Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
"ปาฎิหาริย์" อันเป็นสัญญาณของพระเจ้า, เพื่อยืนยัน ความเป็น ศาสนทูตของ ท่าน "นะบีมูซา" ติดต่อทีมงาน

สมาชิกห้องศาสนาที่ผมคุ้นเคยกันทุกๆท่าน ขอให้ช่วยกัน คุยสนุก ในกระทู้นี้ และ ยุติ สงครามเย็น ระหว่างศาสนาในห้องนี้กันดีกว่า เราั มาทำความเข้า ใจในศาสนาอัน เป็น ที่ศรัทธาของเรา และศึกษาหาความรู้ระหว่างศาสนาด้วยไมตรีที่ดีต่อกัน ดังสุภาษิตจีนที่ว่า

如果你有耐心,在憤怒的時刻,你將難逃百日傷心。

หลูกั่วนี่ย่งไมซิ้น   แซ่ซึ่งนั่วตะฉี่เขือะ  นี้เจียงน๋ายเถา ตะจยิซั้นซิ้น

หมายความว่า

   ถ้าหากคุณมีความ “อดทนอดกลั้น”  ในเวลาที่คุณโกรธแค้นเพียงวินาฑีเดียว, เท่ากับคุณจะหนีความโศรกเศร้าไปได้ 100 วัน
(หรือ ไม่ยากที่คุณจะได้พบวันที่ดีงามเป็น100 วัน)


 ขอเชิญท่านสมาชิกทั้งหลาย มาเข้าใจการคุยเรื่องศาสนาของมุสลิมและ หาความเข้าใจ ว่าเราศรัทธาและมีความคิดแตกต่างกันอย่างไร เพื่อที่จะได้เข้าใจ ว่า ทำไม ประชาชนในประเทศ ที่เป็นมุสลิมส่วนใหญ่ จึง อพยพหนีความยุ่งยาก จาก ประเทศมุสลิม ภายใต้กฏหมาย สองระดับ เข้าไปอยู่ในประเทศตะวันตก โดย เฉพาะอเมริกา ซึ่งมีสังคมมุสลิม จากภาคตะวันออกกลาง และจาก ประเทศทาง ตะวันออกเฉียงใต้  อพยพเข้าไปอยู่เป็นจำนวนมาก


   การสนทนาของผมวันนี้ จะเป็นการสนทนาต่อจากกระทู้
จดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิก ผู้ที่ใช้นามแฝง "abubilal"
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11863195/Y11863195.html

 เป็นเรื่องจากคัมภีร์อัลกุรอาน ที่มีมุสลิมจำนวนมากไม่เข้าใจการเปรียบเทียบ และตัวอย่าง การที่พระเจ้า ให้สัญญาณต่อ มวลมนุย์ ให้เห็นในเอกพลานุภาพ ของ พระองค์  และเพื่อสนับสนุน และยืนยัน การแต่งตั้ง ศาสนทูตของพระองค์ โดยเฉพาะท่านนะบีโมซา (โมเสส), ผู้ซึ่งเป็น ศาสนทูตที่พระองค์ ให้อำนาจใน การ แสดง ปาฏิหาริย์ เป็นอย่างมากเท่าที่ผมทราบ เช่นการ เปลี่ยน ไม้เท้าเป็น งูพิษ และ การแยกทะเลแดง เปิดทางให้ผู้คนเดินข้ามทะเล, ทำน้ำให้ออกมาจากก้อนหิน ฯลฯ

   เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งใน บรรดา ปาฏิหาริย์ อันเป็นสัญญาณ จากพระเจ้า ในความมีอยู่จริงของพระองค์ (GOD IS.)

  คือเรื่องการสอบสวน ฆารกร ให้บรรดาลูกหลาน ของอิสราเอล ผู้ต่อ ต้าน ความเป็น ศาสนทูตของ นะบีมูซา, ซึ่งชนเผ่าลูกหลานอิสราเอลนั้น, บูชารูปปั้นของ “วัว” เป็นสิ่งที่เขา กราบ ไหว้บูชา ที่สูงสุดในศาสนาของพวกเขา, พวกนี้ในยุคนั้น ขัดขืนต่อต้าน ความเชื่อว่ามี พระเจ้าอย่จริง เพราะพวกเขาจะเชื่อในสิ่งที่ พวกเขา มองเห็น เท่านั้น

  เรื่องมีอยู่ว่าได้เกิดมีการฆาตรกรรมเกิดขึ้น จริงๆ แต่หาตัวฆาตกรไม่ได้ เรื่องราวต่อไปนี้จึง ถูกบัญญัติขึ้นมาเพื่อ ตามลำดับของบัญญัติต่อไปนี้

