะปล่อยวางความยึดถือว่ามีตัวเราลง เมื่อจิตไม่มีความยึดถือ(อุปาทาน) มันก็ไม่มีความทุกข์ (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีทุกข์ มันก็สงบเย็น (นิพพาน แม้เพียงชั่วคราว) จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:09:05

ความคิดเห็นที่ 12 ยิ้มๆ ....  เก็งคำถาม จะเอากำไรจากคำตอบ หรือครับท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ จากข้อความนี้ของท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ ---------------------------------------------- ดังนั้นเมื่อมีความรู้สึกนึกคิด ก็แสดงว่ามีจิต แต่ถ้าไม่มีความรู้สึกนึกคิด ก็แสดงว่าขณะนั้น ไม่มีจิต ตรรกะง่ายๆแค่นี้คิดไม่เป็นหรือ? หรือคุณ P_vicha ----------------------------------------------    ไปพิจารณาใหม่นะครับ เพราะไม่ถูกต้อง เป็นการเก็งกำไร จากคำตอบ โดยถามย้อนกลับ แต่กลับไม่ถูกต้อง เพราะภาวะจิตที่ไม่มี่ความรู้สึกนึกคิด นั้นมีอยู่  ไม่ใช่ไปคิดว่า      "แต่ถ้าไม่มีความรู้สึกนึกคิด ก็แสดงว่าขณะนั้น ไม่มีจิต"      ทำไมไม่พิจารณากลับกันว่า แต่ถ้าไม่มีความรู้สึกนึกคิด ก็แสดงว่าขณะนั้น มีจิตแต่ขาดสติสัมปชัญญะ เล่า ?     หมายความว่า ท่าน  เตชปญฺโญ ภิกขุ  นั้นห่างไกล จากการปฏิบัติธรรมตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เหลือเกิน จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:13:04

ความคิดเห็นที่ 13 ท่านก็อย่าทำอะไรที่ไร้สาระสิขอรับ เพราะสาระไม่มีในขันธ์๕ จากคุณ : JitZungkabuai     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:30:58     *********************** สิ่งที่เป็นสาระของสิ่งที่ไร้สารก็คือ สิ่งไร้สาระ จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:14:53

ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อค้นพบว่า "ตัวเราจริงๆ"ไม่มี แล้วทำอย่างไรต่อไปในชีวิตที่เหลือทุกขณะจิตที่ยังหายใจ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:19:13

ความคิดเห็นที่ 15 แต่ถ้าไม่มีความรู้สึกนึกคิด ก็แสดงว่าขณะนั้น ไม่มีจิต"     ทำไมไม่พิจารณากลับกันว่า แต่ถ้าไม่มีความรู้สึกนึกคิด ก็แสดงว่าขณะนั้น มีจิตแต่ขาดสติสัมปชัญญะ เล่า ?    หมายความว่า ท่าน  เตชปญฺโญ ภิกขุ  นั้นห่างไกล จากการปฏิบัติธรรมตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เหลือเกิน จากคุณ : P_vicha     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:13:04     ************** เป็นไปได้อย่างไรที่ ไม่มีความรู้สึกนึกคิด จะมีจิต เพราะจิตก็คือสิ่งที่รู้สึกนึกคิดนั่นเอง คือ ตัวจิตเองนั้นมันหาสิ่งที่เป็นแก่นแท้หรือตัวตนของมันเองไม่มี แต่มันเกิดขึ้นมาเพราะมีการรับรู้ (วิญญาณ) ความรู้สึก (เวทนา) ความจำ(สัญญา) และการปรุงแต่ง (สังขาร) เกิดขึ้นมาพร้อมกัน จึงได้สมมติเรียกว่า จิต หรือคุณ P_vicha คิดว่า จิตเป็นขันธ์ที่ ๖ ที่ไม่เกี่ยวกับขันธ์ทั้ง ๕ ? อีกอย่างขอถามว่า คุณ  P_vicha  คิดว่า จิต คืออะไร? เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ถ้ารู้ก็ช่วยอธิบายตามความเข้าใจของคุณมาที แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 21:28:21 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 21:26:47 จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:22:15

ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อค้นพบว่า "ตัวเราจริงๆ"ไม่มี แล้วทำอย่างไรต่อไปในชีวิตที่เหลือทุกขณะจิตที่ยังหายใจ จากคุณ : venture     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:19:13     ************** คำตอบจะเกิดขึ้นมาเองเมื่อคุณค้นพบแล้วว่า "ตัวเราจริงๆไม่มี" การจะมาคิดนึกเอาเอง หรือ เชื่อตามคนอื่น นั้น ย่อมไม่ตรงตามหลักกาลามสูตร จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:25:12

ความคิดเห็นที่ 17 ความคิดเห็นที่ 11     หลวงพี่ตรึก นึกคิด แจ่มแจ้งได้เอง หรือขอรับ? จากคุณ : JitZungkabuai     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:56:42   *************** ในขณะที่คิดพิจารณาอย่างตั้งใจ(สมาธิ) และน้อมนำสิ่งที่คิดพิจารณานี้มาดูในจิตของตัวเอง (โอปนยิโก) ก็จะทำให้จิตยอมรับเหตุผล (จากการคิดที่เข้าใจแจ่มแจ้งโดยไม่มีข้อสงสัย) แล้วจิตก็จะปล่อยวางความยึดถือว่ามีตัวเราลง เมื่อจิตไม่มีความยึดถือ(อุปาทาน) มันก็ไม่มีความทุกข์ (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีทุกข์ มันก็สงบเย็น (นิพพาน แม้เพียงชั่วคราว) จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:09:05   ----------------------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 16     เมื่อค้นพบว่า "ตัวเราจริงๆ"ไม่มี แล้วทำอย่างไรต่อไปในชีวิตที่เหลือทุกขณะจิตที่ยังหายใจ จากคุณ : venture     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:19:13   ************** คำตอบจะเกิดขึ้นมาเองเมื่อคุณค้นพบแล้วว่า "ตัวเราจริงๆไม่มี" การจะมาคิดนึกเอาเอง หรือ เชื่อตามคนอื่น นั้น ย่อมไม่ตรงตามหลักกาลามสูตร จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:25:12 จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:27:58

ความคิดเห็นที่ 18 ในความเห็นเก่า ในกระทู้เก่า ท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ     กล่าวว่า เมื่อหลับไป ไม่มีความรู้สึกนึกคิด จิตก็ไม่มี   ไม่ใช่หรือ?   ผมจึงเสนอว่า ---------------------------------------- ทำไมไม่พิจารณากลับกันว่า แต่ถ้าไม่มีความรู้สึกนึกคิด ก็แสดงว่าขณะนั้น มีจิตแต่ขาดสติสัมปชัญญะ เล่า ?     ----------------------------------------   เป็นอันว่า ที่ท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ ถามหลายคำถาม ในความเห็นที่ 15 ในภายหลัง เป็นการถามที่ไม่มีสาระในการที่จะตอบ  เพราะฐานความเข้าใจของท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ นั้นคลาดเคลื่อน ตั้งแต่ต้นแล้ว.   ให้ท่าน กลับไปพิจารณาเองนะครับ เพราะผมจะผักผ่อนแล้วนะครับ. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:33:00

ความคิดเห็นที่ 19 ผมว่าถ้าจิตคือสิ่งที่นึกคิดได้ นั่นแหละก็คือตัวตนแล้ว การรับรู้,ความรู้สึก,ความจำ,และการปรุงแต่งของจิต เป็นส่วนเติมมากกว่า จากคุณ : ISerializable   เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:23:17     ************** การรับรู้,ความรู้สึก,ความจำ,และการปรุงแต่งของจิต นั้นก็คือสิ่งที่สมมติเรียกว่า จิต ไม่ใช่ส่วนเติมของจิต เพราะถ้าการรับรู้,ความรู้สึก,ความจำ,และการปรุงแต่งของจิต เป็นส่วนเติมของจิต ก็แสดงว่า จิตต้องเป็นสิ่งอีกขันธ์หนึ่ง ที่เพิ่มขึ้นมาจากขันธ์ทั้ง ๕ (คือจิตกลายเป็นขันธ์ที่ ๖ ) ซึ่งอย่างนี้ก็เท่ากับเป็นการบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนว่ามีแค่ขันธ์ ๕ จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:34:17

