ความรู้สึกหลังจากอ่าน ขุมพรัพย์จากพระโอษฐ์
|
|
ผมเพิ่งอ่านเล่มนี้เสร็จไปเมื่อวาน ใช้เวลาอ่านไป 16 วัน ก็เหมือนเดิม ปิดโทรศัพท์ ไม่ฟังเพลง ดู TV ไม่คุยกับใคร อยู่คนเดียว (น้ำหนักลดไป 4 โลและ)นั่งสมาธิ โหลดธรรมะมาฟัง แต่เที่ยวนี้ไม่มีความรู้สึกว่าจะเป็น "บ้า" เหมือนเที่ยวแรกแล้ว ไม่มีเลยซักวัน แต่ความอึดอัดใจก็ยังคงมีอยู่
แม้เล่มนี้จะมีไว้สำหรับบรรชิต พระสงฆ์โดยตรง แต่ผมกลับได้ประโยชน์จาก เล่มนี้อย่างมากมายมหาศาล
เล่มนี้คงเป็นหนังสือธรรมะเพียงเล่มเดียวที่ผมคงต้องใช้เวลาอ่านทั้งชีวิต (ตราบใดที่ยังไม่บรรลุ)
ตอนแรกก็แค่อยากรู้ว่า เป็นพระต้องทำยังไงกันบ้างถึงจะถูกต้อง 100% อ่านไปอ่านมา กลับกลายเป็นว่า อ่านวันเว้นวันบ้าง มีอยู่ครั้งนึงอ่านวันนี้ หยุดอ่านไป 2 วันเลย เพราะไม่กล้าแตะ
เหตุที่ไม่กล้าแตะเพราะ หนังสือเล่มนี้กลับกลายเป็น "กระจกส่งกิเลสของตัวเอง" เป็นอย่างดี ดีแบบทะลุ ทะลวงไปทุกส่วนของจิตใจ ทะลวงเจตนาแอบแฝงในใจแบบไม่เหลือชิ้นดีเลย
หนังสือเล่มนี้ พูดถึงคำพูดของพระพุทธเจ้าจากปากของท่านเอง ยิ่งอ่านก็ ยิ่งลงลึก ทะลุทะลวง เอ็กซเรย์ กิเลสในใจของเราทุกซอกทุกมุม ทุกมิติที่ ซ้อนทับกันอยู่
อ่านแล้วก็รู้สึกว่า ตัวเรายืนอยู่กลางที่แจ้ง ยืนอยู่บนเวทีแต่คนเดียวโดยไม่มีผู้ดูแล้วขณะนั้นเองก็โดนกระชากเสื้อผ้าให้ขาดจนไม่เหลือเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทำให้เห็นตัวเองอย่างชัดเจนแบบไม่เคยชัดเช่นนี้มาก่อนเลย ผมอายครับ ผมอายตัวเอง ผมอายจิตใจของตัวผม ที่คิดว่าดีแล้ว แต่แท้ที่จริงแล้ว ผมหลอกตัวเอง(เป็นเพราะความไม่รู้) แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว
ไม่มีมุมไหน ซอกไหนในจิตของเราที่จะหลบพระพุทธเจ้าพ้นจริง ๆ ธรรมะของท่านช่างสมบูรณ์อะไรเช่นนี้ ผมเชื่อแล้วว่าในสมัยพุทธกาล ทำไมจึงไม่มีใครจะกล้ามาเผชิญหน้าประลองปัญญากับพระศาสดาของเราเท่าไหร่นัก เพราะเหตุที่ว่า ท่านมีสมาธิแทงทะลุตลอดในกิเลสของคน ๆ นั้น ยังไงก็ไม่รอดครับ พ้ายแพ้แบบสุดตัวในที่สุด
ผมน่าจะรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อนซัก 20 ปี ชีวิตจะได้ไม่ตกอยู่ในกงล้อของบาปแบบนี้ ยิ่งอ่านก็ยิ่งไม่ประมาทในความตาย ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากอ่านหนังสือธรรมะตามร้านหนังสือทั่วไปแล้ว เพราะคำของศาสดาเรา สมบูรณ์แล้ว สอดคล้องกันตลอดเลย
ดูละครเกาหลี ละครไทย ฟังเพลงซึ้ง ๆ อกหัก อ่านชีวิตของผู้คนที่ยากไร้ มันก็แค่ทำให้เรารู้สึกซึ้งใจ ร้องไห้ไปได้แค่ วันนี้ นอนหลับตื่น ก็ลืมแล้ว แต่หนังสือเล่มนี้ คำของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผมน้ำตาร่วงไปหลายรอบเลย ตอนอ่านจบคำพูดของพระพุทธเจ้า ซึ้งจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันแปลก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีส่วนไหนที่เศร้าเลยสักนิด แต่ก็ร้องไห้ได้ ร้องไห้เพราะ ความเมตตาของท่าน เสียดายเหลือเกินที่ตัวเราเองเกิดไม่ทันยุคของท่าน ถึงเกิดทันแต่ไร้วาสนาจะได้พบเจอ ไม่ทันจริง ๆ ร้องไห้ไปพร้อมกับ ความสุขในใจมากมายอย่างบอกไม่ถูกเลย มันสุขซะจนไม่รู้จะหาคำพูด มาพูดได้ยังไง เงินทองมากมายแค่ไหนก็ซื้อความรู้สึกแบบนี้ ความสุข แบบนี้ไม่ได้แน่นอน
ในเล่มนี้ทั้งเล่ม ผมชอบพระสูตรนี้ที่สุดเลย "รักษาพรหมจรรย์ไว้ด้วยน้ำตา"