  {2:67} และจงนึกถึง เมื่อมูซาได้กล่าวแก่กลุ่มชนของตนว่า "อัลลอฮฺได้ทรงบัญชาพวกเธอให้เชือดโคหนึ่งตัว" พวกเขากล่าวว่า "ท่านจะถือเอาพวกเราเป็นสิ่งล้อเล่นกระนั้นหรือ?" มูซาตอบว่า "ฉันขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ ให้พ้นจากการที่ฉันจะเป็นหนึ่งในหมู่คนโง่เขลา"

{2:68} พวกเขาได้กล่าวว่า "โปรดวิงวอนต่อพระเจ้าของท่านเถิด พระองค์ก็จะทรงชี้แจงแก่พวกเราว่ามันเป็นอย่างใด" เขากล่าวว่า "พระองค์ตรัสว่า 'เป็นโคตัวเมียที่ไม่แก่และไม่อ่อน แต่เป็นโควัยปานกลาง' ดังนั้นพวกเธอจงปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเธอถูกบัญชาเถิด"

{2:69} พวกเขากล่าวว่า "โปรดวิงวอนต่อพระเจ้าของท่านเถิด พระองค์ก็จะทรงชี้แจงแก่เราว่า มันนั้นสีอะไร?" มูซาตอบว่า "พระองค์ตรัสว่า มันคือโคสีเหลืองเข้มสดใส เป็นที่ต้องใจแก่ผู้พบเห็น"

{2:70} พวกเขากล่าวว่า "โปรดวิงวอนต่อพระเจ้าของท่านเถิด พระองค์จะทรงชี้แจงให้แก่เราว่ามันเป็นอย่างใด เพราะสำหรับเราแล้ว โคมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ถ้าหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ พวกเราก็จะเป็นผู้ได้รับการชี้นำ"

{2:71} มูซากล่าวว่า "อัลลอฮฺตรัสว่า 'โคตัวนั้นเป็นโคที่ไม่เคยถูกเทียมคันไถให้ไถดิน และไม่เคยถูกใช้ให้ทดน้ำรดไร่นา เป็นวัวที่สมบูรณ์ ปราศจากตําหนิตามตัว' " แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า "บัดนี้ท่านได้นำความจริงมาให้แล้ว" แล้วพวกเขาจึงได้เชือดโคตัวนั้น ทั้ง ๆ ที่พวกเขาแทบจะไม่ทำ

{2:72} และจงรำลึก เมื่อพวกเธอสังหารชีวิตหนึ่ง แล้วพวกเธอก็เริ่มซัดทอดกันในเรื่องนี้ แต่อัลลอฮฺก็ได้นำเรื่องที่พวกเธอปิดบังนั้น ออกมาเปิดเผย

{2:73} ดังนั้น เราจึงได้บัญชาว่า "จงฟาดศพนั้น ด้วยส่วนหนึ่งของโคตัวนั้น" เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺ ทรงชุบชีวิตคนตาย และพระองค์ได้ทรงแสดงบรรดาสัญญาณของพระองค์ให้เห็น เพื่อว่าพวกเธอจะได้เข้าใจ

[ 2:67] และจงนึกถึง เมื่อมูซาได้กล่าวแก่กลุ่มชนของตนว่า "อัลลอฮฺได้ทรงบัญชาพวกเธอให้เชือดโคหนึ่งตัว" พวกเขากล่าวว่า "ท่านจะถือเอาพวกเราเป็นสิ่งล้อเล่นกระนั้นหรือ?" มูซาตอบว่า "ฉันขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ ให้พ้นจากการที่ฉันจะเป็นหนึ่งในหมู่คนโง่เขลา"

เนื่องจากการอ่านอัลกุรอานจะต้องเข้าใจตามตัวอักษร และสำหรับเรื่อง การเปรียบเทียบหรือการยกตัวอย่างในอัลกุร อาน จำเป็นจะต้องรู้เรื่องราวของ การเปรียบเทียบให้เข้าใจด้วย

   ในสมัยนะบีมูซา ในกรณีที่มีคนถูกฆ่าตาย,และผู้คนไม่สามารถที่จะออกสอบสวนหาฆาตกรตัวจริงได้, ตามกฎหมายเดิมของ ท่าน นะบีมูซา, ต้องมีพยาน 50 คน จากชนเผ่าที่ต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกร  มาสาบานในความบริสุทธ์ และ ความโง่เขลาที่เขากระทำความชั่ว และต้องจ่ายฆ่าชดเชยต่อ ญาติหรือ ครอบครัวของผู้รับมรดกของผู้ตาย