ความคิดเห็นที่ 20 เนตังมะมะ เนโสมัสมิ นะ เมโส อัตตา   นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ผมเชื่ออย่างนี้ เรื่องจิตไม่มีความรู้สึกนึกคิดก็คือไม่ปรุงแต่ง ผมคิดว่ายังมีจิตอยู่แต่จิตเป็นอุเบกขาครับ จากคุณ : แสงสีชมพู เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:34:47

ความคิดเห็นที่ 21 เป็นอันว่า ที่ท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ ถามหลายคำถาม ในความเห็นที่ 15 ในภายหลัง เป็นการถามที่ไม่มีสาระในการที่จะตอบ  เพราะฐานความเข้าใจของท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ นั้นคลาดเคลื่อน ตั้งแต่ต้นแล้ว.  ให้ท่าน กลับไปพิจารณาเองนะครับ เพราะผมจะผักผ่อนแล้วนะครับ. จากคุณ : P_vicha     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:33:00     ************ ถ้าอย่างนี้ก็แสดงว่า คุณ  P_vicha   มีฐานความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว ใช่หรือไม่?   ถ้าอย่างกนั้นก็อยากจะถามว่า ฐานความเข้าใจที่ถูกต้องของคุณนั้นคืออะไร?(โดยสรุป) และคุณเอาอะไรมาเป็นเครื่องชี้วัดว่า ฐานความเข้าใจของคุณนั้นถูกต้องแล้ว? ก็ขอให้คุณ P_vicha กลับไปค้นหาฐานความเข้าใจของคุณมาให้พบ แล้วค่อยมาสนทนากันใหม่ บางทีคุณอาจหาฐานของคุณไม่เจอเลยก็ได้ เพราะไม่เห็นคุณจะมีความเข้าใจอะไรที่มีเหตุผลมาอธิบายได้เลย จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:41:18

ความคิดเห็นที่ 22 ประเด็น กระทู้นี้ พิจารณา  ดังนี้ (๑) พระพุทธภาษิต -- ธรรมทั้งปวง อนัตตา (๒) อนัตตา  คือ  ไม่มี อัตตา  ในสิ่งที่ ไม่ใช่อัตตา --- เสนอแบบ เซนเถรวาทฯ (๓) สิ่งที่ไม่ใช่อัตตา คือ  กายนี้ ประกอบด้วย มหาภูติ ๔  อัน ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง  มโนบ้าง  วิญญาณบ้าง  (อัสสุตวตาสูตร  จากความจำ) (๔) ไม่ ตรัสไว้ว่า กายนี้ ประกอบด้วย  ขันธ์ทั้ง ๕ "What am I?" -- หา พบไหม? //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// เทียบกับ คำว่า อะไรคือสิ่งที่เป็นตัวเรา? ---- โดย "What am I?" /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// สรุป ไม่ทราบว่า "เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) "   -- เป็น ภิกษุ  สาวก ของ  พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ หรือไม่? ถ้า ยืนยันว่า ""เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) "   -- เป็น ภิกษุ  สาวก  ผู้อาสัย การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จง  แสดง หลักฐาน พระพุทธภาษิต  "ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา" รักษา "ธรรม วินัย" สืบมา ว่า ตรัสไว้ว่า --อะไรคือสิ่งที่เป็นตัวเรา? -- ที่ ตรงกับ ที่ "เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) "  เสนอ คำว่า --- เมื่อชีวิตของเราประกอบขึ้นด้วยขันธ์ ๕ ถ้าแยกขันธ์ ๕ ออกแล้วขันธ์ใดที่จะเป็นตัวเรา? -- 2 บรรทัดบน -- อ่าน ออก  รู้ เข้าใจนะครับ "What am I?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:42:36

ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อค้นพบว่า "ตัวเราจริงๆ"ไม่มี แล้วทำอย่างไรต่อไปในชีวิตที่เหลือทุกขณะจิตที่ยังหายใจ จากคุณ : venture     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:19:13   ************** คำตอบจะเกิดขึ้นมาเองเมื่อคุณค้นพบแล้วว่า "ตัวเราจริงๆไม่มี" การจะมาคิดนึกเอาเอง หรือ เชื่อตามคนอื่น นั้น ย่อมไม่ตรงตามหลักกาลามสูตร จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:25:12 [แก้ไข] เข้าถึงอนัตตาก็รู้แล้ว แต่ท่านนี่สิ ท่องจำมาจากไหน บางทีก็อัตตา บางทีก็อนัตตา จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:42:52

ความคิดเห็นที่ 24 เนตังมะมะ เนโสมัสมิ นะ เมโส อัตตา   นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ผมเชื่ออย่างนี้ เรื่องจิตไม่มีความรู้สึกนึกคิดก็คือไม่ปรุงแต่ง ผมคิดว่ายังมีจิตอยู่แต่จิตเป็นอุเบกขาครับ จากคุณ : แสงสีชมพู     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:34:47   ************ คุณ  แสงสีชมพู  ศึกษาธรรมะจากการคิดเองเองหรือ?  แล้วคุณจะพบความจริงได้อย่างไร ถ้าไม่ศึกษาจากของจริง (คือจากจิตของเราเอง) พระพุทธเจ้าสอนให้ศึกษาจากร่างกายและจิตใจของเราเอง ไม่ใช่ให้มาคิดเองเอง หรือเชื่อตามตำราหรือตามคนอื่นอย่างนี้ จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:44:28

ความคิดเห็นที่ 25 เข้าถึงอนัตตาก็รู้แล้ว แต่ท่านนี่สิ ท่องจำมาจากไหน บางทีก็อัตตา บางทีก็อนัตตา จากคุณ : venture     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:42:52   ********** ??????????????? จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:46:36

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่ ตอบ   ที่ผม ถาม (ไว้ ใน คคห 22) หรือครับ "What am I?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:49:35

ความคิดเห็นที่ 27 พระพุทธเจ้าสอนให้ศึกษาจากร่างกายและจิตใจของเราเอง(สติปัฏฐาน 4) ไม่ใช่ให้มาคิดเองเอง ^_^ ผมก็อยากบอกท่านอย่างนี้เหมือนกันนะครับ จากคุณ : แสงสีชมพู เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:52:14

ความคิดเห็นที่ 28 สรุป ไม่ทราบว่า "เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) "   -- เป็น ภิกษุ  สาวก ของ  พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ หรือไม่? ถ้า ยืนยันว่า ""เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) "   -- เป็น ภิกษุ  สาวก  ผู้อาสัย การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จง  แสดง หลักฐาน พระพุทธภาษิต  "ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา" รักษา "ธรรม วินัย" สืบมา ว่า ตรัสไว้ว่า --อะไรคือสิ่งที่เป็นตัวเรา? -- ที่ ตรงกับ ที่ "เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) "  เสนอ คำว่า --- เมื่อชีวิตของเราประกอบขึ้นด้วยขันธ์ ๕ ถ้าแยกขันธ์ ๕ ออกแล้วขันธ์ใดที่จะเป็นตัวเรา? -- 2 บรรทัดบน -- อ่าน ออก  รู้ เข้าใจนะครับ "What am I?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:42:36     ************ เมื่อข้ามฝั่งได้แล้ว ก็ทิ้งแพได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องแบกแพไปด้วย คือเมื่อเราเห็นแจ้งธรรมะแล้ว เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ภาษาบาลีมาแสดงและไม่จำเป็นต้องอ้างคำพูดของใครหรือตำราใดๆ เพราะเราสามารถใช้เหตุผลมาอธิบายและเอาความจริงมายืนยันได้ (ธรรมะก็อยู่ในจิตของเราทุกคนอยู่แล้ว หาให้เจอ) คุณ เซ็นฯ ยังแบกตำราอยู่อีกหรือ? แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 21:54:51 จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:53:19

ความคิดเห็นที่ 29 พระพุทธเจ้าสอนให้ศึกษาจากร่างกายและจิตใจของเราเอง(สติปัฏฐาน 4) ไม่ใช่ให้มาคิดเองเอง ^_^ ผมก็อยากบอกท่านอย่างนี้เหมือนกันนะครับ จากคุณ : แสงสีชมพู     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:52:14     ************ แล้วคุณ แสงสีชมพู  ค้นหาตัวเองจากที่ไหน? ถ้าค้นจากร่างกายและจิตใจของคุณเอง แล้วคุณเจอ สิ่งที่เป็นตัวคุณ แล้วหรือยัง? จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:56:43

