ความคิดเห็นที่ 1 แนวโน้มบอกว่าเสื่อมลง เยอะครับ ช่วยแสดงเหตุผลหน่อยครับว่า เสื่อมลงเพราะเหตุใด เพราะมีคนมาร่วมกิจกรรมทำบุญกันเยอะขนาดนี้ หรือจะบอกว่าเสื่อม เพราะวัดที่เรารู้ว่าวัดอะไร เป็นเจ้าภาพน่ะ จากคุณ : trialuck เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 55 23:10:39

ความคิดเห็นที่ 2 เป็นกิจกรรมของมหาเถระสมาคมครับ มีพระสงฆ์จากกรรมการ ระดับสมเด็จ รองสมเด็จ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์  รัฐบาลเป็นเจ้าภาพ เพียงแต่คนริเริ่มมาจากฝั่งวัดพระธรรมกาย เป้าหมายเขาคือ ดึงคนที่ไม่เคยใส่บาตร คนกลุ่มเดิมๆ เขาก็ใส่ประจำ และเชื่อว่าทุกคนคงรู้นะว่าใครเป็นเจ้าภาพ ส่วนคนที่ต่อต้านเขา เชื่อว่าก็ยังคงต่อต้านเสมอๆ แต่งานนี้ก็นิมนต์พระสงฆ์มาจากหลายจังหวัด หรือในพื้นที่นั้นๆ แยกแยะดีๆนะครับ ลองไปสัมภาษณ์หรือยัง ว่ามีพระจากวัดพระธรรมกายกี่รูป จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 55 23:30:01

ความคิดเห็นที่ 3 ผมว่าที่เสื่อมเพราะ ธรรมกายสอนให้คนรู้จักบุญแบบผิดๆ (หรือคนหลายๆ คน ก็ยังเข้าใจบุญผิด) ทำบุญเพื่อหวังรวย หวังโชควาสนา หวังลาภยศสรรเสริญ หลงไหลมัวเมาในบุญ ฯลฯ เป็นการเพิ่มกิเลส มากกว่าลดกิเลส ปล แก้คำผิด... แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 55 00:05:26 จากคุณ : 13th friday เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 00:03:13

ความคิดเห็นที่ 4 พระสงฆ์ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการบิณฑบาต รับอาหารจากผู้ศรัทธามาประทังชีพไปชั่ววันหนึ่งคืนหนึ่ง การบิณฑบาตเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องความเป็นความตายของพระสงฆ์เลยทีเดียวนะ แต่วัดพระธรรมกาย และหลวงพ่อ... กำลังจะเปลี่ยนงานตักบาตร ให้กลายเป็นงานรับบริจาค (ดูโครงการที่ผ่านมาให้ดี ๆ เพราะเจตนาเขาเพื่อการรับบริจาคข้าวสารอาหารแห้ง ให้พระสงฆ์ใน 3 จชต. ซึ่งเอาเรื่องนี้ืชูโรงมาตลอด) ลองคิดดูนะครับ ถ้าคนติดภาพลักษณ์การตักบาตรแบบพระเรียงตับเยอะ ๆ ต้องตักบาตรพระเยอะ ๆ จะได้บุญสูง ๆ จนคนลืมการตักบาตรที่เคยเป็นมาในอดีต ในอนาคต อาจจะได้เห็นพระอดข้าวจนมรณภาพ เพราะออกเดินบิณฑบาตรูปเดียว แล้วไม่มีใครสนใจใส่บาตร เพราะมัวแต่ไปใส่บาตรให้พระสงฆ์ที่เดินมาเป็นแนวยาว ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าพอรับบาตรแล้ว จะเอาอาหารเหล่านั้นไปไว้ที่ไหน เพราะมีแต่คนใส่กันจนล้น ไม่รู้จะขนกันยังไง! จากคุณ : ABP@BDZ เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 01:05:37

ความคิดเห็นที่ 5 ผมว่าไม่เสื่อม ศาสนามีแต่จะรุ่งเรืองขึ้นเพราะอะไร ?    เพราะไม่มีคนกล้าที่จะจัดงานตักบาตรใหญ่ขนาดนี้ มานานแล้ว    เพราะคนจำนวนมากไม่สนใจตักบาตรอยุ่แล้วยิ่งตักยากคงไม่ทำเลย    คนจำนวนมากไม่สนใจศาสนาอยู่แล้วจะหันมาสนใจเพิ่มขึ้น    วิชชาธรรมกายที่แท้ก็คืออาโลกกสิณ ซึงมีผลทำให้เกิดทิพจักษุญาณนั่นเอง    ดังนั้นเมื่อฝึกได้แล้วสามารถต่อยอด เป็นวิปัสสนาเพื่อดับกิเลสได้    เมื่อคนตักบาตรเพิ่มขึ้นจะตักตามวัดที่ตนเองสะดวกวัดต่าง ๆ จะได้อานิสงค์เพิ่ม     เรื่องของศาสนาจะเป็นข่าวมากขึ้น มีคนพูดถึงมากขึ้น และจะเป็นเรื่องค่านิยม     ในสังคมไทยได้ ส่วนพระสงฆ์ที่เดินรับบาตรคนเดียวก็จะมีคนตักบาตรเพิ่มขึ้นเพราะวัดธรรมกาย คงจะไม่ได้จัดตักบาตรบ่อย ๆ   แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 55 02:03:02 จากคุณ : KOB ON KALA เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 02:01:23

