ซึ่งผมได้ยกตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจถึงเรื่องการที่อัลลอฮฺได้ให้สิ่งของ หรือชิ้นส่วนสัตว์มามีอิทธิพลในเรื่องศาสนา เป็นบางครั้ง เช่น 73. แล้วเราได้กล่าวว่า พวกเจ้าจงตีเขาด้วยบางส่วนของวัวตัวนั้น(*1*) ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงให้ผู้ตาย(*2*) มีชีวิตขึ้นมา และจะทรงให้พวกเจ้าเห็นสัญญาณต่าง ๆ (*3*) เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้เข้าใจ
(1) ตีผู้ที่ถูกฆ่าด้วยบางส่วนของวัวที่ถูกใช้ให้เชือด (2) ให้ผู้ที่ถูกฆ่าตายฟื้นคืนชีพ เพื่อบอกว่าใครเป็นคนฆ่า (3) สัญญาณแห่งเดชานุภาพของพระองค์ที่ได้ทรงให้ผู้ที่ตายมีชีวิตขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับพระองค์ และถามกำชับว่า ถ้าแมทท์ ยังแยกแยะไม่ได้ว่า การจูบหินดำ หรือ การไหว้ต้นกล้วยต่างกันอย่างไร ก็บอกหน่อยซิว่า ทำไม 1. ทำไม ต้องตีผู้ที่ถูกฆ่าตายด้วยชิ้นส่วนวัว 2. ทำไม ชิ้นส่วนวัวถึงมีส่วนเกี่ยวพันกับการฟื้นชีวิตของคน พวกเจ้าจงตีเขาด้วยบางส่วนของวัวตัวนั้น(*1*) ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงให้ผู้ตาย(*2*) มีชีวิตขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าการที่มุสลิมนำชิ้นส่วนหนึ่งมาเป็นสาเหตุ เพื่อทำให้เกิดสิ่งหนึ่งนั้น ศาสนามีสอนมาแล้ว และมีบันทึกในกุรอ่าน ว่าเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจริง และผู้ที่สั่งคืออัลลอฮฺด้วย ทั้งที่พระองค์ทรงทำให้ชายผู้นั้นฟื้นขึ้นมาเองก็ได้ แต่พระองค์ยังสั่งใช้ให้นำชิ้นส่วนของสัตว์ไปตี แสดงให้เห็นว่า เป้นพระประสงค์ของพระองค์ที่จะให้ชิ้นส่วนสัตว์นั้น เป็นส่วนในการทำให้ฟื้น เช่นเดียวกัน หินดำนั้น จริงๆ แล้วพระองค์ไม่ต้องให้มันเป็นพยานในการยืนยันว่ามาทำฮัจญ์ หรือจูบมันจริงก็ได้ แต่อัลลอฮฺก็ทรงจะให้มันเป็นพยาน นี่ก็เหมือนกับเรื่องชิ้นส่วนวัวนั่นแหละครับ เทียบให้เห็นชัด เพื่อไม่ให้ คนที่โง่เง่า หรือพยายามจะโง่เง่าอย่างแมทท์ เถียงไม่ออกและดินไม่หลุด หินดำ | ชิ้นส่วนวัว | 1. เป็นวัตถุ | 1. เป็นวัตถุ | 2. ใช้เพื่อเหตุการณ์ทางศาสนา | 2. ใช้เพื่อเหตุการณ์ทางศาสนา | 3. อัลลอฮฺให้ทำ | 3. อัลลอฮฺให้ทำ (ทำตามนบีเป็นคำสั่งอัลลอฮฺ) | 4. อัลลอฮฺ ไม่จำเป็นต้องใช้หินดำเป็นพยานก็ได้ | 4. อัลลอฮฺไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนวัวในการทำให้คนตายฟื้นก็ได้ | จากตาราง เราจะพบเลยว่า ทั้งสองสิ่งนั้น เป็นสิ่งที่ถูกใช้ เพื่อเหตุการณ์ในศาสนาเช่นเดียวกัน ไม่พบความต่างนะครับ ดังนั้นคำอ้างของแมทท์จึงใช้ไม่ได้ แมทท์อ้างว่า เมื่อกรณีเช่นนี้ เกิดขึ้นจริงๆ ในหมู่ลูกหลานของอิสราเอล พวก ต่อต้าน ได้โต้ เถียง,สงสัย, และปฎิเสธ คัดค้าน บัญญัติ สัจจธรรม และ แนว ทางที่ อัลลฮฮ์ทรงประทานให้, พวกหัวดื้อเหล้่านั้นได้ขยั้นขยอ ให้ ท่าน นะบีมูซา สวดวิงวอนต่อ อัลลอฮ์ , เพื่อให้อัลลอ เปิดเผยชื่อ ของ ฆาตกร, ซึ่งท่านนะบีมูซาได้ปฏิเสธและไม่ยอมทำตาม, เนื่องจากการทำเช่นนั้น ขัดกับบัญญัติ ของพระเจ้าที่ใช้บังคับ อยู่ในขณะนั้น, ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นการรวมหัว กัน ของพวกปฏิเสธ, ต้องการพิสูจน์ความ มีอำนาจของท่านนะบีมูซา ในการ เป็นศาสนทูตที่ แท้จริงของอัลลอฮ์ ซึ่งอัลลออ์ตะอาลาได้ให้คำตอบโดยทรงประทานปาฎิหาริย์ให้กับท่านนบืมูซา ดังต่อไปนี้....