ความคิดเห็นที่ 30 พระสูตรหนึ่ง  จากความจำ สังขตธรรม อสังขตธรรม  มีประมาณเท่าไหร ตถาคต กล่าวว่า  วิราคธรรม (คือ ?) เป็นเลิศยอดกว่า สังขตธรรม และอสังขตธรรม เหล่านั้นทั้งหมด วิราคธรรมคือ ธรรมเป็นที่ ฯลฯ  ฯลฯ  ธรรมเป็นที่ตัดวัฏฏะ ฯลฯ วิราคธรรมคือ นิพพาน ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// พระสูตร ข้างบนนี้ = ธรรมทั้งปวง   มั๊ย? --- ถาม ผู้อาสัยการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้  ผ่าน พระเถระครั้งปฐมสังคายนา ฯ           ธรรมทั้งปวง  อนัตตา = วิราคธรรม สังขตธรรม อสังขตธรรม  อนัตตา  ใช่มั๊ย                      ""What am I?" --  จะ ตอบ  อีกสักคำถามไหมครับ เพื่อ แสดง --- ว่า ---- "เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) "   -- เป็น ภิกษุ  สาวก ของ  พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ? ---  "ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษา ธรรม วินัย สืบมา จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:56:58

ความคิดเห็นที่ 31 คคห 28 เมื่อข้ามฝั่งได้แล้ว ก็ทิ้งแพได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องแบกแพไปด้วย คือเมื่อเราเห็นแจ้งธรรมะแล้ว เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ภาษาบาลีมาแสดงและไม่จำเป็นต้องอ้างคำพูดของใครหรือตำราใดๆ เพราะเราสามารถใช้เหตุผลมาอธิบายและเอาความจริงมายืนยันได้ (ธรรมะก็อยู่ในจิตของเราทุกคนอยู่แล้ว หาให้เจอ) คุณ เซ็นฯ ยังแบกตำราอยู่อีกหรือ? แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 21:54:51 จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:53:19 [แก้ไข] /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// ที่ถาม ผม --- ตอบ ให้ ตรงที่ถาม ก่อน ไหมครับ ////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// ส่วน ผมจะแบกอะไร หรือไม่  มันอีกเรื่องหนึ่ง  มิใช่หรือครับ //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// ทำไม ไม่ สามารถ ตอบ  ให้ ตรงที่ ผม ถามเล่า? มี กิเลส ตัวไหน  ตามที่ตรัสไว้  หรือ ครับ จึง เป็นเหตุให้ ตอบ ไม่ตรงกับ ที่ถาม ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// ในเมื่อ  สิ่งที่ผมถาม ผมถาม ใน ชั้น "ตามหลักฐานปฐมภูมิ" ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// อย่าลืม  อีกคำถาม ธรรมทั้งปวง  อนัตตา = วิราคธรรม สังขตธรรม อสังขตธรรม  อนัตตา  ใช่มั๊ย                     ""What am I?" --  จะ ตอบ  อีกสักคำถามไหมครับ เพื่อ แสดง --- ว่า ---- "เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) "   -- เป็น ภิกษุ  สาวก ของ  พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ? ---  "ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษา ธรรม วินัย สืบมา จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:00:54

ความคิดเห็นที่ 32 คุณ What am I ? ปฏิบัติจนรู้ได้้ด้วยตนเอง ตามหลักกาลามสูตร ในหลักปฏิบัติสมาธิหรือวิปัสสนาข้อใด ? จากคุณ : Real~Fine เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:04:18

ความคิดเห็นที่ 33 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11845497/Y11845497.html บางบุคคล (ใครก็ตาม) เสนอว่า ---- โดยส่วนตัวผม ผมถือว่า ผมเหมือนกับคนขายขนม ที่ผมปรุงด้วยสูตรตำหรับพิเศษของผมเอง และเอาเครื่องปรุงพิเศษ ๆ จากการบอกกล่าวไว้ในตำรามาบ้าง  เมื่อได้ขนม เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เอามาวางขาย ฯลฯ /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// แล้ว "เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?)"  กระทู้นี้ เป็น ????  แน่ "เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) "   -- เป็น ภิกษุ  สาวก ของ  พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ? ---  "ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษา ธรรม วินัย สืบมา -- ใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่ พิจารณา  จาก  สิ่งที่สื่อสารออกมา  ได้  มิใช่หรือ? รออ่าน คำตอบ  ที่ ตรงกับคำถาม ครับ "What am I?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:07:12

ความคิดเห็นที่ 34 ธรรมทั้งปวง  อนัตตา = วิราคธรรม สังขตธรรม อสังขตธรรม  อนัตตา  ใช่มั๊ย                     ""What am I?" --  จะ ตอบ  อีกสักคำถามไหมครับ เพื่อ แสดง --- ว่า ---- "เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) "   -- เป็น ภิกษุ  สาวก ของ  พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ? ---  "ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษา ธรรม วินัย สืบมา จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 21:56:58   ****************** ต้องอธิบายควาหมายของคำเหล่านี้เสียก่อน เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน แต่ถ้าความเข้าใจไม่ตรงกันก็มิอาจเข้าใจกันได้ คำว่า ธรรมทั้งปวง  หมายถึง สิ่งทั้งปวง ไม่เว้นสิ่งใด คำว่า อนัตตา หมายถึง ไม่ใช่อัตตา หรือไม่ใช่ตัวเรา(คำว่า อัตตา หมายถึง ตัวตนอมตะ ที่หมายถึงสิ่งที่เป็นตัวเราที่เป็นอมตะ) คำว่า วิราคธรรม หมายถึง สิ่งที่เป็นเครื่องทำความจางคลาย คำว่า สังขตธรรม หมายถึง สิ่งที่ยังมีการปรุงแต่งอยู่ ซึ่งก็ได้แก่ทุกสิ่ง ยกเว้น ความว่าง กฎของธรรมชาติ นิโรธและนิพพาน คำว่า อสังขตธรรม  หมายถึง สิ่งที่ไม่มีการปรุงแต่ง อันได้แก่ ความว่าง กฎของธรรมชาติ นิโรธ และ นิพพาน ตอบ ทุกสิ่ง ก็ไม่ใช่ตัวเรา และไม่ใช่ตัวตนของใครๆทั้งนั้น แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 22:22:22 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 22:20:56 จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:08:31

ความคิดเห็นที่ 35 ไม่ค้นครับ แต่กำลังเผ้าดูการเกิดดับและ รู้ และวางอุเบกขา ยิ่งค้นแล้วยิ่งฟุ้งนะครับท่าน หากฟุ้งแล้วเชื่อในเรื่องที่ตัวเองฟุ้งตรึกเองมากๆเเล้ว จะกลายเป็น "อวิชา" นะครับท่านเพราะที่สุดเเล้ว สัพเพ ธัมมา อนัตตา ครับ แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 22:09:54 จากคุณ : แสงสีชมพู เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:09:08

ความคิดเห็นที่ 36 ส่วน ผมจะแบกอะไร หรือไม่  มันอีกเรื่องหนึ่ง  มิใช่หรือครับ //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// ทำไม ไม่ สามารถ ตอบ  ให้ ตรงที่ ผม ถามเล่า? มี กิเลส ตัวไหน  ตามที่ตรัสไว้  หรือ ครับ จึง เป็นเหตุให้ ตอบ ไม่ตรงกับ ที่ถาม ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// ในเมื่อ  สิ่งที่ผมถาม ผมถาม ใน ชั้น "ตามหลักฐานปฐมภูมิ" ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:00:54   ถูกใจ : P_vicha ********** อ้าว..แล้วจะเข้าใจกันได้อย่างไร เมื่อคนหนึ่งยังแบกเอาตำรามาอ้าง แต่อีกคนหนึ่งเอาความจริงมายืนยัน? (ใจเย็นๆๆๆๆๆๆๆๆๆ) จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:12:00

ความคิดเห็นที่ 37 คุณ What am I ? ปฏิบัติจนรู้ได้้ด้วยตนเอง ตามหลักกาลามสูตร ในหลักปฏิบัติสมาธิหรือวิปัสสนาข้อใด ? จากคุณ : Real~Fine   เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:04:18     ************ ไม่เข้าใจคำถาม? สมาธิ คือการทำจิตให้ตั้งมั่น วิปัสสนา การทำจิตให้รู้แจ้ง โดบการ ฟัง อ่าน, คิด, เพ่งดูจากของจริง แล้วมันมีข้อด้วยหรือ? จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:17:38