ความคิดเห็นที่ 6 ที่เสื่อมเพราะปล่อยให้อลัชชีเข้ามาแฝงหาประโยชน์. แม้คนทำบุญจะได้บุญกลับไป แต่กลุ่มอลัชชีที่แฝงเข้ามา(ผ่านพระที่ไม่ทันเลห์กล)ยิ่งมีกำลังเติบใหญ่ ในอนาคตพวกนี้คงได้เปลี่ยนโครงสร้างพระศาสนาในไทยให้เข้าไปอยู่ในกำมือลัทธินอกรีตแน่นอน จากคุณ : มะเส็งไฟ เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 02:39:34

ความคิดเห็นที่ 7 การตักบาตรทำบุญเป็นสิ่งดี มีคุณค่าในตัวเอง แต่ไม่ใข่สิ่งที่ต้องมาโปรโมทกันใหญ่โต ดึงพระ ดึงคนเป็นหมื่น เป็นแสนมาตักบาตรพร้อมกันในวันเดียว โดยเน้นเอาบุญเป็นตัวล่อ โดยลืมไปว่าจุดมุ่งหมายของการตักบาตรนั้นเพื่ออะไร ถึงแม้ดูเผินๆว่าเป็นเรื่องที่ดี มีประโยชน์ แต่ก็เป็นแค่สิ่งฉาบฉวยเท่านั้น เพราะคนที่มาตักบาตรส่วนใหญ่พอตักเสร็จก็จบกัน เก็บ Point กลับบ้านสบายใจ ความจริงจุดมุ่งหมายของการตักบาตรโปรเจคนี้คือเอาของไปบริจาคให้กับวัดทางภาคใต้ ซึ่งก็ขอบริจาคกันตรงๆก็ได้ ไม่เห็นต้องมาตักบาตรกันให้วุ่นวายเลย ถ้าจะบอกว่าไม่ทำอย่างนี้คนก็จะไม่สนใจมาทำบุญ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ทำใจได้เลยว่าศาสนาพุทธในบ้านเราคงเลยจุดเสื่อมไปแล้ว จะทำบุญได้ก็ต้องมีบุญมาตอบแทน ต้องมีนรกสวรรค์มาขู่ ไม่โปรโมทก็ไม่ทำบุญกัน สรุปแล้วนี่คือวิถีพุทธหรือ? ความจริงไม่อยากพูดถึงโครงการนี้ เพราะภาพที่เห็นเป็นเพียงแค่ยอดของภูเขานํ้าแข็งเท่านั้นเอง อยากรู้ความจริงต้องติดตามชมตอนต่อไป จากคุณ : Persimon เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 02:40:23

ความคิดเห็นที่ 8 โครงการนี้จัดเืพื่อจำอาหารจากการใส่บาตรไปช่วยเหลือพระที่เดือดร้อนที่ภาคใต้ พระใน กทม ไม่เดือดร้อน แต่ภาพใต้เดือดร้อน ส่วนคนที่มาใส่บาตรจำนวนมากๆก็ได้ศรัทธา หลายคนที่ไปเกิดความรู้สึกที่ดีๆ อยากทะนุบำรุงศาสนาให้มากยิ่งๆขึ้นไป มีแต่พวกใจมืดบอด วันๆเอาแต่เป็นนักเลงคีย์บอร์ด เคาะแป้นทำลายสังคม หรือพวกที่ไม่อยากเข้าใจ พอได้ยินชื่อวัดธรรมกาย เหมือนสุนัขขี้เรื้อนโดนน้ำร้อนลวก ดิ้นพราดๆ ก็น่าสงสาร จำนวนคนที่มาโหวดกระทู้นี้ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกชอบเหน็บแนม เห็นหัวข้อกระทู้ก็เข้ามาช่วยกัน คนดีๆส่วนใหญ่เค้าไม่เข้ามาในห้องนี้หรอก เสียเวลา เราผ่านมาเห็นก็ขอบอกความเห็นเอาบุญ จะหมดกิเลสไม่มีบุญมันก็เหมือนสุนัขแหงนคอมองเครื่องบินด้วยความอยากขึ้น แล้วเมื่อไหร่จะได้ขึ้น หัดฉลาดกันบ้าง หรือมีแค่หัวไว้กั้นหูเท่านั้น จากคุณ : chalamnew เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 07:08:45