ดังนั้น อัลลอฮ์จึงให้คำตอบ โดยที่พระองค์ให้ นะบีมูซา มีคำสั่งให้ ชนกลุ่มนั้น ฆ่าวัวตัวหนึ่ง, เมื่อได้รับคำสั่งที่พวกเขาต้องเสียสละวัว ชนกลุ่ม นั้นเกิดความ ลำบากใจมาก เนื่องจาก วัวเป็นส่วนหนึ่งใน ความศรัทธาต่อศาสนา ของพวก เขาอย่างสูงสุด พวกเขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงคำสั่ง ของท่านนะบีูมูซาโดย แกล้งถาม ถึงลักษณะวัวในรายละเอียดต่างๆ จนในที่สุด อัลลอฮ์ได้ แจก แจงรายละเอียดของลักษณะของวัวโดยที่พวกเขาไม่มีทางหลีกเลี่ยงและต้องหาเงินจำนวนหนึ่ง ไปซื้อวัวตัวนั้นมาซึ่งแพงมากเพื่อเป็นการลงโทษพวกดื้อดึง (2:67-71)
ในที่สุดวัวตัวนั้นได้ถูกฆ่าท่านนะบีมูซา ออกคำสั่งให้พวกเขา,"จงฟาดศพนั้น ด้วยส่วนของวัวตัวนั้น" ในทันทีศพของผู้ที่ถูกฆ่าตายก็ฟื้นขึ้นมาและชี้ตัวฆาตกรได้อย่างถูกต้อง ด้วยการแสดง ปาฏิหาริย์ของพระเจ้าผ่านท่านนะบีมูซา ข้อนี้เป็นสิ่งที่ผมต้องการสื่อมาก เรียกได้ว่า มากที่สุด เพราะแมทท์ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่ารังเกียจ โสมม และต่ำทรามมากว่า โดยก้อนหินดำนั้นจะเป็นพยานต่อ อัลลอฮ์ตะอาลา, ซึ่งทำให้เห็นว่า อัลลอฮ์ตะอาลา ไม่อาจจะทรงทราบหรือล่วงรู้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่มนุษย์กระทำด้วยพลานุภาพของพระองค์? ซึ่งแมทท์ผู้โฉดเขลา กลับไม่รู้จักคิดว่า อัลลอฮฺก็สามารถ แสดงปาฏิหารย์ และความยิ่งใหญ่ของพระองค์ โดยไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนของลูกวัวเลยก็ย่อมได้ แต่พระองค์ก็ยังทรงใช้ ดังนั้นหัดใช้สมองพิจารณาดูบ้างครับว่า มันเป็นความจริง ที่พระองค์ไม่ทรงต้องการพยาน แต่พระองค์ทรงให้หินดำเป็นพยานได้ เช่นเดียวกับที่พระองค์ไม่ทรงต้องการชิ้นส่วนวัวเพื่อแสดงปาฏิหารย์ แต่พระองค์ทรงทำให้ใช้ชิ้นส่วนวัวนั้นแสดงออกมา นี่จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงการบิดเบือนอันน่ารังเกียจของแมทท์ ถึงการพยายามโจมตีฮะดีษนะครับ ชัดเจน
จากคุณ |
:
Carroth
|
เขียนเมื่อ |
:
29 มี.ค. 55 07:42:21
|
|
|
|