ความคิดเห็นที่ 1
ลองค้นเวปมาให้อ่าน อธิบายเข้าใจง่ายดีนะคะ
http://www.abhidhamonline.org/rupa.files/paramath.htm
จากคุณ : kaew (ใจแก้ว20)
----------------------------------------------
สาธุครับ คุณใจแก้ว เพิ่มเติมจากที่เดียวกันครับ
ลักษณะของปรมัตถธรรมและบัญญัติธรรม โดย อาจารย์บุญมี เมธางกูร http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=13422
ปรมัตถธรรม คือเนื้อความที่จริงแท้แน่นอน มีลักษณะแบ่งออกได้เป็นสองประการ คือ สามัญลักษณะ กับ วิเสสลักษณะ
๑. สามัญลักษณะ
คำว่า "ลักษณะ" หมายถึงธรรมชาติที่มีประจำตัว ไม่ว่าสิ่งใดก็ย่อมจะต้องมีธรรมชาติประจำตัวของสิ่งนั้น เช่นคนมีลักษณะอย่างนี้ แมว หณืโต๊ะ เก้าอี้ มีลักษณะอย่างนั้นๆ ดังกล่าวแล้ว
สรรพสิ่งทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ที่ไม่มีชีวิต ตลอดจนสัตว์ที่ชื่อว่ามีชีวิตก็ตาม ย่อมจะอยู่ภายใต้สามัญลักษณะ ซึ่งมีอยู่ ๓ ประการ
สามัญลักษณะ เป็นลักษณะสามัญธรรมดา หรือเป็นธรรมชาติที่มีประจำตัวโดยทั่วๆ ไป แบ่งออกเป็น ๓ ประการ คือ อนิจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ
ก.อนิจลักษณะ เป็นลักษณะที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มั่นคง ไม่ยั่งยืนย่อมผันแปรอยู่เสมอ
คนโดยมากชอบพูดกันว่า "ความไม่เที่ยง" แต่คนโดยมากไปเข้าใจแต่เพียงว่า เป็นเด็กเกิดใหม่ ไม่เที่ยง จึงได้เติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ความเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ไม่เที่ยง ไม่ช้าไม่นานเท่าใดก็จะต้องแก่เฒ่า และความแก่เฒ่าตั้งต้นขึ้นมาแล้วก็แน่นอนว่าจะต้องถึงแก่ความตายในที่สุด
นั่นก็เป็นความไม่เที่ยงเหมือนกัน แต่เป็นความไม่เที่ยงที่เห็นได้ง่าย
แต่ความไม่เที่ยงอีกอย่างหนึ่งนั้นเกิดอยู่ทุกเวลานาทีมิได้หยุดเลย ซึ่งสังเกตเห็นได้ยากสำหรับผู้ที่มิได้ศึกษา หรือมิได้คิดพิจารณาให้ดี บางทีความไม่เที่ยงไม่ปรากฏให้เห็นเลย ตั้งแต่คนเราเกิดขึ้นมา ความไม่เที่ยงก็ได้ตั้งต้นขึ้นมาแล้วทุกวินาทีไม่มีหยุดเลย หาไม่จะเติบโตและแก่เฒ่าได้อย่างไร แต่เป็นไปทีละน้อยๆ มองเห็นไม่ได้
ตั้งแต่สร้างบ้านหลังใหม่เสร็จลง บ้านหลังนี้ก็เริ่มเก่าในทันใดนั้นเอง ถ้าจากไปสัก ๑ ปี ก็จะเห็นได้โดยง่าย เพราะสร้างเสร็จแล้วใหม่ๆ มองไม่เห็นว่ามันเก่า แต่บ้านทั้งหลังมันก็ได้เปลี่ยนแปลงไปทุกวินาทีมิได้หยุดเลย ดังนั้นมันจึงเก่าได้
ไม่มีใครหรือสิ่งใดจะไปยับยั้งความผันแปรเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติที่มีประจำตัว คืออนิจจัง ซึ่งได้แก่ความไม่เที่ยงนั่นเอง
ข.ทุกขลักษณะ เป็นธรรมชาติที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ คือความทุกข์
คนโดยมากพากันเข้าใจว่า ทุกข์ ก็ได้แก่ ความเดือดร้อนใจ หรือไม่สบาย ไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีเงินจะใช้ ไม่มีบ้านจะอยู่ เจ็บป่วยไม่สบาย หรือผิดพ้องหมองใจกันมุ่งหมายเอาแต่คนหรือสัตว์เท่านั้น
นั่นเป็นความทุกข์ แต่เป็นทุกข์ขั้นหยาบๆ เพราะทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้เหมือนกัน แต่ความจริงที่ถูกต้องสมบูรณ์นั้น ความทุกข์ได้แก่สภาพที่ทนอยู่ไม่ได้ต้องผันแปรเปลี่ยนแปลงไป แล้วเป็นทุกข์ได้ทั้งรูปทั้งนาม เช่น นาม เห็น หรือได้ยิน ผู้ใดที่เห็น หรือได้ยิน แม้จะดีแสนดีอย่างไร ก็ทนเห็น หรือทนได้ยินอยู่ตลอเวลาไม่ไหว ต้องเปลี่ยนอารมณ์ไปอยู่เรื่อยๆ ไป