ความคิดเห็นที่ 9 ผมว่ามอเตอร์ไซด์ัรับจ้างยังจะฉลาดกว่าคนในกระทู้นี้เลย วันก่อนผมไปใส่บาตรที่วงเวียนใหญ่ขากลับขึ้นมอเตอรืไซค์รับจ้าง ดูเค้าดีใจที่มีงานนี้ ชาบ้านแถวนั้นออกมาขายอาหาร ไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเป็ด เค้าก็ตื่นเต้น คนที่นั่นเค้าอยากให้มีอีก พวกนั่งเคาะแป้นคีย์บอร์ดหลับหูหลับตาเกลียดวัดธรรมกายด้วยอคติ น่าสมเพชมาก ยิ่งเกลียดก็ยิ่งอับปัญญาและอิจฉามากขึ้นเรื่อยๆเพราะวัดเค้ามีลูกศิษย์มากขึ้นทุกวัน มีแนวร่วมเป็นพระสงฆ์มากขึ้นทุกวัน ข้าราชการ ประชาชน นักศึกษา เข้าวัดมากขึ้นทุกวัน ไม่เกินชั่วอายุของคนรุ่นลูกหลาน รับรองเป็นธรรมกายทั้งแผ่นดิน อยากเห็นพวกขี้อิจฉาทั้งหลายจะทำหน้ายังไง กรุณาอย่าเป็นความดันโลหิตขึ้นจนเส้นเลือดในสมองแตกตายซะก่อนนะครับ จากคุณ : saebareaw เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 07:15:36

ความคิดเห็นที่ 10 เพื่อนในที่ทำงานบริจาคให้วัดนั้นปีหนึ่งๆ เป็นเงินจำนวนมากกกก และดูทุกคนดีมีความสุขมีสง่าราศรี  และไม่ป่าวร้องโอ้อวดว่าทำบุญเยอะนะ อาจจะเป็นเพราะพวกเค้าตั้งใจทำบุญจริงๆ   อย่าคิดมากเลยค่ะ ทำบุญเถอะ  แม้น้อยนิดเท่าที่กำลังทำได้ มีโอกาส ก็ใส่บาตรบ้างนะคะ แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 55 08:00:26 จากคุณ : padivarutda เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 07:56:38

ความคิดเห็นที่ 12 กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย  =] จากคุณ : OnceWakeUp เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 08:17:15

ความคิดเห็นที่ 13 น่าสลดใจมาก พระพุทธองค์ทรงทำนายไว้ว่า ศาสนาจะเสื่อมเพราะพวกเราชาวพุทธ ที่มีอคติต่อกันอย่างรุนแรง ถ้านำกิจกรรมของ วัดพระธรรมกาย เข้ามาในห้องศาสนา เหมือนหนึ่ง คู่อาฆาตที่ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกนี้ได้ แต่....ก็ยังหวังว่ากลุ่มที่ต่อต้าน สามารถจะร่วมมือกันได้ ในสัมปรายภพ ไม่ว่าใน นรก หรือ สวรรค์ จากคุณ : ดุดัน เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 09:24:42

ความคิดเห็นที่ 14 เสื่อมลงอย่างแรง ขายเปลือก ขายกระพี้ ไม่มีแก่น ต่อไปเงินคงมีอำนาจเหนือบุญกุศลทั้งปวง ไม่ใช่ศีล และภาวนา จากคุณ : KiKuCha เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 09:47:33

ความคิดเห็นที่ 15 ของดีไม่มีเสื่อมแต่ไอ้ที่เสื่อมน่ะใจคน พิจรณาเถิด :-) จากคุณ : สัมมาอรหังอิติปิโสนะโมพุทธายะ (NetPop) เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 10:48:05

ความคิดเห็นที่ 16 ส่วนตัวเลือก เท่าเดิมค่ะ เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธอยู่แล้ว การตักบาตรทำบุญเป็นเรื่องที่ทำเป็นปรกติ และการที่มีพระหลายๆรูปมาบิณฑบาต ก็เป็นสร้างความสะดวกสบายอย่างหนึ่ง แล้วคนที่มาส่วนหนึ่งก็ไม่ได้คิดว่าพระมาจากไหน ของที่ใส่แล้วไปถึงจริงหรือไม่ นิสัยคนไทยส่วนใหญ่เน้นทำอะไรที่เยอะๆ ไว้ก่อนแล้วจะได้บุญมากๆ ใส่แล้ว อิ่ม ปิติ ปริ่ม สุข จบแยกย้ายกันไปทำการทำงาน ไม่ได้เกิดศรัทธาจนต้องตามไปที่วัดจานบินแต่อย่างไร จากคุณ : paiHutor เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 11:57:26

