PANTIP.COM : Y11899142 "มูนาฟิก" เสพย์แอลกอฮอลล์ กันเป็นส่วนมาก แถมยังนำมา "ดื่มกิน" แก้บวชเสียอีก.... []

"มูนาฟิก" เสพย์แอลกอฮอลล์ กันเป็นส่วนมาก แถมยังนำมา "ดื่มกิน" แก้บวชเสียอีก....

ถ้าว่ากันตามหลักการของฮาดีษที่มุสลิมส่วนใหญ่ยึดถือเป็นคัมภีร์เล่มที่สองรองจาก อัลกุรอาน และใช้ในการ อธิบายบัญญัติของพระเจ้า ให้เป็นไปตามอารมณ์ต้องการของ มุสลิมบางกลุ่มบางนิกาย

การดื่มเหล้าและเสพสิ่งออกฤทธิ์ทำให้เมาถือเป็นบาปทุกกรณี ไม่ว่าจะดื่มมากหรือดื่มน้อย เสพย์มากหรือเสพย์น้อย เมาหรือไม่เมา เพราะฮาดีษ ให้ถือการดื่มเสพย์เป็นเกณฑ์ ฮาดีษอ้างว่า ท่านรอซูลก่ลาวเป็นโอวาทว่า

إِذَا أَسْكَرَ كَثِيْرُهُ فَقَلِيْلُهُ حَرَامٌ

ความหมาย “ เมื่อปริมาณมากทำให้เมาได้ การเสพเพียงน้อยนิด - โดยไม่เมา -ก็เป็นบาปเหมือนกัน ” จากบันทึกของอะหมัด, อาบีดาวู๊ด,อัดติรมิซีย์และอิบนิมาญฮ์

In Sunan Ibn-I-Majah Volume 3, Book of Intoxicants, Chapter 30 Hadith No. 3392

"Anything which intoxicates in a large quantity, is prohibited even in a small quantity."
หมายความว่า

"สิ่งใดก็ตาม(ที่มีแอลกอฮอล์)ในปริมาณที่มากเมื่อบริโภคแล้วทำให้มึนเมา, สิ่งนั้น เป็นสิ่งที่ต้องห้าม,ถึงแม้จะบริโภค(แอลกอฮอล์)ในจำนวนเล็กน้อยก็ตาม"

ถ้า ฮาดีษกล่าวห้ามเช่นนี้ “มีมูนาฟิก” เป็นจำนวนมาก ที่ดื่มแอลกอฮอลล์ หรือ เหล้าข้าวเหนียว เป็นประจำ ถึงแม้จะเป็นขนมที่มีเหล้าปนอยู่ด้วยก็ตาม เหล้าข้าวเหนียวนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม จัดว่าเป็น อาหารหรือเครืองดื่ม ประเภทเดียวกับเหล้า หรือ สุรา

สุราพื้นบ้านอย่างเช่น อุ สาโท นั้น ชาวผู้ไทก็มีวัฒนธรรมในการทำและกินดื่มเช่นกัน อย่าง อุ ภูไท ซึ่งผลิตโดยกลุ่มสหกรณ์การเกษตรเพื่อเกษตรกรไทย สกลนคร ถือว่า เป็นหนึ่งในสุราแช่ของสกลนคร ทั้งยังเคยนำมาร่วมแสดงในงานมหกรรม เหล้าพื้นบ้าน ที่กรุงเทพฯ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

สุราพื้นบ้านอย่างเช่น อุ สาโท นี้ มีขบวนการทำเช่นเดียวกับเหล้าข้าวเหนียวหรือข้าวหมาก ที่มุสลิชอบทานและดื่มน้ำข้าวหมากเป็นประจำ

เรามาดูว่าพระเจ้าบัญญัติไว้อย่างไร?

وَمِن ثَمَرَاتِ النَّخِيلِ وَالأَعْنَابِ تَتَّخِذُونَ مِنْهُ سَكَراً وَرِزْقاً حَسَناً إِنَّ فِي ذَلِكَ لآيَةً لِّقَوْمٍ يَعْقِلُونَ

และจากผลของต้นอินทผาลัมและองุ่นพวกเจ้าได้จากมันมาเป็นทั้งของมึนเมาและอาหารที่ดี แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณแก่กลุ่มชนผู้ใช้ปัญญา (อันนะหฺลุ บัญญัติที่ 67)

(16:67)และจากผลของต้นอินทผาลัมและองุ่น พวกเธอได้เอามันมาเป็นทั้งของมึนเมาและอาหารที่ดี แท้จริงในการนั้น ย่อมเป็นสัญญาณแก่กลุ่มชนผู้ใช้ปัญญา