    เมื่อกรณีเช่นนี้ เกิดขึ้นจริงๆ ในหมู่ลูกหลานของอิสราเอล พวก ต่อต้าน ได้โต้ เถียง,สงสัย, และปฎิเสธ คัดค้าน บัญญัติ สัจจธรรม และ แนว ทางที่ อัลลฮฮ์ทรงประทานให้, พวกหัวดื้อเหล้่านั้นได้ขยั้นขยอ ให้ ท่าน นะบีมูซา สวดวิงวอนต่อ อัลลอฮ์ , เพื่อให้อัลลอ เปิดเผยชื่อ ของ ฆาตกร,  ซึ่งท่านนะบีมูซาได้ปฏิเสธและไม่ยอมทำตาม, เนื่องจากการทำเช่นนั้น ขัดกับบัญญัติ ของพระเจ้าที่ใช้บังคับ อยู่ในขณะนั้น, ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นการรวมหัว กัน ของพวกปฏิเสธ, ต้องการพิสูจน์ความ มีอำนาจของท่านนะบีมูซา ในการ เป็นศาสนทูตที่ แท้จริงของอัลลอฮ์  ซึ่งอัลลออ์ตะอาลาได้ให้คำตอบโดยทรงประทานปาฎิหาริย์ให้กับท่านนบืมูซา ดังต่อไปนี้....

    ดังนั้น อัลลอฮ์จึงให้คำตอบ โดยที่พระองค์ให้ นะบีมูซา มีคำสั่งให้ ชนกลุ่มนั้น ฆ่าวัวตัวหนึ่ง, เมื่อได้รับคำสั่งที่พวกเขาต้องเสียสละวัว ชนกลุ่ม นั้นเกิดความ ลำบากใจมาก เนื่องจาก วัวเป็นส่วนหนึ่งใน ความศรัทธาต่อศาสนา ของพวก เขาอย่างสูงสุด พวกเขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงคำสั่ง ของท่านนะบีูมูซาโดย แกล้งถาม ถึงลักษณะวัวในรายละเอียดต่างๆ จนในที่สุด อัลลอฮ์ได้ แจก แจงรายละเอียดของลักษณะของวัวโดยที่พวกเขาไม่มีทางหลีกเลี่ยงและต้องหาเงินจำนวนหนึ่ง ไปซื้อวัวตัวนั้นมาซึ่งแพงมากเพื่อเป็นการลงโทษพวกดื้อดึง (2:67-71)

ในที่สุดวัวตัวนั้นได้ถูกฆ่าท่านนะบีมูซา ออกคำสั่งให้พวกเขา,"จงฟาดศพนั้น ด้วยส่วนของวัวตัวนั้น" ในทันทีศพของผู้ที่ถูกฆ่าตายก็ฟื้นขึ้นมาและชี้ตัวฆาตกรได้อย่างถูกต้อง  ด้วยการแสดง ปาฏิหาริย์ของพระเจ้าผ่านท่านนะบีมูซา

  ซึ่งตรรกะในเรื่องนี้จะไม่อาจที่จะนำไปเปรียบเทียบกับเรื่อง "ที่ท่านอุมัร อ้างว่าท่านรอซูล สอนว่า ถ้าจูบหรือสัมผัสก้อนหินแล้ว จะเป็นการล้างบาปโดย อัลลอฮ์ จะอภัยโทษให้ในวันตัดสิน, โดยการเป็นพยานของหินดำก้อนนั้น

  และ ฮาดีษอีกบทหนึ่งจากการฟัตวาถึงความสำคัญในการจูบหรือสัมผัสหินดำ ซึ่งผมตำหนิว่า ท่านเชค ผู้นี้ว่า กำลังจะลากมุสลิมที่ขาดความเข้าใจ ไปทำ ชิริกโดยไม่รู้ตัว  แม้แต่มุสลิมที่แน่ใจว่าตนเข้าใจ ยังเข้าใจว่า

ในวันตัดสินในวันกิยามะฮ์ในปรโลก ที่บรรดาวิญญาณต่างๆกลับคืนชีพ, หินดำก้อนนี้จะแสดงตัวออกมา เป็นพยาน ต่อองค์อัลลอฮ์ตะอาลา เข้าข้าง ผู้ที่เคยได้สัมผัสหิน ก้อน นั้นในโลกมนุษย์มาก่อนว่า เป็นความ จริงของบุคคล ผู้ที่สัมผัสก้อนหินนี้ อย่างแท้จริง

และ

การจูบและ/หรือสัมผัสก้อนหินดำ นั้น เป็นสิ่งหนึ่งที่อัลลออ์ตะอาลา ใช้ในการพิจารณา ในการอภัยโทษต่อบาปกรรมของผู้ที่ สัมผัสหินดำนั้น  