ความคิดเห็นที่ 38 ไม่ค้นครับ แต่กำลังเผ้าดูการเกิดดับและ รู้ และวางอุเบกขา ยิ่งค้นแล้วยิ่งฟุ้งนะครับท่าน หากฟุ้งแล้วเชื่อในเรื่องที่ตัวเองฟุ้งตรึกเองมากๆเเล้ว จะกลายเป็น "อวิชา" นะครับท่านเพราะที่สุดเเล้ว สัพเพ ธัมมา อนัตตา ครับ แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 22:09:54 จากคุณ : แสงสีชมพู     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:09:08     ******** ถ้าไม่ค้น ก็จะไม่พบ ถ้าเอาแต่วางอุเบกขา ก็จะกลายเป็นอุเบกขาด้วยไม่ใช่ปัญญา (เพราะยังไม่พบความจริงของชีวิต) การจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา มันก็ต้องค้นหาให้พบก่อน จึงจะแจ่มแจ้ง แต่ถ้ายังค้นไม่พบ มันก็เป็นเพียงแค่การเชื่อตามตำราหรือตามคนอื่น หรือเป็นเพียงการคาดเดาเอาเท่านั้น ซึ่งยังไม่เป็นแม้ขั้นจินตามยปัญญาเลย จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:28:02

ความคิดเห็นที่ 39 ยิ้มๆ..... พอดียังไม่ได้นอนจึงสนทนาต่อ     คำถามย้อนกลับ ท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ --------------------------------------  ถ้าอย่างกนั้นก็อยากจะถามว่า ฐานความเข้าใจที่ถูกต้องของคุณนั้นคืออะไร?(โดยสรุป) และคุณเอาอะไรมาเป็นเครื่องชี้วัดว่า ฐานความเข้าใจของคุณนั้นถูกต้องแล้ว? ----------------------------------------       และ ถามว่า  "ตกลง เมื่อนอนหลับไม่รู้สึกนึกคิด  ไม่มีจิต จริงหรือ? ท่าน   เตชปญฺโญ ภิกขุ     ยังกล่าวว่า ผู้อื่นแบกตำรามาอ้าง ท่านแบกแต่ ทิฏฐิ แห่งตน ที่คิดว่า เอาความจริงมายืนยัน ซึ่งเป็นเพียงทิฏฐิ เท่านั้น แล้วปฏิเสธธรรมอื่นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว  ใครน่าเชื่อถือกว่ากัน หรือท่าน  เตชปญฺโญ ภิกขุ ?. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:33:22

ความคิดเห็นที่ 40 และ ถามว่า  "ตกลง เมื่อนอนหลับไม่รู้สึกนึกคิด  ไม่มีจิต จริงหรือ? ท่าน   เตชปญฺโญ ภิกขุ    ยังกล่าวว่า ผู้อื่นแบกตำรามาอ้าง ท่านแบกแต่ ทิฏฐิ แห่งตน ที่คิดว่า เอาความจริงมายืนยัน ซึ่งเป็นเพียงทิฏฐิ เท่านั้น แล้วปฏิเสธธรรมอื่นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว  ใครน่าเชื่อถือกว่ากัน หรือท่าน  เตชปญฺโญ ภิกขุ ?. จากคุณ : P_vicha     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:33:22     *********** อาตมาไม่เคยใช้ทิฎฐิ(ความคิดเห็น) เพราะอาตมาใช้แต่ สัจจะ (ความจริงที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้) ถ้าเป็นทิฎฐิ ก็จะมาจากการคาดเดาเอาตามตำราบ้าง ตามคนอื่นบ้าง แต่อาตมาใช้แต่ความจริงที่เราทุกคนสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้จริงในปัจจุบัน อย่างเช่น เมื่อนอนหลับไม่รู้สึกนึกคิด ก็เท่ากับ ไม่มีจิต เป็นต้น ซึ่งนี่คือความจริงที่ไม่มีใครจะปฏิเสธได้ (นอกเสียจากคนพาล) แต่คุณกลับไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ แล้วคุณเอาความเห็น (ทิฎฐิ) อะไรมาชี้แจงได้บ้างว่า ถ้าไม่มีความรู้สึกนึกคิด แล้วยังจะมีจิตอยู่? จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:41:20

ความคิดเห็นที่ 41 คคห 34 ต้องอธิบายควาหมายของคำเหล่านี้เสียก่อน เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน แต่ถ้าความเข้าใจไม่ตรงกันก็มิอาจเข้าใจกันได้ การอ้าง พระพุทธวจนะ แปลไทย สำนวนแปลใดนั้น ก็ เพื่อ  มี สัญญา (สัญชานาติ) ให้ ตรงกัน  ตาม ข้อความ --- เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน แต่ถ้าความเข้าใจไม่ตรงกันก็มิอาจเข้าใจกันได้ -- นั่นเอง ผม อ้าง พระสูตร หนึ่ง จากความจำ คือ วิราคธรรม สังขตธรรม อสังขตธรรม ---- ทำไม ต้อง อธิบาย ครับ อ่าน " ที่ตรัสไว้" -- ตามที่ผมจำเสนอแล้ว ไม่ เข้าใจ ตรงไหนหรือครับ "What am I?" จึง ต้อง  ---ต้องอธิบายควาหมายของคำเหล่านี้เสียก่อน ////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// ตอบ ทุกสิ่ง ก็ไม่ใช่ตัวเรา และไม่ใช่ตัวตนของใครๆทั้งนั้น แล้ว จะ ตั้งกระทู้ นี้  แบบ ที่ตั้ง ไป เพื่ออะไรครับ "What am I?" ในเมื่อ แค่  อ้าง  พระพุทธภาษิต  ที่ตรัสไว้ ---- ก็ เข้าใจได้ว่า  ธรรมทั้งปวง อนัตตา //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// คคห 36 อ้าว..แล้วจะเข้าใจกันได้อย่างไร เมื่อคนหนึ่งยังแบกเอาตำรามาอ้าง แต่อีกคนหนึ่งเอาความจริงมายืนยัน? (ใจเย็นๆๆๆๆๆๆๆๆๆ) ตอบแบบนี้ --- แปลว่า? เสนอเอง  คคห 28  ว่า คุณ เซ็นฯ ยังแบกตำราอยู่อีกหรือ? แล้ว กลายเป็น --- แล้วจะเข้าใจกันได้อย่างไร เมื่อคนหนึ่งยังแบกเอาตำรามาอ้าง แต่อีกคนหนึ่งเอาความจริงมายืนยัน? (ใจเย็นๆๆๆๆๆๆๆๆๆ) /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// คำว่า แต่อีกคนหนึ่งเอาความจริงมายืนยัน? คนนั้นคือ "What am I?"  ใช่ไหม? เอาความจริงมายืนยัน -- ความจริง ของ"What am I?"  ใช่ไหม? จริง แบบ " ---- โดยส่วนตัวผม ผมถือว่า ผมเหมือนกับคนขายขนม ที่ผมปรุงด้วยสูตรตำหรับพิเศษของผมเอง และเอาเครื่องปรุงพิเศษ ๆ จากการบอกกล่าวไว้ในตำรามาบ้าง  เมื่อได้ขนม เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เอามาวางขาย ฯลฯ ใช่ไหม 3 บรรทัดบน คือ คำถาม ตอบ ไหมครับ ""What am I?" " จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:41:55

ความคิดเห็นที่ 42 ย้ำ คำ ที่เสนอไว้ ว่า --- เอาความจริงมายืนยัน---                                     ที่ผม ถามว่า                 ความจริงแบบ -- โดยส่วนตัวผม "What am I?"                                        ถามดังนี้ ผม (คือ"What am I?") ถือว่า ผม (คือ"What am I?") เหมือนกับคนขายขนม ที่ผม (คือ"What am I?") ปรุงด้วยสูตรตำหรับพิเศษของผม (คือ"What am I?") เอง และเอาเครื่องปรุงพิเศษ ๆ จากการบอกกล่าวไว้ในตำรามาบ้าง  เมื่อได้ขนม เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผม (คือ"What am I?") ก็เอามาวางขาย ฯลฯ                                               ใช่ไหม จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:44:52