ความคิดเห็นที่ 17 ผมว่าคนที่มีอคติขั้นรุนแรงนี่แหละ  ที่จิตใจเสื่อมลง  แต่ผู้รู้ตามความเป็นจริง ยังงัยก็ไม่เสื่อม  ผมก็ไม่ได้ศรัทธาสำนักธรรมกาย  แต่ผมขอร่วมอนุโมทนาในบุญ ที่ตักบาตรร่วมกันครั้งนี้ถึงจะริเริ่มโดยสำนักธรรมกายก็เถอะ.... จากคุณ : ล้าน5 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 13:14:31

ความคิดเห็นที่ 18 จะเริ่มสร้างความเข้าใจที่ผิดครับ เริ่มจากจุดเล็กๆ แล้วกินลึก กัดเซาะลงไปเรื่อยๆ จากคุณ : ลำปาว เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 13:50:53

ความคิดเห็นที่ 19 เห็นว่าเป็นการตื่นตัวในทางพุทธศาสนามาก คนส่วนมากมาร่วมกันทำบุญ เน้น ทำบุญ ไม่ศรัทธา ก็อย่าคิดไปในทางอคติเลย บาปเปล่า ๆ จากคุณ : bomten เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 14:31:13

ความคิดเห็นที่ 20 ทำบุญอย่าให้คนรอบข้าง ญาติพี่น้องเดือดร้อน จากคุณ : Somporn123 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 14:32:06

ความคิดเห็นที่ 21 ตักบาตรพระ ด้วยการปิดถนน หวังเอาประชาชนแถบนั้นไม่ตักบาตร แต่.... รถบัสคนชาววัดพระธรรมกาย นุ่งขาว ห่มขาว ขนอาหารแห้ง ไปตักบาตรกัน มีค่าอะไร ??? ตักบาตรในวัดของคุณ ในลานธรรมหน้าเจดีย์ก็ได้..... ประชาชนที่ไปตักบาตร 90% เป็นคนวัดพระธรรมกาย 10% เป็นคนย่านนั้น ... ดูจะ "ขาดทุน" มากกว่า "กำไร" จากคุณ : ปทุมฉัตรสหัสรังษี เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 55 18:43:45

ความคิดเห็นที่ 22 มหาสติ มหาพิจารณา ด้วย มหามุทิดา ..เรารักประเทศไทย.. จากคุณ : เห็นตามใจ เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 55 23:43:12

ความคิดเห็นที่ 23 สร้างภาพ เมืองพุทธ ใส่บาตร ทำทาน รักษาศีล ให้มองเห็นได้ ติดตา บันทึกไว้ในใจ ของคนทั้งโลก ประโยชน์ที่ได้กับโทษที่ได้รับเเล้วแต่ใครจะหยิบเอาไป แต่กิจได้เกิดขึ้นแล้ว สุขคติ เกิดขึ้นแล้ว ทุขคติเกิดขึ้นแล้ว จากคุณ : แต้มขาว เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 09:45:04

ความคิดเห็นที่ 24 ประชาชนที่ไปตักบาตร 90% เป็นคนวัดพระธรรมกาย 10% เป็นคนย่านนั้น ... อยากถามว่า คนวัดพระธรรมกาย บ้านอยู่ละแวกใหน เป็นชาวพุทธมั้ย ลองแยะแยะมาหน่อย จากคุณ : AkALiKo23 เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 12:16:29

ความคิดเห็นที่ 25 คือว่า วัดไหนๆเดี๋ยวนี้  ก็เน้นทำบุญโดยการทำด้วยทรัพย์ทั้งนั้น  เวลาโฆษณาก็บอกว่า ทำให้ได้ร้อยล้าย พันล้าน ให้ร่ำให้รวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี  ทำกับวัดธรรมกายก็เป็นการทำด้วยทรัพย์ประการหนึ่ง  จึงไม่ได้ทำให้ดีขึ้นหรือแ่ย่ลง ถ้้าอยากให้พุทธเจริญขึ้น ต้องสอนว่า ทำบุญเพื่อละกิเลส ละโภละ  สอนให้ถือศีล ทำสมาธิ และกรรมฐาน  ซึ่งคงเป็นไปได้ในกลุ่มคนหมู่น้อย คนส่วนมาก  นับถือเทพเจ้าต่างๆ กันอย่างไม่ลืมหูลืมตา  เชื่อในลัทธิสวดมนต์อ้อนวอน  แม้แต่วัด ยังเสี้ยมสอนอย่างนี้  สร้างรูปเ่ทพต่างๆบ้าง  ก็หัวมันเป็นซะเอง  หางมันก็ล้มน่ะสิ จากคุณ : nuch_tre เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 13:17:55

