ความคิดเห็นที่ 1 การปกปิดความผิด  ไม่ใช่การไม่ต้องรับการลงโทษในความผิดบาปนั้น การปกปิดในที่นี้   ไม่ใช่การปฏิเสธการเป็นพยาน ดังนั้นการปกปิดในที่นี้  ไม่ใช่การช่วยเหลือให้ใครทำผิด   เพราะมีหะดีษที่นบีสั่งเรา ถ้าเห็นความชั่วก็ต้องแก้ไขด้วย มือ ถ้าไม่ได้ ก็ด้วยลิ้น  ถ้าไม่ได้ ก็ด้วยใจ   ในวันโลกหน้า วันตัดสินความดีความชั่ว  ความผิดที่เราได้เคยแอบทำไว้่ ก็จะถูกนำมาเผยให้ทราบในวันนั้น   ความผิดบาปบางอย่าง เราแอบทำเพราะเรากลัวสังคมจะรับรู้  เราจึงต้องแิอบทำ นี่น่าจะคือความความหมายของการปกปิด  คือยังงัยเราก็ต้องรับโทษ แต่อัลลอฮจะทรงปกปิดให้ยังคงเป็นความลับระหว่างเราและพระองค์     วัลลอฮุอะลัม   อัลลอฮทรงรู้ดียิ่ง แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 55 18:06:58 จากคุณ : abubilal เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:06:42

ความคิดเห็นที่ 2 การกล่าวหา  ต้องมีหลักฐาน ไม่เช่นนั้น  จะถูกข้อหา  หมิ่นประมาท จากคุณ : abubilal เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 18:09:49

ความคิดเห็นที่ 3 จริงเนื้อหา ธรรมดามากๆ ไม่ต้องใช้สมองคิดก็ทราบแล้ว ที่อายะห์และ ฮาดีส ดั่งกล่าว ถูกงัดออกมาขยายผลจนได้เรื่องเพราะความคิดมาก นั้นแหละครับ ศาสนาอิสลาม ทุกคำสอนง่ายๆ เหมือนประชานชาวเป็ด ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย คนที่ต้องการเอาไปขยายผล มันเป็นพวกชอบคิดมาก โยง รถไฟเรือบินมาเจอกัน แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 55 20:28:49 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 20:28:31

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่ได้เข้ามาซะนานเลย เนื่องจากว่า เน็ตโดนตัดครับ เพิ่งจะมีตังไปจ่ายค่าเน็ต 555 ผมเข้าไปดูในกระทู้นั้นแล้ว คิดว่ามีบางคนคิดมากเกิน อย่างที่พี่จิมว่านั่นแหล่ะ หะดีษหนึ่งบอกว่า وَمَنْ سَتَرَ مُسْلِـماً سَتَرَهُ الله فِي الدُّنْيَا وَالآخِرَةِ سَتَرَ คำนี้แปลว่าปกปิดความผิด ก็หมายความว่า "ใครก็ตามที่ปกปิดความผิดของมสลิมอัลลอฮฺจะทรงปกปิดความผิดของเขาในดุนยาและอาคิเราะฮฺ" ความหมายแบไม่คิดมากก็คือใครที่ไม่เอาความผิดของคนอื่นมาประจาน อัลลอฮฺก็จะไม่เอาความผิดเขามาประจานเช่นเดียวกัน แล้วการปกปิดความผิดก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นการช่วยเหลือให้ทำความชั่วเพราะมีอายะฮฺกุรอานและหะดีษมากมายที่สั่งใช้ให้ตักเตือนซึ่งกันและกัน ถ้าเข้าใจง่ายๆก็คือว่า ถ้าเห็นใครทำความผิดก็ตักเตือนเขาแต่อย่าเอาความผิดของเขามาประจาน ก็แค่นั้น ไม่เห็นต้องคิดอะไรหลายตลบเลย จากคุณ : YAMAMANG เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 21:15:35