ความคิดเห็นที่ 43 องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงค้นจนเจอแล้ว ที่สุดแห่งทุกข์ และทรงสอนเเล้วแห่งหนทางดับทุกข์ เเละบอกทางที่ดับทุกข์ไว้แล้ว  เราคือผู้เดินตามทางนั้น แล้ว ท่านยังค้นหาอะไรอยู่...? จากคุณ : แสงสีชมพู เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:47:06

ความคิดเห็นที่ 44 ตอบ ทุกสิ่ง ก็ไม่ใช่ตัวเรา และไม่ใช่ตัวตนของใครๆทั้งนั้น แล้ว จะ ตั้งกระทู้ นี้  แบบ ที่ตั้ง ไป เพื่ออะไรครับ "What am I?" ในเมื่อ แค่  อ้าง  พระพุทธภาษิต  ที่ตรัสไว้ ---- ก็ เข้าใจได้ว่า  ธรรมทั้งปวง อนัตตา //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// จริง แบบ " ---- โดยส่วนตัวผม ผมถือว่า ผมเหมือนกับคนขายขนม ที่ผมปรุงด้วยสูตรตำหรับพิเศษของผมเอง และเอาเครื่องปรุงพิเศษ ๆ จากการบอกกล่าวไว้ในตำรามาบ้าง  เมื่อได้ขนม เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เอามาวางขาย ฯลฯ ใช่ไหม 3 บรรทัดบน คือ คำถาม ตอบ ไหมครับ ""What am I?" " จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:41:55     ********* เรื่อง ธรรมทั้งปวง อนัตตา นั้น แค่อ่านพุทธภาษิต จะไม่มีทางเข้าใจอย่างถูกต้อง เพราะขาดพื้นฐานการคิดพิจารณาที่ถูกต้อง คือคำว่า ธรรม หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่าง คำว่า อนัตตา หมายถึง ไม่ใช่อัตตา หรือไม่ใช่ตัวตนชนิดที่เป็นอมตะอย่างที่พราหมณ์สอน คือต้องมีการอธิบายหลักพื้นฐานให้เข้าใจเสียก่อน จึงจะเข้าใจพุทธภาษิตนี้ได้อย่างถูกต้อง ส่วนเรื่องการทำขนมนั้น ถ้าทำตามตำรา แล้วหากบังเอิญตำรานั้นได้ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจนผิดเพี้ยนไปเสียก่อนที่จะมาถึงเรา แล้วเราก็รับเอาตำรานั้นมาปรุง ซึ่งเราก็เชื่อกันว่าดีที่สุดแล้ว แต่ความจริงมันยังไม่ใช่ เพราะมีสูตรที่ดีที่สุดอยู่ แต่มันได้สูญหายไป แต่ถ้าเราไม่หยุดอยู่แค่ตำรานั้น คือเราพยายามคิดค้นสูตรขึ้นมาใหม่ หรือพัฒนาให้ดีขึ้น จนเราได้พบกับสูตรที่ดีที่สุด ที่เป็นของดั้งเดิมได้ เราก็จะได้ค้นพบสิ่งที่ดีที่สุดที่คนอื่นไม่เคยพบมาก่อน จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:56:48

ความคิดเห็นที่ 45 องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงค้นจนเจอแล้ว ที่สุดแห่งทุกข์ และทรงสอนเเล้วแห่งหนทางดับทุกข์ เเละบอกทางที่ดับทุกข์ไว้แล้ว  เราคือผู้เดินตามทางนั้น แล้ว ท่านยังค้นหาอะไรอยู่...? จากคุณ : แสงสีชมพู     เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:47:06     *********** ถูกต้องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงค้นจนเจอแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป คำสอนของพระพุทธองค์ได้ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนไป จนใช้ดับทุกข์ไม่ได้แล้วอย่างในปัจจุบัน ฉะนั้นเราจึงต้องค้นหาใหม่ โดยใช้หลักการศึกษาที่พระพุทธองค์ทรงวางเอาไว้ให้ เช่น หลักกาลามสูตร หลักอจินไตย หลักการศึกษาจากร่างกายและจิตใจของเราเอง เป็นต้น เพื่อให้พบคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์ หรือคุณพบคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์แล้ว? แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 23:13:49 จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 23:04:35

ความคิดเห็นที่ 46 เอ????????? จนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นมีใครตอบมาเลยว่า อะไรคือสิ่งที่เป็นตัวเรา? หรือ ขันธ์ใดที่เป็นตัวเรา? ใครรู้ช่วยตอบที.... จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 23:16:20

ความคิดเห็นที่ 47 ผมก็เห็นด้วยครับ ที่คำสอนของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกแก้ใขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนไป ก็เพราะมีคนที่ " ค้นหาใหม่ " ด้วยการค้นหาจากร่างกายเเละจิดใจของเขาเอง แล้วนำไปผูกกับคำสอนที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางไ้้้ว้ ท่านว่าจริงใหม...? จากคุณ : แสงสีชมพู เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 23:19:51

ความคิดเห็นที่ 48 สุดท้ายนี้ กระผมเเค่อยากช่วยเตือนสติเหมือนกัลยาณธรรมท่านอื่นๆ หากทำจิตท่านขุ่นเคืองกระผมขออโหสิกรรม แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 23:31:04 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 23:30:27 จากคุณ : แสงสีชมพู เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 23:29:25

ความคิดเห็นที่ 49 เข้ามาชม คะ ( ลงชื่อว่าอ่านแล้ว คะ) จากคุณ : ผู้สัญจร เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 00:08:07

ความคิดเห็นที่ 50 อนัตตา...แล้วยังไงต่อ? บางทีอาจจะเป็นคำถามที่จะต้องไปหาคำตอบอีกทั้งชีวิตก็ได้นะครับ... จากคุณ : Nirvanastream.com (สวรรค์รำไร) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 01:18:34

ความคิดเห็นที่ 51 ^___^ ติดตามชมมหากาพย์เรื่อง "หลวงพี่ What สู้สิบทิศ" ^___^ จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 01:18:43

ความคิดเห็นที่ 52 เมื่อแยกขันธ์ 5 ออกมาแล้วมันเป็นอนัตตาไม่มีตัวตนเราเขา เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้วแสดง ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว ไม่ต้องมีทุกข์แล้ว     เกิดความทุกข์ขึ้นคือปวดท้องหรือปวดหัวอย่างหนัก ความทุกข์ นี้จะหายไปหรือเปล่า      หรือถ้าหลวงพี่ ถูกหนามตำเท้า(อย่างเบา)  ก็ไม่รู้สึกเจ็บแล้วหรือ ? จากคุณ : KOB ON KALA เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 05:53:06

ความคิดเห็นที่ 53 ยิ้มๆ... กับท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ ผมได้เสนอตั้งแต่ต้นแล้วว่า ท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ ปักทิฏฐิลงไปแล้ว ดังข้อความนี้ของท่าน ---------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 46 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน เอ????????? จนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นมีใครตอบมาเลยว่า อะไรคือสิ่งที่เป็นตัวเรา? หรือ ขันธ์ใดที่เป็นตัวเรา? ใครรู้ช่วยตอบที.... จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 23:16:20 -------------------------------------------------------   ดังนั้นในความคิดเห็นที่ 4 ข้างล่างนี้ ไม่ได้คลาดเคลือนจาก เหตุและผลที่ปรากฏ ที่ผมวางไว้ ตั้งแต่ต้น ดังนี้. ------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 4 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน ยิ้มๆ .... กับท่าน What am I?  เพราะผมเข้าใจว่า ท่านคิดว่ากระทู้นี้ สมบูรณ์แล้ว คิดอย่างรอบคอบแล้ว ไม่สามารถค้านได้   ผมจึงถามกลับท่านว่า....   ท่านเคย ปฏิบัติตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว (ไม่ใช่เพียงแต่นั่งคิด) เมื่อมีสติสมบูรณ์ มีสมาธิสมบูรณ์ เจ่มแจ้งสมบูรณ์ ดำรงณ์อยู่ โดยไม่มีความนึกคิด ไม่มีความรู้สึกแบบมีเวทนา การปรุงแต่ง ใดๆ เลย และไม่มีความรู้สึกว่า เป็นเรา ของเรา หรือตัวตัวของเราอยู่เลยหรือยัง   ถ้ายังก็ถือว่า เป็นเพียงแต่ความคิด หรือจินตนาการเอาเองของท่านเท่านั้น   หมายเหตุ ถ้าตอบว่า เวลาหลับ หรือสลบไป ก็ไม่รู้สึกว่า มีเรา ของเรา หรือตัวตนของเราอยู่ ก็ถือว่าผู้ที่ตอบอย่างนี้นั้นมีโมหะ อย่างสมบูรณ์      เพราะที่กล่าวคือ เมื่อมีสติสมบูรณ์ มีสมาธิสมบูรณ์ เจ่มแจ้งสมบูรณ์ ดำรงณ์อยู่ โดยไม่มีความนึกคิด ไม่มีความรู้สึกแบบมีเวทนา การปรุงแต่ง ใดๆ เลย และไม่มีความรู้สึกว่า เป็นเรา ของเรา หรือตัวตัวของเราอยู่เลย     พระพุทธเจ้าตรัสสอนธรรม เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติธรรม แล้วประจักกับสภาวะธรรมนั้นจริงๆ  ไม่ใช่เพียงแต่คิดเอา ประมาณเอา วิเคราะห์เอา แล้วเอาแต่เข้าใจเอาเองเท่านั้น จากคุณ : P_vicha [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 20:35:45 ยิ้มๆ .... กับท่าน What am I?  เพราะผมเข้าใจว่า ท่านคิดว่ากระทู้นี้ สมบูรณ์แล้ว คิดอย่างรอบคอบแล้ว ไม่สามารถค้านได้ ------------------------------------------------------     ท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ  รู้จักคำว่า ทิฏฐิ แล้วหรือยัง? ครับ. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 09:15:31