ตามที่ผมกล่าวว่า ตรรกะของเรื่องการประทานปาฎิหาริย์ ให้กับท่านนะบีมูซา ในเรื่องตีศพด้วยชิ้นวัวนั้น  มันคนละเรื่องกับฮาดีษในการฟัตวา ของท่าน Sheikh Muhammed Salih Al-Munajjid ในเรื่อง "ก้อนหินมีนัยตาและมีลิ้น"

ที่ผมว่ามันต่างกันเนื่องจากว่า

ในเรื่อง "ก้อนหินมีนัยตาและมีลิ้น" และมาเป็นพยาน ยืนยันคนที่สัมผัสมันด้วยความจริงใจนั้น ...มันเป็นเพียงแค่เรื่องนิทานบอกเล่า ซึ่งไม่ทั้งพระเจ้าหรือศาสนทูตรับรองความแท้จริง, นอกจาก อิมาบุครีเท่านั้นที่นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง

 แต่เรื่อง ปาฏิหาริย์ ของท่านนะบีมูซานั้นมีบัญญัติไว้ในอัลกุรอานและมุสลิมศรัทธาว่าเป็นบัญญัติของพระเจ้าที่แท้จริง  และเป็นเรื่องทางจิตวิญญาณของมนุษย์กับพระเจ้า  ไม่ใช่เรื่องของวัตถุเทียบเคียงกับพระเจ้าซึ่งพระเจ้าต้องนำมาเป็นพยานเนื่องจากพระองค์ไม่อาจจะล่วงรู้จิตใจของมนุษย์ด้วยพระองค์เอง
 
ในกรณีของท่านนะบีมูซา, คนที่ถูกฆ่าตาย พระเจ้าทรงติดต่อทางจิตวิญญาณ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับชิ้นส่วนของวัวที่ตายไป  การให้ฆ่าวัวเป็นการลงโทษ พวกหัวดื้อที่ไม่ยอมเชื่อในองค์อัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์, เนื้อวัวที่ตายไป เป็นแค่อุปกรณ์ แสดงให้เห็นว่า ท่านนะบีมูซาสามารถแสดงให้เห็นว่าอัลลอฮ์มีอำนาจกว่าวัวที่พวกเขาเหล่านั้นนับถือ

  ฮาดีษที่อ้างถึงท่าน"อุมัร"เป็นฮาดีษ ที่ขาดตรรกะ, ทั้งนี้เพราะว่าฮาดีษ บทหนึ่งอ้างว่า ก้อนหินไม่มีความสำคัญ แต่ฮาดีษอีก บทหนึ่งอ้างว่า ก้อนหินดำมีความสำคัญต่อความศรัทธาและเป็นส่วนหนึ่งของหลักการของอิสลามซึ่งหินดำก้อนนี้ จะกลับไปมีชีวิตในวันกียามัต ด้วยอำนาจของพระเจ้า พร้อมกับวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งไม่มีการอ้างอิงในอัลกุรอานแม้แต่น้อย

การอ้างอิงบัญญัติที่ 2:73 มายืนยันฮาดีษเรื่องหินดำนี้ เป็นการแสดงถึงการ ขาดความเข้าใจ ทั้งในการใช้เหตุผลและ หลักการศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว ของอิสลาม

อัลลอฮ์ตะอาลาได้เตือนบรรดา ผู้ที่อ้างอิงอัลกุรอาน ในทำนองเดียวเช่น,

1.ในเรื่องหินดำไปเป็นพยานในวันตัดสิน,
2.อ้างว่าฆ่าคนละทิ้งอิสลาม เป็น หลักการของศาสนาอิสลาม ดังเช่น Sheikh  Muhammed Salih Al-Munajjid,

และบรรดาผู้ที่อ้างว่า


3. "ครั้งหนึ่งเคยมีบัญญัติในการสังหารด้วยการปาด้วยหินจนตาย แต่ถูกแพะกินไป"


บรรดาผู้ที่กล่าวเท็จโดยอ้างอิงอัลกุรอานอย่างบิดเบือน เช่นนี้  โปรด เข้าใจ และอ่านให้ถึงบัญญัติข้างล่างนี้
 
  ดังนั้น ความวิบัติจงมีแด่ผู้เขียนคัมภีร์ด้วยมือของตนเองแล้ว กล่าวว่า "อันนี้มาจากอัลลอฮฺ" เพื่อที่พวกเขาจะนำมัน ไปแลกเปลี่ยน ด้วยราคาเล็กน้อย ดังนั้นความวิบัติจะประสพแก่พวกเขา เนื่องจาก สิ่ง มือของพวกตนเขียนขึ้น และความวิบัติจะประสพแก่พวกเขาเนื่องจากสิ่ง ที่พวกเขาแสวงหา (2:79)

จากคุณ : แมทท์
เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 55 23:16:46




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com