- มีการยกคำพูดของพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งว่า ไม่เคยเห็นพระลิขิตดังกล่าว อยู่ๆก็ออกมาเลย , รูปแแบบการเขียนหนังสือ ตัวเลขต่างๆก็ผิดเพี้ยนไป ฯลฯ
ผมเข้าใจว่าคนพวกนี้อ้างถึง พระราชรัตนมงคล พระเลขานุ การในสมเด็จพระสังฆราช ที่ออกมาบอกว่า ท่านเพิ่งเห็นพระลิขิตไม่นานนัก และท่านก็ให้ความเห็นว่า " พระลิขิตเท่านั้นไม่ใช่พระบัญชา ซึ่งผู้ที่ได้รับทราบก็ไม่ต้องสับสน เพราะได้ลิขิตโดยกล่าวถึงภาพรวมบทลงโทษ พูดตามหลักการพระวินัยไม่ได้เจาะจงไปที่วัดใดวัดหนึ่ง ดังนั้นไม่ว่าพระสงฆ์รูปใดก็ต้องถือปฏิบัติในลักษณะนี้ คือพระรูปใดที่ถือครองที่ดินของวัดจะต้องคืนให้วัดทันที การถือครองที่ดินวัดเป็นของตนเองนั้นถือเป็นความผิดทั้งสิ้น เป็นแนวทางที่ต้องปฏิบัติกันทั้งประเทศอยู่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะที่วัดพระธรรมกาย สำหรับการดำเนินการต่อพระสงฆ์ที่ไม่ยอมโอนที่ดินนั้น ต้องมีโจทก์ฟ้องร้องมีเอกสารพยานชัดเจน โดยสามารถร้องเรียนได้ตามลำดับ การปกครองคณะสงฆ์ตั้งแต่เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด จนถึงเจ้าคณะภาค หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็ให้เสนอมายังมหาเถรฯ " และที่สำคัญท่านไม่เคยออกมาบอกว่าพระลิขิต ฉบับนั้นเป็นของปลอม ซึ่งหากฝ่ายฝั่งวัดพระธรรมการคิดว่าพระลิขิตเป็นของปลอม ทำไมไม่แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำ เอาแต่พยามบิดเบือนว่าผิด ว่าปลอม คนนั้นทำ คนนั้นทำ ผนวกสร้างเรื่องโยงไปถึงกลุ่มคนสนิทในวัดบวรนิเวศ อย่างพวกศิษย์ห้องกระจก ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องไม่บังควรเกิดขึ้นกับศิษย์ห้องกระจกนี้อยู่บ้าง แต่ก็หาเกี่ยวข้องกับพระลิขิตฉบับนี้ไม่ ดังนั้นมีเพียงข้อสันนิษฐาน และข้อมูลที่เล่าต่อๆกันมาด้านเดียวว่า พระลิขิตนี้เป็นของปลอม จนสาวกฝั่งนั้นเชื่อ เพราะอย่างไรก็ด้วยความศรัทธาวัดและเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ตอนนั้นมีการตีความพระลิขิตกันมั่ว ตั้งแต่ว่า "ปลอม" และไล่ไปจนถึงว่าพระสังฆราชไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยคดีความหรือพิพากษาสถานภาพของพระสงฆ์รูปใด ๆ เพราะถ้าหากมีปัญหาทางพระวินัย ก็ต้องใช้ระเบียบทางพระธรรมวินัย โดยเฉพาะก็คือกฎหมายนิคคหกรรม จึงมีการนำคดีธรรมกายขึ้นสู่ศาลสงฆ์โดยพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) วัดยานนาวา อดีตเจ้าคณะภาค 1 จนถึงพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะภาค 1 องค์ปัจจุบัน คดีก็ยังค้างศาลอยู่ ไม่รู้ว่าจะวินิจฉัยออกมาเมื่อใด ทั้งนี้พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชก็เป็นหมัน ไม่มีใครเชื่อถือต่อไป และนับตั้งแต่นั้นมา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ก็ไม่เสด็จเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมอีก โดยทรงมีพระลิขิตถึงมหาเถรสมาคมว่า
"ได้แจ้งให้เป็นที่เข้าใจดีทั่วกันแล้วก่อนหน้านี้ว่า ในตำแหน่งผู้เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจ ท่านกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งหลาย จะทำอะไรต่อไปตามความต้องการ จะไม่มานั่งรับรู้รับฟังในที่ประชุมวันนี้ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542"
สำหรับการตั้งข้อสังเกต รูปแแบบการเขียนหนังสือ ตัวเลขต่างๆก็ผิดเพี้ยนไป นั้น หากเป็นพระลิขิตปลอม พระดับเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช มองปร๊าดเดียวก็ทราบแล้วว่าใช่หรือไม่ใช่ และเมื่อเห็นแล้วว่าไม่ใช่ ท่านก็ต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีองค์สมเด็จพระสังฆราชและเอาเรื่องดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำการอันบังอาจนั้นแล้ว