ความคิดเห็นที่ 54 ต่อไปผมก็เสนอ จากคำถามของท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ  ที่แสดง กับผมต่อนะครับ. จากข้อความของท่าน  เตชปญฺโญ ภิกขุ --------------------------------------------- *********** อาตมาไม่เคยใช้ทิฎฐิ(ความคิดเห็น) เพราะอาตมาใช้แต่ สัจจะ (ความจริงที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้) ถ้าเป็นทิฎฐิ ก็จะมาจากการคาดเดาเอาตามตำราบ้าง ตามคนอื่นบ้าง แต่อาตมาใช้แต่ความจริงที่เราทุกคนสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้จริงในปัจจุบัน อย่างเช่น เมื่อนอนหลับไม่รู้สึกนึกคิด ก็เท่ากับ ไม่มีจิต เป็นต้น ซึ่งนี่คือความจริงที่ไม่มีใครจะปฏิเสธได้ (นอกเสียจากคนพาล) แต่คุณกลับไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ แล้วคุณเอาความเห็น (ทิฎฐิ) อะไรมาชี้แจงได้บ้างว่า ถ้าไม่มีความรู้สึกนึกคิด แล้วยังจะมีจิตอยู่? จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:41:20 --------------------------------------------------     แต่ในวงการวิทยาศาสตร์ มีการทดลองแล้ว ถึงขนาดใช้เครื่องมือมากมายวัดกันขณะ นอนหลับ ไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้สึกนึกคิด       คือยังมีความรู้สึกอยู่ ยังมีการตอบสนองอยู่ อยู่ในสภาวะของการฝัน ที่มีความนึกคิดได้อยู่บ้าง  แต่เมื่อตื่นรู้ตัวสมบูรณ์ กลับจำไม่ได้ หรือจำได้บ้างลางๆ  เล็กน้อย.     นี้ก็เป็นวงการวิทยาสตร์ทำการพิสูจน์แล้ว แล้วท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ จะยังถือทิฏฐิที่ว่า เมื่อนอนหลับ แล้วตืนมา แต่จำไม่ได้หรือจำได้ล่างๆ ขณะนอนหลับ ไม่มีจิตอยู่อีกเหลือท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ      ซึ่งท่านก็ยังมี ทิฏฐิ (ความคิดเห็น) ไม่เป็นไปตามวิทยาศาสตร์ อยู่เช่นกัน นะครับ.    และความคิด หรือทิฏฐิ ของท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ ยังค้านยังไม่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วในพระไตรปิฏก เล่มที่ 16 ดังนี้ ------------------------------------------------- [๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุม แห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ ---------------------------------------------------    ซึ่งข้อความที่เป็นพุทธพจน์ นั้น ก็ยังเข้ากันได้กับการทดลอง วิทยาศาสตร์ ดังที่เสนอด้านบนไม่ใช่หรือ ท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ.     สรุป.....       ดังนั้นไม่ว่า ท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ จะมีทิฏฐิ หรือ ความเห็นเช่นใด ว่าทุกสิ่ง อนัตตา (สิ่งทุกสิ่งก็ อนัตตา จริงๆ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แม้ สังขตธรรม หรือ อสังขตธรรม) แต่เมื่อ ยังมี หรือ ยังเป็นที่ตั้ง แห่งตัณหาและทิฏฐิ ได้อยู่ ก็ต้องมีทุกข์ วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร อยู่ดี แม้จะระลึกได้ก็ดีระลึกไม่ได้ก็ดี ซึ่งเป็นเช่นนั้นเอง หรือกฎ "อิตัปปัจจยตา"      ทุกสิ่งล้วน อนัตตา แต่ก็เป็นไปตาม กฎอิตัปปัจจยตา คือ เมื่อสิ่งนี้มี สิ้่งนี้จึงมี  เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ.       แต่เมื่อ ยังมี หรือ ยังเป็นที่ตั้ง แห่งตัณหาและทิฏฐิได้อยู่ แม้ทุกสิ่งที่คิดที่เข้าใจที่เห็นว่าเป็นอนัตตา  ก็ยังต้องวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ ในวัฏสงสาร อยู่ดี ตามกฏ อิตัปปัจจยตา มิใช่หรือท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ. แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 55 11:23:16 จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 09:53:50