แม้อิริยาบถที่ยืน เดิน นั่ง นอน ที่เราคิดว่าแสนสบายก็อยู่ในอิริยาบถเดียวไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาวันละนับครั้งไม่ไหวด้วยทนอยู่ไม่ได้ เพราะความทุกข์มันมาบังคับ ตลอดจนโต๊ะ เก้าอี้ หรือข้าวของต่างๆ มันก็อยู่ในฐานะเดียวกัน คือเป็นทุกข์ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ด้วยกนทั้งนั้น เพราะรูปอันเป็นปรมาณูมาประชุมกันย่อมจะผันแปรไปอยู่ทุกวินาที
ค. อนัตตลักษณะ เป็นธรรมชาติที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ทั้งจะยังบังคับบัญชาก็ไม่ได้ด้วย
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาโดดเดี่ยวแต่ลำพัง ล้วนแต่เกิดขึ้นมาได้ก็ด้วยอาศัยการประชุมกัน เช่น นาฬิกาข้อมือ มันก็จะต้องมีตัวเรือน มีหน้าปัด มีเข็มสั้นเข็มยาว มีฟันเฟืองตัวเล็กตัวใหญ่ เป็นต้น
ถ้าเรากระจายออกมาให้หมดเป็นชิ้นๆ ความเป็นนาฬิกาก็จะหายไป แม้ตัวเรือน หน้าปัด เข็มสั้นเข็มยาว ฟันเฟือง มันก็ล้วนแต่เป็นรูป "ปรมาณู" มารวมกัน เราหานาฬิกาเท่าใดก็ไม่พบ
คนเราก็เหมือนกัน เอาส่วนต่างๆ เช่น หน้า ตา แขน ขา กระดูก กล้ามเนื้อ มารวมกันเข้ามันจึงเป็นคน แล้วก็แยกออกเป็นหญิงเป็นชาย ดำหรือขาว สวยหรือไม่สวย โดยมีจิตใจของผู้นั้นรวมเข้าไปด้วย
แต่ถ้ากระจายชิ้นส่วนต่างๆ เหล่านี้ออกไปให้หมดเป็นชิ้นๆ แล้ว ความเป็นคน หญิง หรือชาย ดำหรือขาว สวยหรือไม่สวย ก็จะหายไป จะมีแต่รูปกับนามเท่านั้น
เราหลงคิดหลงติดใจหรือไม่ชอบ เมื่อเราเห็นก็โดยเหตุที่เราหลงละเมอเพ้อฝันในมโนภาพของเราเอง
ด้วยเหตุดังนี้ อนัตตลักษณะ ก็ได้แก่ความว่างเปล่าจากตัวตน คนหรือสัตว์เป็นเพียงรูปกับนามเท่านั้นมาประชุมกัน และรูปกับนามนี้ก็ผันแปรเปลี่ยนแปลงไปอยู่ทุกวินาที บังคับบัญชามันอย่างไรก็ไม่ได้ด้วย
๑. สามัญลักษณะ ธรรมชาติที่มีประจำตัว ๓ ประการนี้ ชื่อว่าไตรลักษณะ
จิต เจตสิก รูป ย่อมจะมีไตรลักษณะ คือสามัญลักษณะครบบริบูรณ์ทั้ง ๓ ประการ
ผู้ที่มิได้พิจารณาเข้าไปให้ถึงแก่นแท้ของความจริง จึงตกอยู่ในความหลงใหลมัวเมาอยู่ทุกวันทุกคืน บางทีตั้งแต่เกิดไปจนถึงแก่ความตาย แม้เกิดชาติใหม่อีกกี่ครั้งกี่หนก็ยังหลงอยู่ได้
พิจารณาเสียบ้างวันละไม่กี่ครั้งก็จะได้ชื่อว่า สร้างปัญญาบารมี แล้วปัญญาบารมีนี้ก็จะประทับเอาไว้ภายในจิตใจ แล้วก็จะได้ติดตามตัวไปในชาติข้างหน้าและข้างหน้าต่อๆ ไป จะได้ไม่หันกลับมาเป็นผู้ตกอยู่ในความประมาทในเรื่องของชีวิต
สำหรับบัญญัติธรรม คือธรรมที่สมมุติกันขึ้นนั้น หามีไตรลักษณ์ อันได้แก่ลักษณะทั้ง ๓ ประการดังกล่าวแล้วไม่ เพราะเป็นบัญญัติธรรม ไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็นสมมุติสัจจะ เป็นความจริงที่สมมุติขึ้นมา มิได้มีจริงๆ เป็นเพียงโวหารของชาวโลกเท่านั้นเอง
เช่นชื่อว่า ภูเขา แม่น้ำ นายแดง นายดำ เขียวหรือขาว เป็นต้นนั้น มิได้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ประการใด
๒. วิเสสลักษณะ เป็นธรรมชาติที่มีประจำตัวเป็นพิเศษโดยเฉพาะๆ ของสิ่งนั้นๆ หรือเป็นธรรมชาติที่มีประจำตัวของธรรมแต่ละอย่างแต่ละชนิด ไม่เหมือนกันเลย วิเสสลักษณะมี ๔ ประการ คือ ลักษณะ รสะ ปัจจุปัฏฐาน และ ปทัฏฐาน
