วิธีกำหนดเวทนาที่ถูกต้อง เอาแบบที่เข้าใจง่ายๆ
1.รู้สักแต่ว่ารู้เห็นสักแต่ว่าเห็น รู้แจ้งสักแต่ว่ารู้แจ้งเมื่อนั้นจะไม่มีตัวเรา
กายเจ็บ แต่เราไม่เจ็บ เพราะไม่มีตัวเรา
2.คนเราหิวก็ต้องกินข้าว เวลาเจ็บก็ต้องรักษาการเจ็บป่วย
แต่การกิน การรักษานั้นก็ต้องพิจารณาว่าเพื่อบรรเทาทุกข์ ไม่ใช่เพื่อความต้องการ
ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น
3.ความอดทน ไม่ทำกรรมใหม่ ชำระกรรมเก่า
4.นั่งนาน เดิน นาน ร่างกายไหวหรือไม่ไหว
เคยมีพระ รูปหนึ่งเดินจงกรมจนเท้าแตกก็ไม่ได้บรรลุธรรมจึงคิดเลิกปฎิบัติ อยากสึก
คัดลอกข้อความบางส่วน
...........................................
ทรงแนะให้ทำความเพียรเหมือนพิณ ๓ สาย
ครั้นบวชแล้ว ได้ไปบำเพ็ญเพียรที่ป่าสีตวัน เขตเมืองราชคฤห์ ท่านเดินจงกรมอย่างหนัก
จนฝ่าเท้าแตก เลือดไหล เมื่อเดินด้วยเท้าไม่ได้ ท่านจึงใช้วิธีคลานด้วยเข่าและฝ่ามือทั้งสอง จน
กระทั่งเข่าและฝ่ามือทั้งสองแตกอีกแม้กระนั้น ท่านก็ยังไม่บรรลุมรรคผลอันใด
ท่านจึงเกิดความท้อแท้น้อยใจในวาสนาบารมีของตนว่า
“บรรดาสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างหนัก
นั้น เราก็เป็นผู้หนึ่งที่มิได้ย่อหย่อนกว่าผู้อื่น ๆ ถ้ากระไรเราควรลาสิกขาออกไปครองเพศฆราวาส
ทำบุญสร้างกุศลตามสมควรแก่ฆราวาสวิสัยจะดีกว่า”
พระบรมศาสดา ทรงทราบดำริขอท่านเช่นนั้น จึงเสด็จมาตรัสสอนให้บำเพ็ญเพียรแต่พอ
ปานกลาง อย่าให้ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไปแล้วทรงยกพิณสามสายซึ่งท่านมีความชำนาญใน
การดีดพิณอยู่ก่อนแล้ว ขึ้นมาแสดงเป็นเครื่องเปรียบเทียบให้เห็นว่า
“พิณที่สายตึงเกินไป เมื่อดีดแล้วสายก็จะขาด พิณที่สายหย่อนเกินไป เมื่อดีดแล้วเสียงก็ไม่ไพเราะ ต้องสายที่ตึงพอปานกลางจึงจะไม่ขาดและมีเสียงเพาะ”
ท่านโสณโกฬิวิสะ ปฏิบัติตามพระดำรัสที่ทรงแนะนำ ไม่ตึงเกินไป หรือไม่หย่อนเกิน
ไป ปรับอินทรีย์ให้เสมอกันได้แล้ว ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผล
......................
5.เคยมีพรอริยเจ้าหลายท่านบรรลุธรรม เพราะยอมเสียสละร่างกายชีวิต เพื่อแลกกับการได้ปฎิบัติธรรม
บางท่านไม่บรรลุ
บางท่านก็บรรลุ
แม้พระพุทธเจ้าก็กล่าวชมว่า บุคคลเช่นนี้ทำให้ป่างาม
จขก ได้พยายามปฎิบัติธรรม ตามที่ตั้งใจไว้ก็ทำให้ สถานที่นั้น งาม
6.พระสารีบุตร โปรดอนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วย
ทนทุกขเวทนา เป็นไข้หนัก
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=14&A=9311&Z=9524
7.พระโอวาทอันเปรียบด้วยเลื่อย
http://84000.org/tipitaka/read/?12/342/350
8. อนุสติ
พุทธานุสติ - ระลึกถึงพระพุทธเจ้า คือน้อมจิตระลึกถึง และพิจารณาคุณของพระองค์
ธัมมานุสติ - ระลึกถึงพระธรรม(คำสั่งสอนของพระพุทธองค์) คือน้อมจิตระลึกถึง และพิจารณาคุณของพระธรรม
สังฆานุสติ - ระลึกถึงพระสงฆ์ คือน้อมจิตระลึกถึง และพิจารณาคุณของพระสงฆ์
สีลานุสติ - ระลึกถึงศีล และพิจารณาศีลของตนที่ได้ประพฤติบริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อย
จาคานุสติ - ระลึกถึงจาคะ ทานที่ตนได้บริจาคแล้ว และพิจารณาเห็นคุณธรรม คือความเผื่อแผ่เสียสละที่มีในตน
เทวตานุสติ - ระลึกถึงเทวดา หมายถึงเทวดาที่ตนเคยได้รู้ได้ยินมา และพิจารณาเห็นคุณธรรมซึ่งทำคนให้เป็นเทวดา ตามที่มีอยู่ในตน
มรณสติ - ระลึกถึงความตายอันจะต้องมีมาถึงตนเป็นธรรมดา พิจารณาให้เกิดความไม่ประมาท
กายคตาสติ - สติอันไปในกาย หรือระลึกถึงเกี่ยวกับร่างกาย คือ กำหนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าประกอบด้วยด้วย ส่วนต่างๆคือ อาการ32อันไม่สะอาด ไม่งาม น่าเกลียด เป็นทางรู้เท่าทันสภาวะของกายนี้ มิให้หลงไหลมัวเมา
อานาปานสติ - สติกำหนดลมหายใจเข้าออก
อุปสมานุสติ - ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบคือนิพพาน และพิจารณาคุณของนิพพาน อันเป็นที่หายร้อนดับกิเลสและไร้ทุกข์
แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 55 03:49:04
แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 55 03:43:53
แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 55 02:18:59
แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 55 02:18:44
แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 55 01:42:27
แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 55 00:59:18
แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 55 00:56:54