 |
ต่างกัน คือ ฌาน แปลว่า เพ่ง (ความหมายเดียวกับ เซน ของลัทธิเซน) เป็นผลของสมาธิ (ระดับอัปปนาสมาธิ : ขั้นสูงสุด) คือ จดจ่ออยู่ในอารมณ์เดียวจนเป็นหนึ่ง เปรียบเสมือนกับหลอดไฟ ให้แสงสว่าง หลอดไฟก็คือสมาธิ ส่วนแสงสว่างก็คือฌาน ดังนั้นสมาธิกับฌานจึงแทบจะแยกกันไม่ได้ ผู้ที่ทำสมาธิยังไม่ได้ฌานก็เพราะกำลังของสมาธิยังไม่เข้ม หรือหลอดไฟที่แสงอ่อนนั่นแหละ หากทำสมาธิทุกวันอย่างพอเพียงก็จะทำให้แสงเข้มขึ้น จนเกิดเป็นฌานได้ เปรียบเสมือนเรากินข้าว1คำยังไม่อิ่มก็ต้องกินไปเรื่อยๆ เมื่ออิ่มก็รู้เอง(เกิดฌานขึ้นมาเอง) (จากการเรียนหลักสูตรครูสมาธิ หลวงพ่อวิริยังค์ วัดธรรมมงคล)
ฌานมี2ประเภท คือ 1. รูปฌาน 4 คือ ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ 1.ปฐมฌาน มีองค์ 5 คือ วิตก ความระลึก เช่น การบริกรรม การดูลมหายใจ วิจาร ได้แก่ความตรอง คือ การอยู่กับสิ่งที่ระลึกอย่างต่อเนื่อง ปิติ ความเอิบอิ่มใจที่เกิดขึ้น แสดงออกมาในลักษณะต่างๆ สุข ความสบายกายสบายใจ อันเกิดจากจิตที่มีความสงบมีลักษณะโปร่งเบาบังเกิดขึ้นทั้งกายและจิต เอกัคคตา จิตที่ตั้งมั่น เป็นอารมณ์เดียว 2.ทุติยฌาน มีองค์ 3 ซึ่งเป็นพัฒนาการทางจิตที่ก้าวไกลขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ดังนั้นในทุติฌาน จึงไม่มีวิตก คือความตรึก ไม่มีวิจาร คือความตรอง แต่มีปิติ คือความเอิบอิ่มใจ สุข คือความสบายกายสบายใจที่ประณีตยิ่งนัก ความสุขในชั้นทุติฌานนั้น ท่านเรียกว่าเป็นความสุขที่หวานใจยิ่งนัก เป็นความเอิบอิ่มเป็นความซาบซึ้งตรึงตรา ซึ่งจิตธรรมดาของบุคคลไม่สามารถสัมผัส ความสุขในชั้นนี้ได้และเอกัคคตา คือจิตตั้งมั่นเป็นอันเดียว มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้นกว่าในปฐมฌาน 3.ตติยฌาน มีองค์ 2 คือ ความสุขและเอกัคคตา เพราะปิติสงบระงับไปจากจิตของบุคคลนั้น ความสุขจึงมีความเกี่ยวข้องกับความสงบ จิตของผู้ปฏิบัติก็จะเยือกเย็นและสงบมากยิ่งขึ้น 4.จตุตถฌาน มีองค์ 2 คือแม้ความสุขก็จะหายไป ใจจะปรากฏเป็นอุเบกขาที่เรียกว่า เป็นอุเบกขาฌาน อันเป็นอาการของปัญญาปรากฏขึ้นภายในจิตพร้อมกับเอกัคคตา คือจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่หวั่นไหว 2. อรูปฌาน 4 ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ 1. อากาสานัญจายตนะ 2. วิญญาณัญจายตนะ 3. อากิญจัญญายตนะ 4. เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ฌานยังเป็นโลกียะ คือยังเป็นของโลก ไม่อยู่เหนือโลก จึงมีอันเสื่อมไปได้ หากหยุดทำสมาธิ หรือเกิดนิวรณ์(กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกุจจะ วิจิกิจฉา) ------------------------------------------------------------------------------------------ ส่วนญาณ คือ ปัญญา แบ่งออกเป็น 1. โลกียญาณ เป็นญาณที่สามารถเสื่อมได้เหมือนฌาน เพราะยังอยู่ในขั้นโลกียะ 2. โลกุตรญาณ เป็นญาณขั้นโลกุตระ คือ อยู่เหนือ หรือพ้นจากทางโลก จะไม่เสื่อมสลายไปแบบโลกียญาณ