ภิกษูทั้งหลาย ! บรรพชิตรูปใด จะเป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม, แม้จะทุกข์ กายทุกข์ใจ ถึงน้ำตานองหน้า ร้องไห้อยู่ ก็ยังสู้ประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์อยู่ได้ ก็มี ข้อที่น่าสรรเสริญเธอให้เหมาะสมแก่ธรรมที่เธอมีในบัดนี้มีอยู่ห้า อย่าง, ห้าอย่างอะไรบ้างเล่า? ห้าอย่างคือ (๑) ธรรมที่ชื่อว่า ศรัทธา ในกุศลธรรมทั้งหลาย ก็ได้มีแล้วแก่เธอ (๒) ธรรมที่ชื่อว่า หิริ ในกุศลธรรมทั้งหลาย ก็ได้มีแล้วแก่เธอ (๓) ธรรมที่ชื่อว่า โอตตัปปะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย ก็ได้มีแล้วแก่เธอ (๔) ธรรมที่ชื่อว่า วิริยะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย ก็ได้มีแล้วแก่เธอ (๕) ธรรมที่ชื่อว่า ปัญญา ในกุศลธรรมทั้งหลาย ก็ได้มีแล้วแก่เธอ
ภิกษุทั้งหลาย ! บรรพชิตรูปใด จะเป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม, แม้จะทุกข์กาย ทุกข์ใจ ถึงน้ำตานองหน้า ร้องไห้อยู่ ก็ยังสู้ประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธ์ บริบูรณ์อยู่ได้ก็มี, ข้อที่น่าสรรเสริญเธอให้เหมาะสมแก่ธรรมที่เธอมีในบัดนี้ ห้าอย่างเหล่านี้ แล
เป็นพระสูตรเดียวในความคิดของผม ที่ พระศาสดาของเรา พระพุทธเจ้า ทรงให้กำลังใจแต่ผู้ปฏิบัติ อยู่หน้า 193 อ่านจบ คิดได้ เข้าใจแล้ว น้ำตาไหลเลยเหมือนกับท่านจะบอกว่าแม้ยากเย็นแค่ไหน ลำบากยังไง สูญเสียไปเท่าไหร่ แม้จะยังไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่อย่างน้อยก็ยังเหลืออยู่ 5 สิ่งในตัวของเรา
จะหาใครใจดีอย่างงี้อีกในโลกนี้คงไม่มีอีกแล้ว ใจดีที่อยากให้เรา "พ้นทุกข์" ได้จริง ๆ
ยิ่งผมอ่าน ยิ่งศึกษา ยิ่งปฏิบัติ และยิ่งพิสูจน์ ตามคำพูดของพระตถาคต ผมก็ได้แต่ค้นพบความเป็นจริงที่ พระบรมศาสดา ได้ทิ้งไว้ให้เป็นมรดก ผมไม่สามารถหาคำโต้แย้งได้เลย แม้แต่พระสูตรเดียวใน 2 เล่มที่อ่านไป
ความรู้สึกอีกอย่างก็คือ ใครก็ตามในโลกใบนี้ทำตามในหนังสือเล่มนี้ได้หมดทุกข้อ คงมีที่ไปอย่างต่ำสุดคือพระโสดาบันเป็นแน่แท้ (แต่ลึก ๆ ในใจผม ใครทำได้หมดก็นิพพานอย่างเดียวละครับ มันยากจริง ๆ )
สุดท้ายโลกนี้ก็ไม่มีอะไร ต่อให้เรารวย มีเงิน มีหน้ามีตา มีความสุข ความทุกข์ มีชื่อเสียง เกียรติยศแค่ไหน แต่สุดท้ายสิ่งที่คงเหลือไว้ก็คือคุณค่าในตัวเรา ก็คือความดีเท่านั้นเอง เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เราจะเอาไปได้เลยจริง ๆ
โลกของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านทิ้งไว้เป็นมรดกช่างยิ่งใหญ่ไพศาลเหลือเกิน ผมคิดอย่างงี้นะ เพราะไม่ว่าความรู้ใด ๆ ในโลก ไม่ว่าความรู้นั้นจะก้าวหน้าพัฒนาไปได้ซักแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้เลย รังแต่จะเพิ่มทุกข์ให้แก่เรามากขึ้นทุกวัน ๆ เท่านั้นเอง
ผมรักพระพุทธเจ้า ครับ ...........................................................................................................
คำแนะนำก่อนอ่านนะครับ ให้นั่งสมาธิซักหน่อย แล้วค่อย ๆ อ่านนะครับ จะเข้าใจได้มากขึ้น
อ่านช้า ๆ แล้วพยายามอ่านทุกตัวอักษรนะครับ อย่าข้าม พยายามทำความเข้าใจให้ได้ทุกหน้า
เพราะถ้าเราอ่านทุกตัวอักษร เราจะรู้สึกเหมือนกับว่าเราจะเห็นท่านอยู่ต่อหน้าเราเลยครับ ........................................................................................................... ยินดีเป็นเพื่อนกับกัลยาณมิตร สหายธรรมทุกท่านนะครับ https://www.facebook.com/BossKubPom
แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 55 15:14:17
จากคุณ |
:
amatanaja
|
เขียนเมื่อ |
:
30 มี.ค. 55 14:45:36
|
|
|
|