|
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต. เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ไม่เคยมีมา พระเจ้าข้า ธรรมบรรยายนี้ชื่ออะไร พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์ เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ว่า อรรถชาละก็ได้ ว่าธรรมชาละก็ได้ ว่าพรหมชาละก็ได้ ว่าทิฏฐิชาละก็ได้ ว่าพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมก็ได้. ครั้นพระผู้มีพระภาค ตรัสพระสูตรนี้จบแล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น มีใจชื่นชม เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ก็และเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้อยู่ หมื่น โลกธาตุได้หวั่นไหวแล้วแล. จบพรหมชาลสูตรที่ ๑. ----------------------------------------------------- เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ บรรทัดที่ ๑ - ๑๐๗๑. หน้าที่ ๑ - ๔๔. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=0&Z=1071&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1
------------------------------------------------------- จากคู่มือการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๖ นิพพานปรมัตถ์ โดย อ. บุญมี เมธางกูร ----------------------------------------------------------------- พระนิพพาน เมื่อว่าโดยปริยายแห่งเหตุ(การณูปจารปัจจัย)แล้ว มี ๒ คือ ๑. สอุปาทิเสสนิพพาน หมายความว่า นิพพานที่เป็นไปกับขันธ์ ๕ คือวิบากและกัมมชรูป ที่เหลือจากกิเลสทั้งหลาย ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังแสดงวจนัตถะว่า ------ (๑) กมฺมกิเลเสหิ อุปาทียตีติ = อุปาทิ(วา) อารมฺมณกรณวเสน ตณฺหาทิฏฺฐึหิ อุปาทิยตีติ = อุปาทิ ------ กรรมและกิเลสเหล่านี้ ย่อมยึดติดเอาขันธ์ ๕ คือ วิบาก และกัมมชรูป ว่าเป็นของเรา ฉะนั้น วิบากและกัมมชรูปนี้ ชื่อว่า อุปาทิ หรืออีกนัยหนึ่ง ตัณหาและทิฏฐิเหล่านี้ ย่อมยึดถือเอาขันธ์ ๕ คือ วิบากและกัมมชรูป โดยการกระทำให้เป็นอารมณ์ของเรา ฉะนั้น วิบากและกัมมชรูปนี้ ชื่อว่า อุปาทิ -----(๒) สิสฺสติ อวสิสฺสตึติ = เสโส , อุปาทิ จ เสโส จาติ = อุปาทิเสโส --ขันธ์ ๕ คือ วิบากและกัมมชรูป ชื่อว่า เสสะ เพราะยังเหลือจากกิเลส --ขันธ์ ๕ คือ วิบากและกัมมชรูป เหล่านี้ชื่อว่า อุปาทิ ด้วย เสสะ ด้วย เพราะถูกกรรมและกิเลสถือเอาว่าเป็นของเรา หรือถูกตัณหาและทิฏฐิยึดถือเอา โดยการกระทำให้เป็นอารมณ์ และเป็นธรรมที่เหลือจากกิเลส ฉะนั้นขันธ์ ๕ คือ วิบากและกัมมชรูป เหล่านี้ ชื่อว่า อุปาทิเสส --- หมายความว่า วิบากและกัมมชรูปที่วนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสารเหล่านี้ ย่อมเกิดเกี่ยวเนื่องกันกับกิเลสอยู่เสมอ ครั้นเมื่ออรหัตตมรคประหาณกิเลสทั้งหลายไปหมดสิ้นโดยไม่มีเหลือแล้ว แต่วิบากและกัมมชรูป ซึ่งเป็นผลของกิเลสเหล่านั้น ยังเหลืออยู่ ฉะนั้น วิบากและกัมมชรูปนี้แหละจึงได้ชื่อว่า อุปาทิเสส เมื่อว่า โดยบุคคลาธิษฐานแล้ว ก็ได้แก่ร่างกายของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นเอง ----------------------------------------------------------------- ๒. อนุปาทิเสสนิพพาน หมายความว่า นิพพานที่ไม่มีขันธ์ ๕ คือ วิบากและกัมมชรูปเหลืออยู่ ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ที่ปรินิพพานแล้ว ดังแสดงวจนัตถะว่า ---- นตฺถิ อุปาทิเสโส ยสฺสาติ = อนุปาทิเสโส ----ขันธ์ ๕ คือ วิบากและกัมมชรูปที่เหลือไม่มีแก่นิพพานใด ฉะนั้น นิพพานนั้นชื่อว่า อนุปาทิเสส ----------------------------------------------------------------- ในการที่ว่า เมื่อว่าโดยปริยายแห่งเหตุแล้ว นิพพานมี ๒ อย่างนั้น หมายความว่า วิบาก กับ กัมมชรูป ยังคงเหลืออยู่ และ ไม่มีเหลืออยู่ ทั้ง ๒ นี้ เป็นเหตุให้รู้ถึงสภาวะของพระนิพพาน ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงแสดงว่าพระนิพพานมี ๒ ตามเหตุผลดังกล่าวนั้น แต่เป็นการแสดงโดยปริยายไม่ใช่โดยตรงทีเดียว ---------------------------------------------------------------- พระนิพพาน เมื่อว่าโดยสภาลักขณะแล้วมี ๑ คือ สันติลักขณะ --------------------------------------------------------------- พระนิพพาน เมื่อว่าโดยอาการเข้าถึงหรือโดยอาการเป็นไปแล้ว มี ๓ ประเภท คือ อนิมิตตนิพพาน , อัปปณิหิตตนิพพาน และ สุญญตนิพพาน ศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียดได้ครับที่
http://abhidhamonline.org/online_study.htm
http://abhidhamonline.org/aphi/p6/083.htm
--------------------------------------------- จากพรหมชาลสูตร มีการกล่าวถึง มิจฉาทิฏฐิ ๖๒ ประเภท มีทั้งที่เป็นสัสสตทิฏฐิ(เห็นว่าตนและโลกเที่ยง) , อุจเฉทวาททิฏฐิ(เห็นว่าตายแล้วสูญ) , ทิฏฐิธรรมนิพพานทิฏฐิ (ความเห็นผิดที่ยึดกามสุข หรือ ฌาน สมาธิ ว่าเป็นนิพพานในปัจจุบัน) แล้วตรัสสรุปว่า " ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ " ------------------------------------------------------------------------------- นี้คือ สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงนิพพานที่เป็นไปกับขันธ์ ๕ ได้แก่ วิบากและกรรมชรูปที่เหลือจากกิเลสทั้งหลายที่ปหานลงได้ด้วยอรหัตตมรรคญาณแล้ว ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ---------------------------------------------------------------------------- แล้วตรัสต่ออีกว่า
"เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต." --------------------------------------------------------------------------------- นี้คือ อนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง นิพพานที่ไม่มีขันธ์ ๕ คือวิบากและกรรมชรูปที่เหลืออยู่ ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ที่ปรินิพพาน(จากคู่มือการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๖ นิพพานปรมัตถ์ โดย อ. บุญมี เมธางกูร) ------------------------------------------------------------------------------------ ปัจจุบันมีบางสำนักที่พยามยามจะอธิบายว่า มีเมืองนิพพาน หรือ เรียกว่า อายตนนิพพาน นิพพานเป็นภพและสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ได้ ก็ดี การบอกว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายล้วนไปชุมนุมกันอยู่ที่นิพพาน ก็ดี เป็นความเห็นที่ผิดจากหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท
ผมขอนำพระพุทธดำรัส เมื่อคราวที่พระทัพพมัลลบุตรปรินิพพาน พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทานว่า(ขุทกนิกาย สุตตนิบาต พระไตรปิฏกเล่ม ๒๕ ข้อ ๓๑๕ หน้า ๓๗๐) " กายก็แตกทำลายแล้ว สัญญาก็ดับแล้ว เวทนาก็เย็นแล้ว สังขารก็สงบแล้ว วิญญาณก็ถึงอัสดง" ทรงเล่าเหตุการณ์นี้แก่ภิกษุทั้งหลาย และทรงเปล่งอุทานว่าอีกครั้งว่า " เมื่อช่างตีโลหะด้วยค้อนเหล็ก ไฟติดโพลง ก็ดับหายๆ ไม่มีใครรู้ที่ไป ฉันใด พระอรหันต์ทั้งหลายผู้หลุดพ้นชอบแล้ว ข้ามห้วงน้ำที่มีกามเป็นเครื่องผูกพันไปได้ บรรลุถึงความสุขอันไม่หวั่นไหว ย่อมไม่มีคติที่จะบัญญัติได้ ฉะนั้น"
จากคุณ |
:
เฉลิมศักดิ์1
|
เขียนเมื่อ |
:
29 มี.ค. 55 05:30:50
|
|
|
|
|