ความคิดเห็นที่ 55 ความคิดเห็นที่ 37     คุณ What am I ? ปฏิบัติจนรู้ได้้ด้วยตนเอง ตามหลักกาลามสูตร ในหลักปฏิบัติสมาธิหรือวิปัสสนาข้อใด ? จากคุณ : Real~Fine   เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 22:04:18   ************ ไม่เข้าใจคำถาม? สมาธิ คือการทำจิตให้ตั้งมั่น วิปัสสนา การทำจิตให้รู้แจ้ง โดบการ ฟัง อ่าน, คิด, เพ่งดูจากของจริง แล้วมันมีข้อด้วยหรือ? พระพุทธเจ้าทรงสอน "กรรมฐาน 40 วิธี" แบ่งออกเป็น 7 หมวด ดังนี้                                                                           หมวดกสิน ๑๐ เป็นการทำสมาธิด้วยวิธีการเพ่ง ๑. ปฐวีกสิน  เพ่งธาตุดิน ๒. อาโปกสิณ  เพ่งธาตุน้ำ ๓. เตโชกสิณ  เพ่งไฟ ๔. วาโยกสิน  เพ่งลม ๕. นีลกสิน เพ่งสีเขียว ๖. ปีตกสิน  เพ่งสีเหลือง ๗. โลหิตกสิณ  เพ่งสีแดง ๘. โอฑาตกสิณ  เพ่งสีขาว ๙. อาโลกกสิณ  เพ่งแสงสว่าง ๑๐. อากาศกสิณ  เพ่งอากาศ หมวดอสุภกรรมฐาน ๑๐  เป็นการตั้งอารมณ์ไว้ให้เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยงดงาม มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก น่าเกลียด ๑๑. อุทธุมาตกอสุภ ร่างกายของคนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว นับแต่วันตายเป็นต้นไป มีร่างกายบวมขึ้น พองไปด้วยลม ขึ้นอืด ๑๒. วินีลกอสุภ  วีนีลกะ แปลว่า สีเขียว   เป็นร่างกายที่มีสีเขียว สีแดง สีขาว คละปนระคนกัน คือ มีสีแดงในที่มีเนื้อมาก มีสีขาวในที่มีน้ำเหลืองน้ำหนองมาก มีสีเขียวในที่มีผ้าคลุมไว้ ฉะนั้นตามร่างกายของผู้ตาย จึงมีสีเขียวมาก ๑๓. วิปุพพกอสุภกรรมฐาน  เป็นซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลอยู่เป็นปกติ ๑๔. วิฉิททกอสุภ คือซากศพที่มีร่างกายขาดเป็นสองท่อนในท่ามกลางกาย ๑๕. วิกขายิตกอสุภ เป็นร่างกายของซากศพที่ถูกยื้อแย่งกัดกิน ๑๖. วิกขิตตกอสุภ  เป็นซากศพที่ถูกทอดทิ้งไว้จนส่วนต่าง ๆ กระจัดกระจาย มีมือ แขน ขา ศีรษะ กระจัดพลัดพรากออกไปคนละทาง ๑๗. หตวิกขิตตกอสุภ  คือ ซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่ ๑๘. โลหิตกอสุภ คือ ซากศพที่มีเลือดไหลออกเป็นปกติ ๑๙. ปุฬุวกอสุภ  คือ ซากศพที่เต็มไปด้วยตัวหนอนคลานกินอยู่ ๒๐. อัฏฐิกอสุภ คือ ซากศพที่มีแต่กระดูก อนุสสติกรรมฐาน ๑๐ อนุสสติ แปลว่า ตามระลึกถึง เมื่อเลือกปฏิบัติให้พอเหมาะแก่จริต จะได้ผลเป็นสมาธิมีอารมณ์ ตั้งมั่นได้รวดเร็ว ๒๑. พุทธานุสสติกรรมฐาน  ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ๒๒. ธัมมานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์ ๒๓. สังฆานุสสติกรรมฐาน  ระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์ ๒๔. สีลานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณศีลเป็นอารมณ์ ๒๕. จาคานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงผลของการบริจาคเป็นอารมณ์ ๒๖. เทวตานุสสติเป็นกรรมฐาน ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์ ๒๗. มรณานุสสติกรรมฐาน  ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ๒๘. กายคตานุสสติกรรมฐาน  เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในจาคะจริต ๒๙. อานาปานานุสสติกรรมฐาน เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในโมหะ และวิตกจริต ๓๐. อุปสมานุสสติกรรมฐาน  ระลึกความสุขในพระนิพพานเป็นอารมณ์ หมวดอาหาเรปฏิกูลสัญญา ๓๑. อาหาเรปฏิกูลสัญญา เพ่งอาหารให้เห็นเป็นของน่าเกลียด บริโภคเพื่อบำรุงร่างกาย ไม่บริโภคเพื่อสนองกิเลส หมวดจตุธาตุววัฏฐาน ๓๒. จตุธาตุววัฏฐาน ๔ พิจารณาร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ หมวดพรหมวิหาร ๔ พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมเป็นที่อยู่ของพรหม พรหมแปลว่าประเสริฐ พรหมวิหาร ๔ จึงแปลว่า คุณธรรม ๔ ประการ ที่ทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติเป็นผู้ประเสริฐ ได้แก่ ๓๓. เมตตา  คุมอารมณ์ไว้ตลอดวัน  ให้มีความรัก อันเนื่องด้วยความปรารถนาดี ไม่มีอารมณ์เนื่องด้วยกามารมณ์ เมตตาสงเคราะห์ผู้อื่นให้พ้นทุกข์ ๓๔. กรุณา ความสงสารปรานี มีประสงค์จะสงเคราะห์แก่ทั้งคนและสัตว์ ๓๕. มุทิตา   มีจิตชื่นบาน พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ไม่มีจิตริษยาเจือปน ๓๖. อุเบกขา มีอารมณ์เป็นกลางวางเฉย มวดอรูปฌาณ ๔ เป็นการปล่อยอารมณ์ ไม่ยึดถืออะไร มีผลทำให้จิตว่าง มีอารมณ์เป็นสุขประณีต ในฌานที่ได้ ผู้จะเจริญอรูปฌาณ ๔ ต้องเจริญฌานในกสินให้ได้ฌาณ ๔ เสียก่อน แล้วจึงเจริญอรูปฌาณจนจิตเป็นอุเบกขารมณ์ ๓๗. อากาสานัญจายตนะ ถือ อากาศเป็นอารมณ์ จนวงอากาศเกิดเป็นนิมิตย่อใหญ่เล็กได้ ทรงจิตรักษาอากาศไว้ กำหนดใจว่าอากาศหาที่สุดมิได้ จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์ ๓๘. วิญญาณัญจายตนะ กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้ ทิ้งอากาศและรูปทั้งหมด ต้องการจิตเท่านั้น จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์ ๓๙. อากิญจัญญายตนะ กำหนดความไม่มีอะไรเลย อากาศไม่มี วิญญาณก็ไม่มี ถ้ามีอะไรสักหน่อยหนึ่งก็เป็นเหตุของภยันตราย ไม่ยึดถืออะไรจนจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์ ๔๐. เนวสัญญานาสัญญายตนะ ทำความรู้สึกตัวเสมอว่า ทั้งที่มีสัญญาอยู่ก็ทำเหมือนไม่มี ไม่รับอารมณ์ใด ๆ จะหนาว ร้อนก็รู้แต่ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย ปล่อยตามเรื่อง เปลื้องความสนใจใด ๆ ออกจนสิ้น จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์ และวิปัสสนา 21 วิธีใน"มหาสติ" ในการพิสูจน์ด้วยตนเองว่าอะไรจริงไม่จริง ผู้ปฏิบัติทุกคนบนโลก เมื่อจะเข้าถึงสัจธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์ ควรปฏิบัติข้อใดข้อหนึ่ง  ท่านปฏิบัิติรู้เห็นในข้อใด หรือท่านรู้ท่านเห็นด้วยการปฏิบัติอย่างอื่น จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 11:15:48

ความคิดเห็นที่ 56 ที่กล่าวว่า อวิชชา เป็นปัจจัยแก่สังขาร นั้น ก็มาจากหลักปฎิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นอาการของจิตที่ปรุงแต่ง(สังขาร)ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาโดยมีความรู้ว่ามีตัวเรา(อวิชชา)เป็นต้นขั้ว  ไม่ได้หมายถึงว่า เมื่อมีอวิชชา แล้วจึงมีร่างกาย (คือคำว่าว่า สังขารนี้ไม่ได้หมายถึงร่างกาย แต่หมายถึง การปรุงแต่ง) คุณคงยังศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาทมาไม่ถูกต้อง จึงได้เกิดคำถามเช่นนี้ขึ้นมา คือไปเข้าใจว่า ถ้ายังมีอวิชชา ก็จะมีร่างกายไปเกิดใหม่   ซึ่งเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนลึกซึ้ง แต่ก็สามารถเข้าใจและเห็นแจ้งได้ โดยจะต้องเข้าใจเรื่อง ขันธ์ ๕ หรือ จิต เป็น อนัตตาเสียก่อน จึงจะเข้าใจปฏิจจสมุปบาทได้ จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) ขอศึกษาเพิ่มเติมจากท่าน หากอวิชชา  ทำให้เกิดการปรุงแต่งแล้ว  แต่หากผู้นั้นได้ตายลงก่อนที่จะสิ้นอวิชชา  การปรุงแต่งนั้นยังคงมีอยู่ต่ออีกหรือไม่  เมื่อตายทั้งที่ยังมีอวิชชาอยู่  เช่น ปุถุชนตาย  ไม่ใช่่พระอรหันต์ตาย  ปุถุชนตาย  ในขณะที่ยังมีอวิชชา  จะยังมีการปรุงแต่งหรือไม่ ? อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดการปรุงแต่ง  หากตายลงทั้งที่อวิชชายังไ่ม่ดับ  การปรุงแต่งจะดับหรือไม่ ? (พยายามเขียนย้ำ ๆ เพื่อให้มองภาพของคำถามออก) จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 11:21:24

ความคิดเห็นที่ 57 จขกท. เอามาจากไหนครับ หรือ คิดค้นขึ้นเอง ว่า ชีวิตเราประกอบด้วยขันธ์ ๕ จากคุณ : Garcinia เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 12:48:51

ความคิดเห็นที่ 58 อยากจะให้สัก 1000 กิ๊ฟ กับทุกท่าน ในความอุตสาหะที่จะเสวนากับท่านวอท "ให้รู้เรื่อง" จากคุณ : Bg-view เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 19:18:03