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ คห 21 ที่วัดจัดตักบาตร ตามเส้นทางที่แจ้งไว้แล้ว 6 แห่ง ในกรุงเทพฯ ที่ผ่านมา hello test ก็เป็นเพราะว่า ย้ำอีกทีนะว่า เส้นทางนี้จะมีการอัญเชิญพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี ไปยังวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ต้องผ่านเส้นทางทั้ง 6 แห่งนี้ ในการนี้จำเป็นต้องทำให้เส้นทางนี้เป็นสิริมงคลเพิ่มมากขึ้น โดยมีการจัดตักบาตร เจริญพุทธมนต์ เป็นทางมาแห่งบุญ อีกอย่างหนึ่งที่จัดตักบาตรนอกวัด ก็ดีอย่างสำหรับผู้มีจิตศรัทธาอยากทำบุญแต่ไม่มีเวลา ไปทำที่วัด ไม่ว่าจะวัดใกล้บ้าน หรือวัดพระูธรรมกาย ทุกคนจะได้ใส่บาตร ไม่ต้องนั่งรถไปไกล เสียค่าน้ำมันรถ อีกอย่าง ตักบาตร 1 ครั้ง ได้ตักทั้ง 30,000 รูป ถ้า ไปตักทั้ง 6 แห่ง ตักได้เป็น 100,000 รูป เลย คุ้มไหม ชาวบ้านไม่ต้องเีสียอะไรเลย แค่เตรียมของมาใส่บาตร ก็ได้บุุญใหญ่กลับบ้านแล้ว บางคนมีจิตศรัทธา มาใส่บาตรเสร็จ ช่วยเก็บงานต่อ น่าอนุโมทนาใหม ชาวบ้านร้านค้า ปลื้มอก ปลื้มใจ เห็นตามกัน บางคนน้ำตาไหล บอกว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นพระมากขนาดนี้เลยที่ท่านมารับบิณฑบาตร จากคุณ : คับแค้นคณานับ (hinny) เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 14:37:28

ความคิดเห็นที่ 27 จะยังไง .. ผมก็ยังทำบุญตักบาตรกับพระแถวบ้านเหมือนเดิมละครับ ผมตักบาตรแล้วสบายใจ ผมคิดแค่นั้นอะครับ ศรัทธาของผมที่มีต่อพุทธศาสนา ผมดำเนินตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ (ตอนเด็ก ๆ ที่ต้องเรียนวิชาพุทธศานา) ตามแบบที่ท่านสอนมาว่า "บุญกุศลอยู่ที่ใจ" .. ดังนั้น ใครจะจัดอะไรก็จัดไปเถอะครับ ผมก็ยังทำแบบเดิม ๆ ตามที่ผมได้ปฏิบัติเรื่อยมา เอ๊ะ .. เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่าเนี่ย? 55+ จากคุณ : tothza_one เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 14:42:50

ความคิดเห็นที่ 28 โยมเห็นพระ เป็นเรือนหมื่น แสนชื่นจิต มิเคยคิด ว่าเกิดมา จักได้เห็น เป็นทัศนา นุตริยะ แสนชุ่มเย็น ทั้งยังเป็น เนื้อนาบุญ ให้แก่โยม แม้เหนื่อยยาก โยมยินดี ร่วมตักบาตร ... คิดสร้างภาพ ล้วนสิ่งดี ประทับไว้ ด้วยสองมือ ลงสู่บาตร ภาพตรึงใจ ทำดีไซร้ ขอบุญเนื่อง เชื่อมนิพพาน พระเห็นโยม ที่ชวนกัน มาใส่บาตร ตัวลำบาก เดินทางไกล มิเคยสน ใจเปี่ยมสุข ทุกนาที ได้ฝึกตน หวังหลุดพ้น พ้นวัฎฎะ ชนะมาร แต่หนทาง ยังยาวไกล ในสังสาร อีกเนิ่น..นาน ในสุข-ทุกข์ กรรมเสวยผล หมั่นละชั่ว ทำดีไว้ ฝึกใจตน เติมกุศล เสบียงบุญ มุ่งนิพพาน. จากคุณ : ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก (hinny) เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 15:27:48

ความคิดเห็นที่ 29 อนาคตของเราจะเป็นยังไงต่อไปถ้ายังปล่อยให้ ธรรมโกย ดำเนินการในทิศทาง ผิดๆแบบนี้ สงสารสาวกของทำมะไชโย้จังเลย จากคุณ : King Kalle เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 15:56:07