And of the fruits of the palms and the grapes-- you obtain from them intoxication and goodly provision; most surely there is a sign in this for a people who ponder. (Shakir 16:67)

จากโองการ..มีเตรื่องดื่มและอาหารที่มีรสชาดที่สดชื่นเมื่อดืม ซึ่งได้มาจากการหมัก ผลของต้นอินทผาลัมและองุ่น เช่น น้ำส้มสายชู และเครื่องดื่มอื่นๆที่ไม่เป็นพิษต่อสุขภาพ

ถึงแม้ว่าคำว่า “سَكَراً “ (น้ำตาลหมัก)ในบัญญัตินี้หมายถึง เครื่องดื่มประเภทเดียวกับเหล้าหรือสุรา, แม้กระนั้นก็ตาม อัลกุรอานบัญญัตินี้ ไม่ได้ มีผลกระทบกระเทือน ต่อการห้าม ดื่มสุรา นั้นก็คือบัญญัตินี้จะไม่ถูกยกเลิก โดยบัญญัติใดๆ ในอัลกุรอาน เช่นการ บริโภคเหล้าข้าวเหนียว หรือ ข้าวหมาก หรือ น้ำข้าวหมาก ที่ บรรดา “มูนาฟิก” ชอบ รัปประทานกัน

ถ้าตามบัญญัติในอัลกุรอานบัญญัตินี้แล้ว ข้าวหมาก เป็นที่อนุมัติ ให้เป็น เครื่องดื่ม หรือ อาหาร “ฮาลาล” ที่มุสลิมบริโภคได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าตามฮาดีษแล้ว บรรดา “มูนาฟิก” จะต้องหยุดการกินและ ดื่มข้าวหมาก ตามฮาดีษดังกล่าว

ประโยชน์ของข้าวหมาก (จาก..ข้าวหมากไบโอเทค)

ยังไม่มีใครเคยนึกถึงข้าวหมากว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ข้าวหมากมีรสหวานจากธรรมชาติ คือเชื้อราในลูกแป้งย่อยแป้งให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่ร่างกายนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องย่อยก่อนเหมือนน้ำตาลทราย ทำให้เมื่อรับประทานข้าวหมากแล้วจะรู้สึกสดชื่น เพราะได้น้ำตาลไปให้พลังงานกับร่างกายอย่างรวดเร็ว

อีกทั้งแป้งที่ยังเหลือจากการย่อยก็สามารถให้พลังงานแก่ร่างกายได้เช่นเดียวกับการรับประทานข้าวตามปกติ และยังมีวิตามินต่างๆ จากข้าว ส่วนแอลกอฮอล์ที่มีอยู่นิดหน่อย ก็จะช่วยให้เลือดไหลเวียนคล่อง หากบริโภคเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดอุดตันได้เช่นเดียวกับการดื่มไวน์

นอกจากนั้นในข้าวหมาก ยังมีเซลล์ยีสต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งมีวิตามินบีที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และเป็นการเสริมโปรตีนให้กับข้าว ซึ่งปกติมีโปรตีนต่ำ การกินยีสต์นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก คนออสเตรเลีย อังกฤษ จะรับประทานยีสต์ที่ทำเป็นครีมสำหรับทาหน้าขนมปังปิ้งเป็นอาหารเช้า ชาวฝรั่งเศสนำยีสต์เป็นๆ มาใส่แคปซูลทำเป็นยาแก้ท้องเสีย ส่วนคนไทยกินข้าวหมาก

ความคิดเห็นตอนแรกนี้ จะจำกัดอยู่เฉพาะ เฉพาะบัญญัติ นี้เท่านั้น

จากบัญญัตินี้จะเห็นว่า อักุรอานนี้สอนให้มุสลิมใช้สมองและใช้ความคิดในการที่จะเลือกอาหารที่จะบริโภค ให้ถูกต้องตามคุณประโยชน์ของมัน ถ้าเรามีความรู้และสติปัญญา ต่ออาหารหรือเครื่องดื่มที่เราประกอบเพื่อการบริโภค โดยให้คำนึงถึง คุณประโยชน์ของมัน
وَمِن ثَمَرَاتِ النَّخِيلِ وَالأَعْنَابِ تَتَّخِذُونَ مِنْهُ سَكَراً وَرِزْقاً حَسَناً إِنَّ فِي ذَلِكَ لآيَةً لِّقَوْمٍ يَعْقِلُونَ

