พระนางปชาบดีโคตมี ได้ผนวชเป็นภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา
ได้บรรลุพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางรู้ราตรี
อยากรู้ว่าผู้เลิศทางรู้ราตรีนี้หมายถึงอะไรเหรอคะ
- ข้อนี้คุณจขกท. คงได้คำตอบจากที่คุณฐานาฐานะนำมาลงแล้ว จึงขอผ่านไป
อีกเรื่องนึง เราเข้าใจว่าจะเพศไหนก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ถึงขั้นสูงสุด คือนิพพาน ไม่กลับมาเกิดอีกได้
- ไม่ใช่แค่ที่คุณเข้าใจ แต่เป็นเรื่องธรรมดาอย่างนั้นแหละ คือไม่ว่าชายหญิง ก็บรรลุธรรมได้ทั้งนั้น
ในมารสังยุตต์ เคยมีเรื่องของมาร มากล่าวกับพระเถรีอรหันต์องค์หนึ่ง คือ พระโสมาเถรีว่า "ผู้หญิงมีปัญญาแค่ ๒ นิ้ว(คือมีปัญญาแค่สามารถใช้สองนิ้วกรอด้าย ทอผ้าได้เท่านั้น) จะไปรู้อะไร" " ซึ่งท่านก็ได้ตอกกลับมารนั้นไปว่า ความเป็นสตรีจะไปเกี่ยวอะไรกับการรู้แจ้ง (เนื้อหาในคำกล่าวไม่ใช่อย่างนี้ตรง ๆ แต่โดยเนื้อหาแล้วก็เป็นอย่างนั้น
(ลองอ่านโสมาสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=4165&Z=4188&pagebreak=0 )
"แต่การเกิดเป็นหญิงเหมือนต้องใช้ความพยายามมากกว่า มีข้อจำกัดมากกว่าใช่มั้ยคะ เอาแค่ศีลที่ภิกษุณีถือ ก็มากกว่าพระภิกษุเยอะเลยอะ"
- สิกขาบทของพระภิกษุณี กับของพระภิกษุนั้น มีผู้เข้าใจว่า "ต้องปฏิบัติตามนั้น" ซึ่งแท้จริงไม่ใช่ สิกขาบท หรือที่เรียกอย่างรู้กันว่า "ศีล" นั้น เป็นแต่ข้อศึกษา ให้รู้ว่า "อะไรบ้างที่ทำได้ อะไรบ้างที่ทำไม่ได้" ซึ่งเป็นเรื่องความประพฤติ ส่วนเรื่องการปฏิบัติเพื่อความบรรลุธรรมนั้นเป็นอีกส่วนหนึ่ง เป็นเรื่องการพัฒนาทางจิต ทางการพัฒนาปัญญา
"เราอ่านประวัติพระอรหันต์ตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีทั้งชายและหญิง แต่จำนวนพระเถรีที่บรรลุพระอรหันต์มีน้อยกว่าพระเถระมาก"
- ที่มีน้อยนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะผู้ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาก่อน ก็คืิอพระผู้ชาย ในช่วงที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาใหม่ ๆ ก็มีพระอรหันต์ผู้ชายเป็นพันรูปแล้ว และมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ภิกษุณี เกิดขึ้นในพรรษาที่ ๕ มีจำนวน ๕๐๑ รูป และผู้จะบวชเป็นภิกษุณี จะต้องถือวัตรปฏิบัติเพื่อเตรียมบวช เป็นเวลา ๒ ปี เรียกว่าสิกขมานา ส่วนอุปัชฌายินี หรือปวัตตินี คือภิกษุณีผู้ทำการบวชให้ผู้หญิงเป็นภิกษุณี ก็ต้องมีพรรษา ๑๒ ขึ้นไป แถมปวัตตินีรูปหนึ่ง ก็บวชสิกขมานาให้เป็นภิกษุณีได้เพียง ๑ รูป แล้วต้องเว้นไปอีกปี และยังมีเรื่องเหตุปัจจัยทางสังคมในครั้งพุทธกาล การที่ผู้หญิงจะเข้ามาบวช ประพฤติพรหมจรรย์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่องที่เป็นปกติ ผู้หญิงสมัยนั้น เมื่อถึงอายุที่สมควร ก็ไปสู่ตระกูลสามี (คือแต่งงานมีครอบครัว) ที่จะมาบวชนั้นจึงแทบไม่มี ดังนั้น จำนวนพระผู้หญิง ย่อมจะน้อยกว่าพระผู้ชายเป็นธรรมดา ซึ่งก็ทำให้จำนวนพระอรหันต์เถรี ย่อมน้อยกว่าพระอรหันต์เถระ เป็นเรื่องธรรมดา
แต่เรื่องพระผู้หญิง หรือพระเถรีที่บรรลุอรหันต์นั้น จริง ๆ ก็ไม่ใช่มีน้อย ถ้าหากไปอ่านในคัมภีร์ขุททกนิกาย เถรีคาถา และขุททกนิกาย อปทาน ก็จะพบประวัีติของพระเถรี หรือพระอรหันต์ผู้หญิงอีกหลายรูป ที่ชาวพุทธไม่ค่อยรู้จักกัน (ในประวัติพระอรหันต์ที่ศึกษากันทั่วไป ท่านก็คัดมาเฉพาะองค์ที่เด่น ๆ เป็นเอตทัคคะ แต่ยังมีพระเถรีอีกหลายรูปในครั้งพุทธกาล ที่มีเรื่องราวปรากฏในเถรีคาถาอีก
"จะนับว่าการเกิดเป็นชายมีอานิสงส์ มีบุญมากกว่าหญิงหรือไม่คะ"
- ไม่ควรกล่าวเช่นนั้น เพราะผู้ชายหรือผู้หญิง ก็เกิดมาด้วยบุญประเภทเดียวกัน คือเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าจะมีเรื่องว่าบุญน้อยหรือมากกว่ากัน ก็คงสื่อแสดงออกมาในเรื่องของฐานะ สถานภาพทางสังคม นิสัยใจคอ สติปัญญา หรือคุณธรรม มากกว่าจะเป็นเพียงเรื่องทางเพศสภาวะ
จริง ๆ เรื่องภิกษุณีมีอะไรที่ควรศึกษามากมายทีเดียว เคยคิดอยู่เหมือนกันว่า ว่าง ๆ อยากจะเขียนเรื่อง "ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องภิกษุณี" ประมวลเอาประเด็นข้อสงสัยของบุคคลทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องภิกษุณี เอาไว้และอธิบายข้อสงสัยให้ครบถ้วน น่าจะเป็นประโยชน์แก่การศึกษา
แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 55 22:41:20
แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 55 22:41:03
แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 55 22:39:26
แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 55 22:25:04