ก. ลักษณะ หมายถึงคุณภาพ เครื่องแสดง หรือสภาพโดยเฉพาะที่มีอยู่เป็นประจำตัวของธรรมนั้นๆ
ข. รสะ หมายถึงกิจการงาน หรือหน้าที่การงานของธรรมนั้นๆ พึงกระทำตามลักษณะของตน
รสะนี้ ยังจำแนกออกได้เป็น ๒ คือ กิจจรสะ และ สัมปัตติรสะ
กิจจรสะ เช่นความร้อนของไฟ มีหน้าที่การงานทำให้สิ่งต่างๆ สุกได้
สัมปัตติรสะ เช่นแสงของไฟ มีหน้าที่การงานทำให้สว่างได้
ค. ปัจจุปัฏฐาน หมายถึงอาการที่ปรากฏจากรสะนั้น ซึ่งได้แก่ผลอันเกิดจากรสะ
ง. ปทัฏฐาน หมายถึงปัจจัยโดยตรงที่เป็นตัวการให้เกิดลักษณาการนั้นๆ ขึ้นมา เรียกว่า เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
ตัวอย่างวิเสสลักษณะของปฐวี คือ ธาตุดิน
กกฺขฬลกฺขณา มีความแข็ง เป็นลักษณะ
ปติฏฐานรสา มีการทรงอยู่ เป็นกิจ
สมฺปฏิจฺฉนปจฺจุปฏฺฐานา มีการรับไว้ เป็นผล
อวเสสธาตุตฺตยปทฏฺฐานา มีธาตุทั้ง ๓ ที่เหลือ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
สำหรับบัญญัติธรรม คือธรรมที่สมมุติกันขึ้นนั้น ไม่มีวิเสสลักษณะเลย เพราะบัญญัติขึ้นตามความนิยมที่ชาวโลกตั้งขึ้นเท่านั้นเอง เช่นคำว่า แม่น้ำ ภูเขา นายแดง นายดำ เป็นคำชื่อเรียกกันเพื่อให้เป็นที่เข้าใจว่าคืออะไรเท่านั้น จะมีความแข็ง หรืออ่อน เป็นต้น เป็นลักษณะได้อย่างไร
วิทยาการในทางโลกทางวิทยาศาสตร์นั้น เป็นเรื่องที่เอาบัญญัติธรรม หรือเรื่องที่สมมุติขึ้นเอามาศึกษากันเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นความจริงแท้แน่นอนไม่ได้ มันก็ย่อมจะผันแปรและเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น จึงได้เห็นอยู่เสมอว่า ทฤษฎีที่ค้นพบใหม่ๆ นั้น ทำลายทฤษฎีเก่าๆ อยู่เสมอ บางทีก็สิ้นเชิงเลยทีเดียว
พระอภิธรรม คือคัมภีร์อันประเสริฐสูงสุด พระปรมัตถธรรม คือเนื้อความอันยิ่งใหญ่ ไม่มีเนื้อความใดที่จะเข้ามาเปรียบเทียบได้ กล่าวโดยย่อก็มี ๔ อย่างคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
อาศัยสัพพัญญุตญาณ คือปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ ผู้มิได้มีกิเลสเหลืออยู่ในจิตใจเลยแม้แต่เพียงน้อยนิด จึงได้สามารถผลิตวิทยาการที่ว่าด้วยเรื่องของชีวิตจิตใจขึ้นมาได้อย่างลึกซึ้ง สามารถแสดงพระอภิธรรม หรือปรมัตถสัจธรรมอันเป็นความจริงแท้ และเป็นธรรมที่ชาวโลกทั้งหลายไม่สามารถที่จะค้นคว้าขึ้นมาด้วยตนเองได้ ออกมาสู่สายตาของชาวโลกทั้งหลาย
ผู้ใดได้ศึกษาก็นับว่าเป็นบุญ เพราะจะเกิดปัญญาในเรื่องของชีวิตจิตใจ ตลอดจนหนทางที่จะเดินไปสู่ความพ้นทุกข์ แล้วจะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ดังที่พระองค์ท่านได้ตรัสอยู่เสมอว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นก็จะเห็นตถาคต" ------------------------------------------
บัญญัติธรรมและปรมัตถธรรม http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=13421
หยุดความเคลื่อนไหว ใส่ใจในปรมัตถ์อารมณ์ http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=13264
------------------------------------------
ช่วงวันหยุด สงกรานต์ ว่างมากไม่รู้จะไปไหน เลยขอไปหัด ใส่ใจใน ปรมัตถ์อารมณ์ คือ รูป นาม ที่
http://www.abhidhamonline.org/Omnoi/Omn2/Omn1.htm
แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 55 06:40:12
จากคุณ |
:
เฉลิมศักดิ์1
|
เขียนเมื่อ |
:
12 เม.ย. 55 06:24:35
|
|
|
|