และจากผลของต้นอินทผาลัมและองุ่นพวกเจ้าได้จากมันมาเป็นทั้งของมึนเมาและอาหารที่ดี แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณแก่กลุ่มชนผู้ใช้ปัญญา (16 อันนะหฺลุ บัญญัติที่ 67)

จากคุณ : แมทท์

เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 23:27:47

ความคิดเห็นที่ 13

สวัสดีครับคุณ รถเรณู และคุณZim-MorLuth- ต้องขออภัยด้วยครับที่ไม่ได้สวัสดีเมื่อ 6 ชั่วไมงที่แล้ว พอโพสต์แล้วผมก็หลับไป เนื่องจากเพิ่งกลับจากทำงาน

คุณ Zim-MorLuth ถามผมว่า

"ท่านจะแปลกและแตกต่างทำไม?,ผมรู้สึกว่าในหลักศรัทธาศาสนาท่านเหมือนทหารเกณฑ์ สั่งอย่างไร บอกอย่างไร ต้องอย่างนั้น ห้ามเกิน ห้ามขาด ห้ามคิดเอง"

...

คุณเข้าใจผิดทีเดียวครับ ในทางตรงกันข้ามกับที่คุณเข้าใจ

หลักการของอิสลาม สอนให้มุสลิมใช้ สายตา, สมอง,การตัดสินใจ(จิต) พิจารณา เรื่องราวใดๆก็ตามที่เราได้ยินมา ก่อนที่เราจะเชื่อหรือปฏิบัติ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับความศรัทธา, ห้ามเชื่อเรื่งราวที่เหลวไหล ซึ่งผิดไปจาก จริยาธรรม, คุณธรรม ที่สังคมของมนุษยชาติไม่ยอมรับ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องราวที่ไม่ตรงหรือสอดคล้องกับ แนวทางที่พระเจ้าทรงประทานให้(อัลกุรอาน)

เช่นในเรื่อง "การจูบหินดำเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่เหลวไหลขาดเหตุผล ซึ่งจูบก้อนหิน ตามกันโดยที่ไม่หาเหตุผลเพียงแค่เห็นการกระทำของศาสดาเท่านั้นซึ่งจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่มีทางรู้" และไม่มีปรากฏในอัลกุรอานมีบัญญัติเช่นนั้น

การ Stoning เป็นกากระทำที่ไม่มีบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน ทำให้ผู้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

และในเรื่องที่ผมกำลังสนทนาอยู่นี้ คุณจะเห็นว่า เรื่องการบริโภคสารผสมของแอลกอฮอลล์นี้ อัลกุรอานได้กล่าวถึงเหตุผลและประโยชน์ที่มนุษย์ ผู้มีหรือผู้ที่ใช้ปัญญาพิจารณา จึงจะเข้าใจว่า ส่วนที่เป็นประโยชน์ ทางโภชนาการนั้น เราควรจะ พิจารณาว่า คุณและโทษของมันนั้น เราจะต้องรักษาดุลย์อย่างไร จึงจะได้ประโยชน์มากที่สุด จากสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้

คำว่า "มูนาฟิก" หมายถึง การพูดสับปรับตะลบตะแลง หรือในศัพท์ ของ ชาวห้องศาสนาเรา เรียกว่า "แถ หรือ เกรียน" เปลี่ยนความผิดให้ถูกเท่าที่ตัวเอง สามารถจะทำได้ ถ้าถึงจุดที่ต้องใช้เหตุผล และตอบคำถามไม่ได้ ก็จะพาล หยาบคาย เพื่อให้ คู่สนทนา ยอมรับความคิดเห็นของตนฝ่ายเดียว หรือไม่ก็หยุดไป

สำหรับผมนี้ ผมไม่สนใจว่า การเขียนของผมจะมีผู้ยอมรับหรือไม่ แต่ เพียงเป็นการเริ่มต้นในสังคมมุสลิม ซึ่งถึงเวลาที่จะต้อง อธิบายความจริง ให้ทั้งมุสลิมและผู้ต่างศรัทธาเข้าใจ อย่างถูกต้อง ถึงแม้ว่าผู้ที่อยู่ในกรอบจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

ผมจะไม่สนใจในการตอบโต้ด้วยอารมณ์ แต่ผมชอบคำถามแปลกๆ ที่ผู้ต่างศรัทธาเห็นมุสลิมปฏิบัติแล้ว เกิดความสงสัยหรือ สนใจว่า "คำสอนอะไรถึงโหดร้ายทารุณอย่างนั้น" ศาสนาแห่งความสันติทำไมจึง มีแต่ความวุนวาย? ทำไมจึงขาดสติ และการควบคุมอารมณ์ตนเอง? ฯลฯ และคำถามต่างๆที่ผมเห็น สมาชิกถามมุสลิม อยู่ตลอดเวลา จนเกือบจะเรียกได้ว่า "สงครามเย็นทางศาสนา"

