|
ขยายความ
1.พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายไว้ว่าที่ทรงตรัสเช่นนั้นก็เพื่ออนุเคราะห์พวกเจ้าวัชชี เพราะหากพระองค์ได้ตรัสเช่นนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูสามารถที่จะรบชนะพวกเจ้าวัชชีได้ภายในไม่กี่วัน แต่ถ้าหากพระองค์ตรัสเช่นนั้น กว่าพระเจ้าอชาตศัตรูจะทลายพวกเจ้าวัชชีให้แตกสามัคคีกันต้องใช้เวลาถึง ๓ ปี การที่พวกเจ้าวัชชีมีชีวิตอยู่ได้อีก ๓ ปี เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะสามารถทำความดีให้เป็นที่พึงของตนได้ (อ้างที.ม.อ. ๒/๑๓๕/๑๒๑.)
2.วัสสการพราหมณ์พอได้ฟังคำที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์แล้วก็คิดว่า ที่พวกเจ้าลิจฉวีเข้มแข็ง ข้าศึกศัตรูไม่สามารถเอาชนะได้ เพราะความสมัครสมานสามัคคีกัน ทางเดียวที่จะตีแตกได้ต้องหาทางทำลายความสามัคคีของพวกเจ้าลิจฉวี ข้อนี้เป็นความฉลาดของวัสสการพราหมณ์เอง จะหาว่าพระพุทธองค์ทรงบอกใบ้หรือชี้แนะให้กษัตริย์สองเมืองรบกันไม่ถูกต้องแน่นอน เพราะพระพุทธจริยาวัตรของพระองค์ทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระมหากรุณามุ่งให้สรรพสัตว์รักใคร่ปรองดองกัน ส่วนคนที่ฟังจากพระองค์แล้วจะนำไปคิดไปใช้ในแง่ลบแง่เบียดเบียนคนอื่น เป็นความผิดของผู้นั้นเอง (อ้างศาสตราจารย์พิเศษเสฐียรพงษ์ วรรณปก)
เรื่องนี้ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ชี้แจงไว้ในหนังสือกรณีเงื่อนงำพระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยโรคอะไร สรุปได้ว่าการศึกสงครามระหว่างมคธกับวัชชี อันเนื่องมาจากพระเจ้าอชาตศัตรูทรงพิโรธพวกเจ้าลิจฉวี ทรงเตรียมจะยกทัพไปตีวัชชีมานานจนถึงจุดระเบิด แต่พระเจ้าอชาตศัตรูยังคร้ามเกรงอยู่ เพื่อความมั่นใจ จึงส่งวัสสการพราหมณ์ไปเฝ้าหยั่งพระดำรัสของพระพุทธเจ้าดู โดยกราบทูลตรงๆ ว่า พระเจ้าอชาตศัตรูจะยกทัพไปถล่มวัชชีให้พินาศขาดสูญ และก็ไม่ได้บอกว่าจะรอความเห็นของพระพุทธองค์ เพียงเล่าให้ทราบ พระพุทธองค์ทรงสดับแล้ว ได้ทรงผินพระพักตร์ไปตรัสถามพระอานนท์ว่า พวกเจ้าลิจฉวียังปฏิบัติวัชชีอปริหานิยธรรม ๗ ประการ กันอยู่หรือ และตรัสว่า ตราบใดที่ชาววัชชียังปฏิบัติตามนั้นอยู่ก็หวังได้แต่ความเจริญ ไม่มีเสื่อม วัสสการพราหมณ์สรุปเอาเองว่าอย่าว่าแต่ปฏิบัติวัชชีอปริหานิยธรรม ๗ ข้อเลย แม้เพียงข้อหนึ่งๆ ก็หวังได้แต่ความเจริญ ไม่มีเสื่อม ถ้าจะปราบแคว้นวัชชีจะต้องใช้วิธีเกลี้ยกล่อม หรือไม่ก็ทำลายความสามัคคีจึงจะทำสำเร็จ
3.แต่ที่แน่นอนก็คือตลอดพระชนมชีพของพระพุทธเจ้า พระเจ้าอชาตศัตรูไม่ได้ทรงยกทัพไปปราบแคว้นวัชชี เลย แคว้นวัชชียังคงอยู่เป็นปกติสุข จนพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน และแคว้นวัชชีก็ได้ไปรับการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไปทำการฉลองในกรุงเวสาลี (อ้างอิง ทองย้อย แสงสินชัย, นาวาเอก, ความจริงในมหาปรินิพพานสูตร)
* ถ้าเราพิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น ไม่ได้ให้นัยความหมายไปในทางสนับสนุนสงครามแต่ประการใด ตรงกับข้ามจะเป็นทัศนะที่ห้ามไม่ให้ไปทำสงครามมากกว่า เพราะถ้าไปก็จะมีแต่ความพ่ายแพ้กลับมา แต่การได้นัยเป็นสองประการนั้น เป็นข้อสรุปของพราหมณ์เอง ในประเด็นนี้ พระอรรถกถาอธิบายความตอนนี้ไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงทราบดีถึงการได้นัยของวัสสการพราหมณ์และตามมติของพระอรรถกถาจารย์ดูเหมือนจะบอกว่า พระพุทธเจ้าทรงประสงค์ให้วัสสการพราหมณ์ได้นัยเช่นนั้น เพราะถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตรัสเช่นนั้น แคว้นวัชชีจะถูกทำลายภายในชั่วเวลาไม่กี่วัน แต่การที่ทรงตรัสเช่นนั้น เป็นการซื้อเวลาให้พวกเจ้าวัชชีอีก ๓ ปี กว่าวัสสการพราหมณ์จะดำเนินการยุยงให้แตกกันสำเร็จ การทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการอนเคราะห์แก่พวกเจ้าวัชชีจะได้มีโอกาสในการทำความดีมากกว่าจะเป็นส่งเสริมให้มีสงคราม เพราะทรงเล็งเห็นแล้วว่า กระแสสังคมที่ยอมรับการล่าอาณานิคมเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในยุคนั้นมีกำลังแรงมาก และพลังของมานะกษัตริย์ที่ยึดถือเรื่องวรรณะก็มีพลังมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สงครามระหว่างพระเจ้าอชาตศัตรูกับพวกเจ้าวัชชีก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอน และการที่ทรงตรัสเช่นนั้น จึงเป็นการชลอสงครามได้นานถึง ๓ ปี พอมีเวลาให้พวกเจ้าวัชชีได้ทำความดีเพื่อเป็นที่พึ่งของตนเองในภายหน้าได้ (อ้างอิง ปรีชา บุญศรีตัน)
จากคุณ |
:
ebusiness
|
เขียนเมื่อ |
:
26 มี.ค. 55 22:45:01
|
|
|
|
|