ความคิดเห็นที่ 30 คงยากที่จะพยายามอธิบายให้ผู้ืี่ที่มีจริตเมามันอยู่กับบุญ หันมาหาสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ด้วยไม่รู้ว่าบุญคือเครื่องชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ เพื่อที่จะเป็นฐานให้สติ สมาธิ ... ปัญญา ความรู้เพียงผิวเผิน ทำให้เข้าไม่ถึงวิธีการทำบุญที่ถูกต้อง ต้องอาศัยปัจจัยในแง่ของปริมาณ เพียงเพื่อที่จะสร้างปีิติเล็กๆ น้อยๆ ให้เกิดขึ้นในใจ จนถอนตัวไม่ขึ้น ต้องเทเอาน้ำ "ปลื้ัม" เข้าใส่ถ้วย "ใจ" อยู่บ่อยๆ ถ้าท่านรู้ เห็น ทำ บ่อยๆ จะเข้าใจทันทีว่า "ปีติ" เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ในใจ ด้วยการน้อมระลึกถึงพระรัตนตรัย เพียงแค่อาศัยปัจจัย วิธีการง่ายๆ ไม่ว่าจะสวดมนต์ ใส่บาตรพระ ... เพียงองค์เดียวเท่านั้น ฯลฯ จากคุณ : norapob เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 16:03:01

ความคิดเห็นที่ 31 ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้มีปัญญาเป็นเลิศในโลก ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศในโลก ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้มีความเพียรเป็นเลิศในโลก ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้มีปฏิภาณเป็นเลิศในโลก ข้าพเจ้าขอนอนน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบพระองค์นั้น จาก....นิรันตราย 999999999 แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 55 00:05:21 จากคุณ : สวัสดีครับสวัสดีค๋ะ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 16:13:08

ความคิดเห็นที่ 32 เวลาทำบุญ อย่าคิดมาก อย่าให้อกุศลธรรมครอบงำ หากทำความดีก็จงทำไปเถอะ อย่าคิดมา แต่ถ้าเป็นวัดธรรมกายอดคิดมากไม่ได้เลย อกุศลธรรมเยอะ จากคุณ : สวัสดีครับสวัสดีค๋ะ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 16:17:46

ความคิดเห็นที่ 33 ศาสนาพุทธไม่ได้ตั้งมาเพื่อให้ คนมาทำบุญ  แต่มีเพื่อให้คนที่ต้องการหลุดพ้นทั้งบุญและบาปมาแสวงหาสัจธรรม ไปสู่นิพพาน แล้วแบบนี้ไม่เสื่อมลงได้อย่างไร จากคุณ : khansri เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 17:39:45

ความคิดเห็นที่ 34 ศาสนาพุทธ สอนตั้งแต่ ความจริงขั้นพื้นฐาน เริ่มตั้งแต่ ความทุกข์จากการดำรงชีวิต ความตระหนี่ ครอบงำจิต จึงเกิดความหวงแหน ยึดติด ไม่คิดทำทาน ความโกรธ ครอบงำจิต จึงคิดเบียดเบียน ด้วย กาย ด้วยวาจา ความหลงครอบงำจิต จึงคิดว่า ยกตนข่มท่าน ด้วยความเขลา เบาปัญญา ถ้ายังแก้ปัญหาพื้นฐานสามประการนี้ไม่ได้ นับว่ายังไม่พบทางที่จะไปสู่เนกขัมมะ ไม่มีทางได้สามัญญผล ของการบวช ถึงได้บวช ก็ไม่ได้ มรรค ผล เพราะ โลภ โกรธ หลง ยังหนาแน่น ถึงบวชแล้ว ก็คงหวงแหนเส้นทางบิณฑบาต ไม่ยอมให้พระอื่นๆมาบิณฑบาตทับเส้น ถึงบวชแล้ว ก็เป็นพระเจ้าโทษะ ชอบเอาธรรมะ ยกตน ข่มท่าน คนที่เกิดมาในชาติที่พระพุทธเจ้าดำรงอยู่ ได้ฟังธรรมแล้วบรรลุอรหันต์ทันที ไม่ใช่เพราะชาติที่ผ่านมา ทำบุญมาตลอด หรอกหรือ คนมีบุญ เท่านั้น ได้เกิดในยุคที่มีพระพุทธเจ้ามาโปรด ลองถามตัวเอง ทำใมไม่ได้เกิดในยุคที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ทำใมมาเกิดหลังปรินิพพานตั้ง เกือบ 2600 ปี แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 55 19:38:23 จากคุณ : AkALiKo23 เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 19:37:12