คำถามของผู้ศรัทธาบางครั้ง เป็นความจริงใจและ ถามตรงๆ ซึ่งมุสลิมจะต้องยอมรับความจริงว่าในสังคมมุสลิมเขาปฏิบัติเช่นนั้น ไม่ควรจะโกรธผู้ถาม แต่ ควรจะ หาคำตอบที่ถูกต้องมาตอบด้วยเหตุผล

ถ้ามุสลิมทำตัวแบบ "ทหารเกณฑ์" โดยไม่ใช้สมองของตัวเองแล้ว คำตอบจะเหมือนกัน ทุกครั้งที่ถูกถาม แต่ถ้ามุสลิมมอง Pattern ที่ถูกสอนมาว่า ถูกผิดอย่างไร และอ่านหนังสือ ข้อเขียนของผู้ที่มีความรู้จริงๆ ด้วยเหตุผล แล้วหาคำตอบใหม่ๆ ที่มีเหตุผลมาตอบ ความเข้าใจใน "ศาสนาอิสลาม" จะไม่เป็นอย่างที่ เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ , จะเข้าใจจากการปฏิบัติของมุสลิมบางสังคม ที่มีแต่ความวุ่ยวายและเดือดร้อนไปทั่วทุกๆมุมโลกว่าเกิดเพราะอะไร? จากหลักการของอิสลามหรือจากการปฏิบัติที่ออกนอกลู่นอกทางของอิสลาม

คุณถามผมว่า..

"ทำไมท่านไม่ตีความตามตำรา อย่างที่ท่านอื่นเขา ใช้ศรัทธานำหน้าละครับ?

ถ้ามุสลิมทำตามท่านศาสนทูตมูฮัมมัดอย่างถูกต้องและมีความศรัทธาและความรักต่อท่านศาสดาอย่างแท้จริงแล้ว มุสลิมจะต้องตีความ "อัลกุรอาน" ตามความเข้าใจตัวอักษร แต่ละคำจากอัลกุรอาน

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ส่วนใหญ่ของมุสลิมไม่ปฏิบัติคือ ปฏิเสธการสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ที่ มีคำสั่งให้ยึดอัลกุรอานเป็นหลักในศาสนาอิสลามเพียงอย่างเดียว และปฏิบัติตามตัวอย่างที่ท่านปฏิบัติ คือไม่หันเหออกนอกทางของพระเจ้าที่แท้จริง, แต่กลับสร้างตำราใหม่ขึ้นมา จากเรื่องบอกเล่า มาใช้ควบคู่ไปกับอัลกุรอานประดุจหางเสือเรือ ที่จะทำให้ข้อความในอัลกุรอานหันเหไปตามอารมณ์ ของผู้ที่จัดกรอบไว้, แทนที่จะยึดแนวทางของท่านรอซูลที่ใช้อัลกุรอานเป็นแบบฉบับในการสอนการปฏิบัติศาสนกิจ

ตัวอย่าง....บัญญัติ 16:67 จากหัวข้อกระทู้ อธิบายถึง การใช้ปัญญาจากการ หาคุณค่าทางโภชนาการ โดยอธิบายคุณค่าทางอาหารและย้ำถึง การพิจารณาคุณประโยชของ การเปลี่ยนแปลงทาง ชีวะเคมีของ น้ำตาล ซึ่งมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อ สุขภาพอย่างมาก จะเห็นว่า พระเจ้า จบบัญญัตินั้นลงว่า

"แท้จริงในการนั้น ย่อมเป็นสัญญาณแก่กลุ่มชนผู้ใช้ปัญญา"

คุณ Zim-MorLuth- จะเห็นว่า อิสลามสอนให้มุสลิมใช้สติปัญญาอยู่ตลอดเวลา ตลอดบัญญัติต่างๆในอัลกุรอาน อิสลามไม่ได้สอนให้มุสลิมเชื่ออย่างงมงาย ทุกอย่างที่คุณเห็นมุสลิมปฏิบัติอย่างงมงายนั้น เกิดจาก การถือศาสนาแบบ "ทหารเกณฑ์" ซึ่งมีอยู่ในทุกๆศาสนา

ในโลกนี้ มีมุสลิมประมาณ 1.5 Billions คุณย่อมเห็นทั้งความถูกต้องและความผิดพลาดในการปฏิบัติ ของมุสลิม