ความคิดเห็นที่ 59 ขอตอบคุณ P_vicha ในเรื่องของจิตขณะที่หลับสักนิด ขณะที่เราหลับและฝันอยู่นั้น ก็แสดงว่าเรายังรู้สึกนึกคิดอยู่ เพียงแต่ว่าไม่เต็มที่หรือไม่สมบูรณ์เท่านั้น ซึ่งก็เท่ากับว่าได้เกิดจิตที่ไม่สมบูรณ์ขึ้นมา แต่ในขณะที่เราหลับสนิทและไม่ฝันอยู่นั้น ก็แน่นอนว่าจะไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆ ดังนั้นความจริงก็คือ มันไม่มีจิต (ที่หมายถึงสิ่งที่รู้สึกนึกคิดได้) แต่ก็ใช่ว่าจะตาย เพราะร่างกายยังไม่ตาย ระบบประสาทของร่างกายยังทำงานอยู่ ดังนั้นจึงได้เกิดวิญญาณหรือการรับรู้อยู่ในระบบประสาทของร่างกายทุกส่วน แต่ยังไม่เกิดเวทนาและสัญญา รวมทั้งสังขาร ที่จะทำให้เกิดเป็นจิตขึ้นมา เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่แสตนบายอยู่ คือยังมีระบบไฟฟ้ามาทำงานอยู่ แต่ระบบปฏิบัติการยังไม่ทำงาน จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 19:43:57

ความคิดเห็นที่ 60 เมื่อแยกขันธ์ 5 ออกมาแล้วมันเป็นอนัตตาไม่มีตัวตนเราเขา เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้วแสดง ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว ไม่ต้องมีทุกข์แล้ว    เกิดความทุกข์ขึ้นคือปวดท้องหรือปวดหัวอย่างหนัก ความทุกข์ นี้จะหายไปหรือเปล่า     หรือถ้าหลวงพี่ ถูกหนามตำเท้า(อย่างเบา)  ก็ไม่รู้สึกเจ็บแล้วหรือ ? จากคุณ : KOB ON KALA     เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 05:53:06   ************* คุณ  KOB ON KALA  ยังไม่รู้จักคำว่า ทุกข์ ของอริยสัจ ๔ว่าหมายถึง ทุกขอุปาทาน คือทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่จิตใจเมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นว่าร่างวกายและจิตใจนี้ตือตัวเรา-ของเรา ส่วนทุกข์ของร่างกายนั้นจัดเป็นทุกขลักษณะและทุถกเวทนา ต้องแยกกันให้ออก จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 19:50:20

ความคิดเห็นที่ 61 จขกท. เอามาจากไหนครับ หรือ คิดค้นขึ้นเอง ว่า ชีวิตเราประกอบด้วยขันธ์ ๕ จากคุณ : Garcinia     เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 12:48:51     ********** อ้าว??? แล้วชีวิตมันมีขันธ์ที่ ๖ ที่ ๗ หรือกระไร? ตำราก็บอกว่ามีขันธ์ ๕ แต่ถ้าไม่เชื่อตำราก็มาดูจากชีวิตของเราเองจริงๆว่ามันมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ก็จะพบว่ามันมี ๕ ส่วนหรือ ๕ ขันธ์ ลองไปศึกษาดูจากเว็บนี้ http://www.whatami.net/ จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 20:05:52

ความคิดเห็นที่ 62 อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดการปรุงแต่ง  หากตายลงทั้งที่อวิชชายังไ่ม่ดับ  การปรุงแต่งจะดับหรือไม่ ? (พยายามเขียนย้ำ ๆ เพื่อให้มองภาพของคำถามออก) จากคุณ : Serene_Angelic     เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 11:21:24     *********** เรื่องอวิชชากับเรื่องความตายไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย อวิชชาทำได้เพียทำให้จิตเกิดความทุกข์เท่านั้น มันไม่ได้ทำให้จิตเป็นอมตะจนสามารถออกจากร่างกายที่ตายแล้วได้ หรือไม่สามารถเป็นเหตุให้เกิดจิตใหม่ในร่างกายใหม่ๆได้ เมื่ออวิชชาเกิด จึงจะเกิดความทุกข์  เมื่ออวิชชาดับ ความทุกข์ก็ไม่เกิด ส่วนเรื่องการตาย ก็ต้องศึกษาเรื่องขันธ์ ๕ ให้ละเอียด แล้วจะเข้าใจได้เองว่า เมื่อตายไปแล้วจะเป็นอย่างไร? โดยไม่ต้องไปถามใคร จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 20:13:22

ความคิดเห็นที่ 63 ขอจบกระทู้นี้เพียงเท่านี้ เพราะตามอ่านไม่ไหว ขอเชิญไปกระทู้ใหม่ดีกว่า http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11858682/Y11858682.html จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 20:15:54

ความคิดเห็นที่ 64 ทุกข์ในอริยสัจ 4 คือสภาพที่ทนได้ยาก มีทุกขเวทนาด้วยนี่ ธรรมะของหลวงพี่แก้ได้แค่ทุกข์อุปปาทานแค่นั้นคือ ทุกขเวทนาแก้ไม่ได้หรือ ? แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 55 23:59:57 จากคุณ : KOB ON KALA เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 23:57:50

ความคิดเห็นที่ 65 ทุกข์ในอริยสัจ 4 คือสภาพที่ทนได้ยาก มีทุกขเวทนาด้วยนี่ ธรรมะของหลวงพี่แก้ได้แค่ทุกข์อุปปาทานแค่นั้นคือ ทุกขเวทนาแก้ไม่ได้หรือ ? แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 55 23:59:57 จากคุณ : KOB ON KALA     เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 55 23:57:50     *************** ทุกเวทนาเป็นแค่เพียงความรู้สึกที่ทนได้ยากที่ไม่รุนแรง ซึ่งไม่สำคัญ แต่ทุกขอุปาทานต่างหากที่รุนแรงมาก เมือเราเดินตากแดดแล้วร่างกายร้อน ก็จัดเป็นทุกขเวทนา แต่ถ้าใจมันร้อน ก็เป็นทุกขอุปาทาน  แล้วอย่างไหนร้อนมากกว่ากัน? จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 20:22:07

ความคิดเห็นที่ 66 ถ้าให้เลือกทุกข์เพราะอุปาทาน  กับทุกข์เพราะเวทนา  ผมขอเลือกทุกข์เพราะอุปาทานดีกว่า  ทุกข์เวทนาไม่ขอเข้าใกล้ เห็นคนที่เป็นเส้นโลหิตในสมอง  แตกปวดหัว ครวญคราง แล้ว ไม่ขอเลือกที่กว่า  เห็นคนเป็นอัมพาตนั่งรถเข็นแล้ว ทุกข์ขนาดนั้นทนได้ยาก กว่าทุกข์ทางใจอีก จากคุณ : KOB ON KALA เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 55 21:02:59

ความคิดเห็นที่ 67 คนเราไม่มีขันธ์ครับ เพราะ มันเป็นอนัตตา จากคุณ : ชลิโต เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 00:00:40

ความคิดเห็นที่ 68 ความคิดเห็นที่ 46 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน เอ????????? จนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นมีใครตอบมาเลยว่า อะไรคือสิ่งที่เป็นตัวเรา? หรือ ขันธ์ใดที่เป็นตัวเรา? ใครรู้ช่วยตอบที.... จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 23:16:20 [แก้ไข] //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// คคห 44 เรื่อง ธรรมทั้งปวง อนัตตา นั้น แค่อ่านพุทธภาษิต จะไม่มีทางเข้าใจอย่างถูกต้อง ต้อง อ่าน ตามที่ "What am I?"  เสนอ เท่านั้น  ใช่ไหม ?  จึง จะ  "ตรัสรู้"  "ตรงตาม"  "ที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษา พระพุทะภาษิตมา" ????                                 ???      "What am I?"    เป็น ???? ลอง อ่าน   พระรัตนตรัย แบบ นอกกระแสหลัก http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11865734/Y11865734.html มั๊ย ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// หมายเหตุ ๑ ขอเดาว่า " "What am I?" " -- ไม่สามารถ  เสนอ พระรัตนตรัย  แบบ ที่ ผมเสนอได้  มาก่อน  ตราบจน อ่าน พระรัตนตรัย แบบ นอกกระแสหลัก   มั๊ง ??? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 11:07:41

ความคิดเห็นที่ 69 ความคิดเห็นที่ 46 เอ????????? จนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นมีใครตอบมาเลยว่า อะไรคือสิ่งที่เป็นตัวเรา? ก็ ตอบไปแล้วว่า (คคห 44) -- อ่าน ไม่ รู้เรื่อง ตรงไหน ? "What am I?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 55 11:09:22