ความคิดเห็นที่ 35 ศาสนาไม่เสื่อมหรอกครับ มีแต่คนเสื่อมไปจากศาสนาหรือเข้าใจผิดเพี้ยนไปจาก ความจริงของธรรมชาติ จากคุณ : Retrojazz60s เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 22:16:34

ความคิดเห็นที่ 36 ผมเลือกที่จะตักข้าวให้พ่อให้แม่ทาน ไม่รู้สิท่านทั้งสองคือพระอรหันต์สำหรับผม. ไม่รู้ว่าเราตักครบล้านรูปจะได้บุญเท่ากับตักข้างให้พ่อแม่กินหรือเปล่า. จากคุณ : โซดาซ่า (amnat_soda1984) เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 01:29:49

ความคิดเห็นที่ 37 Stop จากคุณ : KiKuCha เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 12:32:57

ความคิดเห็นที่ 38 ความเจริญหรือเสื่อมของพระศาสนา ไม่ได้วัดด้วย จำนวน คน ศรัทธา (เฉพาะศรัทธา ไม่นับอย่างอื่น) ในบัญญัติคำว่า "พุทธ" แต่วัดกันที่ - พระธรรม ยังรักษาไว้ให้คงเดิมไว้ได้แค่ไหน (เพราะเป็น RAW data ที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ จนกว่าจะถึงสมัยพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป, หากมีส่วนใดสึกกร่อนสูญหาย/โดนแปรธาตุ ไปเท่าใด ก็เท่ากับเสื่อมลงไปเท่านั้น) - จำนวนผู้เข้าใจแก่นธรรม(ระดับ สุตตมยปัญญา,จินตมยปัญญา) และเป้าหมายแท้ๆ ของศาสนานี้ - จำนวนผู้ที่บรรลุเป็นอริยบุคคล (อันนี้วัดตัวคนจริงๆไม่ได้ เพราะคนถึงจริงคงไม่ประกาศ, แต่ดูได้จากวิธีปฏิบัติว่า การวิปัสสนาที่ถูกหลักการ ยังมีการเรียนรู้ถ่ายทอดและรู้กัน ในวงกว้างแค่ไหน) ถ้า ข้อแรก โดนกัดกร่อน ข้อสอง ข้อสาม โดนบิดเบือน ก็เป็นความเสื่อมของศาสนา อีก 100 ปีข้างหน้า บัญญัติคำว่า "พุทธ" คงยังมีอยู่ จำนวนคนที่ศรัทธา(อย่างเดียว) อาจจะเพิ่มขึ้น (ดูเหมือนจะดี) แต่ถ้า 1), 2), 3) ที่ว่ามามันเสื่อมลงไป ก็คงต้องถือว่าตัวศาสนา ได้เสื่อมลงแล้ว อีก 200 ปีข้างหน้า หากบัญญัติคำว่า "พุทธ" ยังคงมีอยู่ แต่ 1), 2), 3) ได้หมดเกลี้ยงแล้ว หนทางดับทุกข์ได้สูญหายไปจากโลกนี้ตลอดกาลซะแล้ว สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และไม่มีอยู่ในศาสนาอื่นเลย ไม่เหลืออยู่ซะแล้ว นั่นคงการสิ้นศาสนาจริงๆ ต่อให้คนทั้งโลกถือบัญญัติคำว่า "พุทธ" ไว้ก็ตาม จากคุณ : Detonator_Pao_ เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 12:33:00

ความคิดเห็นที่ 39 ..........>>>>>> ร่วมตักบาตร วาดฝัน หนึ่งล้านรูป หวังจะสูบ อะไร ไปอีกเล่า บุญที่ใหน ไปเกณฑ์คน สร้างภาพเอา ความอับเฉา เราชาวพุทธ หยุดเสียที <<<<<<<<<<<<<<<<<<<< จากคุณ : misery เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 13:26:58