ญานสามารถแบ่งได้เป็น ญาณ 3 และ ญาณ 16 คำว่า ญาณ ในความหมายเฉพาะ หมายถึง พระปรีชาหยั่งรู้ของพระพุทธเจ้า ความรู้แจ้งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรียกเต็มว่า โพธิญาณ หรือ สัมมาสัมโพธิญาณ มี 3 อย่าง หรือที่เรียกว่าวิชชา3
วิชชาญาณ 3 คือ 1. บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกถึงขันธ์ที่เกิดในอดีตได้ คือ ระลึกชาติได้ 2. จุตูปปาญาณ ความรู้ในจุติและอุบัติของสัตว์โลกได้ เรียกว่า ทิพพจักขุญาณ หรือ ทิพยจักษุญาณ บ้าง 3. อาสวักขยญาณ ความรู้ในการกำจัดอาสวกิเลสให้สิ้นไป
ญาณที่1-2 จัดเป็นโลกียญาณสามารถเสื่อมไปได้ ส่วนญานที่3 คือ อาสวักขยญาณไม่เสื่อมไป เพราะเป็นโลกุตรญาณ
ญาณ3 ในส่วนอดีต-อนาคต-ปัจจุบัน ได้แก่ 1. อตีตังสญาณ หมายถึง ญาณในส่วนอดีต รู้เหตุการณ์ในอดีต 2. อนาคตังสญาณ หมายถึง ญาณในส่วนอนาคต รู้เหตุการณ์ในอนาคต 3. ปัจจุปปันญาณ หมายถึง ญาณในส่วนปัจจุบัน รู้เหตุการณ์ในปัจจุบันว่่าใครทำอะไรอยู่
1,2,3 เสื่อมได้
ญาณ3 ในการหยั่งรู้อริยสัจจ์ (รอบสามอาการสิบสอง คือ การพิจารณาอริยสัจ4 สามรอบ) ได้แก่ สัจจญาณ หมายถึง ญาณในการหยั่งรู้อริยสัจจ์แต่ละอย่าง กิจจญาณ หมายถึง ญาณในการหยั่งรู้กิจในอริยสัจจ์ กตญาณ หมายถึง ญาณในการหยั่งรู้กิจอันได้ทำแล้วในอริยสัจจ์
ทั้ง3ญาณนี้ไม่เสื่อม เพราะเป็นโลกุตรญาณ
ญาณ16 และ วิปัสสนาญาณ 9
ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค และคัมภีร์วิสุทธิมรรค มีการบรรยายขั้นต่างของการวิปัสสนา เป็น 16 ขั้น หรือเรียกว่า ญาณ16 (โสฬสญาณ) เป็นญาณที่เกิดแก่ผู้บำเพ็ญวิปัสสนา โดยลำดับตั้งแต่ต้น จนถึงจุดหมายคือมรรคผลนิพพาน คือ
1. นามรูปปริจเฉทญาณ หมายถึง ญาณกำหนดแยกนามรูป 2. นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ หมายถึง ญาณจับปัจจัยแห่งนามรูป 3. สัมมสนญาณ หมายถึง ญาณพิจารณานามรูปโดยไตรลักษณ์ 4. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณตามเห็นความเกิดและความดับแห่งนามรูป วิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นได้ในช่วงนี้(ระหว่างเกิดถึงดับ เห็นเป็นดุจกระแสน้ำที่ไหล) 5. ภังคานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณตามเห็นจำเพาะความดับเด่นขึ้นมา(ระหว่างดับถึงเกิด) 6. ภยตูปัฏฐานญาณ หมายถึง ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว ไม่แน่นอน ดุจกลัวต่อมรณะที่จะเกิด 7. อาทีนวานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณคำนึงเห็นโทษภัยของสิ่งทั้งปวง ผันผวนแปรปรวน พึ่งพิงมิได้ 8. นิพพิทานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณคำนึงเห็นด้วยความเบื่อหน่าย 9. มุจจิตุกัมยตาญาณ หมายถึง ญาณหยั่งรู้อันใคร่จะพ้นไปเสีย 10. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณอันพิจารณาทบทวนเพื่อจะหาทางหนี 11. สังขารุเบกขาญาณ หมายถึง ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขาร 12. สัจจานุโลมิกญาณ หมายถึง ญาณเป็นไปโดยควรแก่การหยั่งรู้อริยสัจจ์(พิจารณาวิปัสสนาญาณทั้ง๘ที่ผ่านมา ว่าเป็นทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์ก็เห็น สมุทัย นิโรธ มรรค โดยแต่ละญาณเป็นเหตุเกิดมรรค ทั้ง๘ ตามลำดับ ) 13. โคตรภูญาณ หมายถึง ญาณครอบโคตร คือ หัวต่อที่ข้ามพ้นภาวะปุถุชน (ถ้าเป็นอริยบุคคลแล้ว จะเรียกว่าวิทานะญาณ)เห็นความทุกข์จนไม่กลัวต่อความว่าง ดุจบุคคลกล้าโดดจากหน้าผาสู่ความว่างเพราะรังเกียจในหน้าผานั้นอย่างสุดจิตสุดใจ 14. มัคคญาณ หมายถึง ญาณในอริยมรรค 15. ผลญาณ หมายถึง ญาณอริยผล 16. ปัจจเวกขณญาณ หมายถึง ญาณที่พิจารณาทบทวน
แต่เมื่อกล่าวถึงวิปัสสนาญาณโดยเฉพาะ อันหมายถึงญาณที่นับเข้าในวิปัสสนา หรือญาณที่จัดเป็นวิปัสสนา จะมีเพียง 9 ขั้น คือ ตั้งแต่ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ถึง สัจจานุโลมิกญาณ (ตามปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ (ขั้นหนึ่งใน วิสุทธิ7) ที่บรรยายในคัมภีร์วิสุทธิมรรค แต่ในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ นับรวม สัมมสนญาณ ด้วยเป็น10ขั้น) วิปัสสนาญาณคืออุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ภังคานุปัสสนาญาณ นั้นเห็นอนิจจัง วิปัสสนาญาณคือภยตูปัฏฐานญาณ อาทีนวานุปัสสนาญาณ นิพพิทานุปัสสนาญาณ นั้นเห็นทุกขัง วิปัสสนาญาณคือมุจจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ สังขารุเบกขาญาณ นั้นเห็นอนัตตา
ในญาณทั้ง16 นี้ มีเพียงมรรคญาณ และผลญาณเท่านั้น(ญาณที่14-15) ที่เป็นญาณขั้นโลกุตระ คือ เหนือหรือพ้นจากทางโลก จึงหลุดพ้นหรือจางคลายจากทุกข์ตามมรรค,ตามผลนั้นๆ จึงไม่เสื่อมสลายไป ส่วนที่เหลือยังจัดเป็นขั้นโลกียะทั้งสิ้น จึงเสื่อมสลายไปได้
ในการจะได้ญาณ จิตต้องมีกำลังเพียงพอ กล่าวคือ ทำสมาธิจนจิตมีกำลังนำไปวิปัสสนาได้ มิฉะนั้นก็จะเป็นเพียงวิปัสสนึก หรือวิปัสสนาตกน้ำได้ (อ้างอิงจากหลักสูตรครูสมาธิ) ญาณอาจได้จากวิปัสสนาในสมาธิขั้นต้นยังไม่ถึงขั้นฌานก็ได้
แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 55 20:01:01
จากคุณ |
:
หมาชายหาด
|
เขียนเมื่อ |
:
7 เม.ย. 55 19:24:29
|
|
|
|
 |