คุณเคยเห็นศาสนาใดวางโทษประหาร หรือ โทษโบยตี ในการดื่มเหล้าหรือไม่? ซึ่งมีอยู่ในประเทศมุสลิมหลายประเทศ

การวางโทษเช่นนั้นเป็นการ ปฏิบัติศาสนาแบบ "ทหารเกณฑ์" ซีงเป็นสาเหตุให้ "คนหนีทหาร" เป็นจำนวนมาก หรือถ้าไม่หนีก็อยู่แบบ ยอมให้เขาบังคับ เช่นประชาชนของซาอุดิอารเบีย รัฐให้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่ให้ อิสระภาพของประชาชนตามหลักการของศาสนา บังคับประชาชนให้อยู่ในกรอบที่ ผู้รู้ทางศาสนารวมหัวกันวางไว้ มีสองมารตฐานระหว่างคนจนกับคนรวย ซึ่งผิดหลักการของ "อิสลาม"

ผมกำลังใช้สิทธิที่พระเจ้าประทานให้และอิสระในการศึกษาอัลกุรอานตามแบบฉบับของท่าน รอซูล, หรือ ศาสนทูตมูฮัมมัด ต้องการให้เยาวชนมุสลิมที่ใช้สติปัญญา "ตื่นตัว" ในทางดี ศึกษาอัลกุรอานด้วยสติปัญญาเท่าตนมี แล้วพระเจ้าจะทรงประทานความเข้าใจให้แก่เราเอง ซึ่งเป็นการ "ใช้ศรัทธาต่อพระเจ้านำหน้าการปฏิบัติ"

คุณถามว่า..

ทำไมท่านไม่ตีความตามตำรา อย่างที่ท่านอื่นเขา ใช้ศรัทธานำหน้าละครับ?

ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง ย่อมเข้าใจการตีความจากอัลกุรอานอย่างไม่ยากเย็น เนื่องจากไม่มีความกังวลว่าจะไปขัดกับ ตำราที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือ กฏที่มนุษย์สร้างขึ้น

ถ้ามุสลิมทุกๆท่านทั่วโลก "ใช้ศรัทธานำหน้าในการตีความตามตำราของศาสนาอิสลามซึ่งเป็นแนวทางที่พระเจ้าวางไว้ " นั้นคือ อัลกุรอาน สังคมมุสลิมจะไม่มีความยุ่งเหยิงเช่นนี้ จะมีความสงบอย่างแท้จริง จะมีแต่ความ ยุติธรรมและให้อภัยไม่มีการผูกพยายบาท แก้แค้นจองเวร หรือ หยาบคาย ต่อ เพื่อนมนุษย์

มุสลิมในปัจจุบันถูกสอนให้เหินห่างจากการศึกษาอัลกุรอาน เพื่อที่จะทำให้มุสลิมโง่ในเรื่องศาสนา พวกฉ้อฉลพวกนี้ ตั้ง กฏในการจับต้องอัลกุรอาน และป่าวประกาศว่า อัลกุรอานเป็นสิ่งยากต่อความเข้าใจ ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ภาษาอรับเป็นอย่างดี จึงจะเข้าใจอัลกุรอานได้

ซึ่ง เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น ถ้าพวกเขาเชื่อว่า "ท่านรอซูล" อ่านหนังสือไม่เป็นเขียนหนังสือไม่เป็นแล้ว ทำไมไม่ลองใช้สติปัญญาคิดดูบ้างว่า มุสลิม ในปัจจุบันมีความรู้ทางภาษาอย่างดี หรือพออ่านออกเขียนได้ ทำไมจึงไม่อาจจะอ่านอัลกุรอานด้วยตนเองได้เล่า?

พระเจ้าเตือนมนุษย์ในเรื่องการบิดเบนความหมายของอัลกุรอานไว้ดังนี้

ดังนั้น ความวิบัติจงมีแด่ผู้เขียนคัมภีร์ด้วยมือของตนเองแล้ว กล่าวว่า "อันนี้มาจากอัลลอฮฺ" เพื่อที่พวกเขาจะนำมัน ไปแลกเปลี่ยน ด้วยราคาเล็กน้อย ดังนั้นความวิบัติจะประสพแก่พวกเขา เนื่องจาก สิ่ง มือของพวกตนเขียนขึ้น และความวิบัติจะประสพแก่พวกเขาเนื่องจากสิ่ง ที่พวกเขาแสวงหา (2:79)

...

หวังว่า คุณ Zim-MorLuth- คงได้คำตอบจากผมบ้างไม่มากก็น้อย
แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 55 00:16:00

จากคุณ : แมทท์

เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 23:53:58