ความคิดเห็นที่ 40 ศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมลงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า มีวัดมาก มีพระมาก มีคนศรัทธามาก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งปลูกสร้าง ยอดเงินจากผ้าป่า กฐิน แต่ขึ้นอยู่กับเหตุ 4 ข้อนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้   ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น    เพื่อความไม่ ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ๔ ประการเป็นไฉน 1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนพระสูตรอันเรียนกันมาดี ด้วยบทและพยัญชนะอันตั้งไว้ดี แม้อรรถแห่งบทและพยัญชนะที่ตั้งไว้ดี ย่อมมีนัยดีไปด้วย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๑ ย่อมเป็นไป เพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ฯ 2.อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ว่าง่าย ประกอบด้วยธรรมอันทำให้เป็นผู้ว่าง่าย เป็นผู้อดทน รับคำพร่ำสอนโดยเคารพ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๒ ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ฯ 3. อีกประการหนึ่ง ภิกษุเหล่าใดเป็นพหูสูต เล่าเรียนนิกาย ทรงธรรม  ทรงวินัย ทรงมา ติกา ภิกษุเหล่านั้นบอกพระสูตรแก่ผู้อื่นโดยเคารพ เมื่อภิกษุเหล่านั้นมรณภาพลง พระสูตรย่อมไม่ขาดมูลเดิม ยังมีที่พึ่งอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๓ ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นเพื่อความไม่ฟั่นเฟือนเพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ฯ 4.อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระ เป็นผู้ไม่มักมากไม่ประพฤติย่อหย่อน ทอดธุระในการก้าวลง เป็นหัวหน้าในวิเวก ปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง หมู่ชนผู้เกิดมาภายหลังย่อมดำเนินตามอย่างภิกษุเหล่านั้นแม้หมู่ชนผู้เกิดมาภายหลังเหล่านั้น ก็เป็นผู้ไม่มักมาก ไม่ประพฤติย่อมหย่อน ทอดธุระในการก้าวลง เป็นหัวหน้าในวิเวก ปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง   ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๔ ย่อมเป็น ไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ดูกรภิกษุ ทั้งหลายธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่ฟั่นเฟือน  เพื่อความ ไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ฯ จากคุณ : หลวงโยธา เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 14:51:52

ความคิดเห็นที่ 41 ไม่ได้เสื่อมเพราะวัดอะไรเป็นเจ้าภาพครับ แต่เสื่อมเพราะเป็นการสร้างบุญที่ทำให้เกิดทุกข์ต่อผู้อื่น อันเป็นเหตุที่ทำให้ผู้อื่นที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธแบบเดียวกับวัดเจ้าภาพนั้นหงุดหงิดรำคาญและเดือดร้อน ส่วนตัวเชื่อว่าการตักบาตร เป็นการทำกิจอย่างหนึ่งของสงฆ์ที่กระทำเป็นกิจวัตร หรือหากพูดแบบคนทั่วๆ ไปคือควรทำให้เป็นนิสัย ไม่ใช่ทำเป็นการแสดงอย่างที่เป็นอยู่ ที่สำคัญ การทำบุญควรเริ่มต้นอย่างเป็นธรรม ดำเนินไปด้วยความเป็นธรรม และจบลงอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อสร้างความชอบธรรม จากคุณ : แบร์วิชสีฟ้า เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 15:35:39

ความคิดเห็นที่ 42 ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ทุกศาสนาก็สอนให้บริจาคทั้งนั้น การบริจาคเป็นการสละซึ่งความตระหนี่ การบริจาคสละสิ่งของทั้งหลายจะยิ่งได้บุญมาก หากทำด้วยสิ่งที่เรียกว่า  " ไม่มีเงื่อนไข" ได้บุญเยอะแล้วจึงทำจึงไม่ใช่คำตอบสำหรับวิถีพุทธ นอกจากนี้  การบริจาคแบบนี้ยังไม่สามารถลดละโทสะได้ ดังจะเห็นได้จากสาวกธัมมี่ที่เมื่อถูกเพื่อนๆไต่ถาม ก็ไม่สามารถทำจิตใจให้สงบได้เหมือนเวลานั่งสมาธิ เลยกลายสภาพเป็นบุคคลสองบุคลิก  คนดีชอบทำบุญ กับอีกคนคอยตอบโต้ด้วยใจอกุศลเมื่อมีคำพูดไม่ถูกใจตนเอง คำถามคือ  แล้วอย่างนี้จะทำไปทำไมครับ?? จากคุณ : Bitter Coffee เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 17:51:21

ความคิดเห็นที่ 43 เรื่องทำบุญทำกุศลได้มากหรือได้น้อย ขึ้นอยู่กับว่า กุศลใดทำแล้วเข้าใกล้นิพานมากอันนี้ได้กุศลมาก ยังมีคนจำนวนมาก ที่เข้าใจผิดว่าการให้ทานเป็นวิธีเดียวในการทำบุญทำกุศล การรักษาศีล และการทำสมาธิ ได้กุศลมากกว่าการให้ทานหลายร้อยหลายหมื่นเท่า จากคุณ : หลวงโยธา เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 55 12:48:09

ความคิดเห็นที่ 44 ผมว่าการใส่บาตรมันไม่ต้องเอิกเกริกก็ได้ครับ มันจะได้บาปซะมากกว่า ทำให้รถราติด ทำชาวบ้านเดือดร้อน สัญจรไม่สะดวก มันจะได้บาปซะมากกว่า เดินทางสายกลางเถอะครับ มันใหญ่เกินไป สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ หรือมีผลประโยชน์ ใดแอบแฝง จากคุณ : Buree เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 55 07:34:43