ความคิดเห็นที่ 5 เพิ่มเติมอีกนิดหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าความผิดนั้นเกิดในที่สาธารณะก็ต้องตักเตือนกันทันทีเดี๋ยวนั้นเลย เพราะมีหลายครั้งที่ท่าน ร่อซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ทำแบบนั้น เช่นครั้งหนึ่งท่านคุตบะฮฺอยู่ แล้วมีชายสองคนเข้ามาในมัสญิดแล้วก็นั่งลง ท่านจึงบอกให้ชายคนนั้นลุกขึ้นละหมาด ตะฮียะตุ้ลมัสยิดก่อน และครั้งหนึ่งท่านเดินทางพร้อมกับบรรดา เศาะฮาบะฮฺ แล้วได้เวลาละหมาด บรรดาเศาะฮาบะฮฺก็ไปทำน้ำวุดุอฺ แต่ทำอย่างเร่งรีบแล้วล้างเท้าไม่ทั่ว ท่านก็ตะโกนว่า "ส้อนเท้าที่ไม่ถูกน้ำอยู่ในนรก" สรุปก็คือถ้าความผิดเกิดในที่สาธารณะก็ตักเตือนกันในที่สาธารณะ แต่ถ้าความผิดเกิดในที่ลับก็ตักเตือนกันในที่ลับ โดยไม่เอาความผิดนั้นมาประจานให้คนอื่นรู้ จากคุณ : YAMAMANG เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 21:27:34

ความคิดเห็นที่ 6 พี่จิม กับ คุณYAMAMANG ผมเอง จริงๆแล้วบางส่วนผมเห็นด้วยกับ ลุงแมทท์นะครับในประเด็นนี้ เพราะ อย่างที่ทราบ ฮะดิษ  หลายๆอย่าง ที่ถึงจะตรงตัว อธิบายถูกต้อง ผมเองก็ไม่เห็นด้วย และ คว่ำโต๊ะมาแล้ว หลายฮะดิษ เนื่องจากผมไม่เชื่อในเนื้อหาเหล่านั้น เพื่อเลี่ยงปัญหา ผมจึงตั้งกระทู้นี้ แล้วพูดเฉพาะใน มุมของอัลกุรอาน และไม่อยากให้นำกระทู้นี้มาใช้ยืนยัน ความถูกต้องของฮะดิษดังกล่าวเช่นกัน ขอความกรุณา ผมเข้าใจดีในเรื่องความเห็นที่ตรงกัน ในแง่หลักธรรม ซึ่งผมยินดีอย่างยิ่ง ที่ไม่มีใคร คิดว่าการปกปิดความผิดเป็นเรื่องถูกต้อง แต่ขออย่าพูดเรื่องฮะดิษนี้ในนี้ ให้ไปถกที่กระทู้ต้นทางนะครับ ขอให้ช่วยพิจรณา จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 21:27:45

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าผมผิดพลาดอะไรไป หรือเข้าใจผิดตรงไหน ก็ขอมะอัฟด้วยละกันครับ จากคุณ : YAMAMANG เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 21:34:07

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าเอาหลักการศาสนามาประยุกตร์ กับหลักการบริหารงานบุคคลในองค์กร ก็เหมือนการตำหนิลูกน้องเวลากระทำผิดเข้าห้องเย็น จะไม่ใช้การตำหนิต่อหน้าสาธารณะชนนั่นเอง เป็นหลักสามัญสำนึกธรรมดา กับท่านอาแมท ผมไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะถือว่าท่านสวมเสื้อมุสลิม ท่านก็มีมุมมองของท่าน เป็นสิทธิส่วนบุคคล ผมถือว่าท่านอาแมทเป็นคนใน ที่ซีเรียสก็คือคนต่างศาสนา คนนอกเอามาขยายผลต่างหาก เพราะคนปกติทั่วไป ในเรื่องของศาสนาความเชื่อของผู้อื่นถ้ามาวุ่นวายก็ผิดมารยาทพอควร นี่ก้าวล่วงย้ำคิดย้ำทำ ทำให้เราต้องเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่จะต้องอธิบายให้ยาวยืด จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 22:05:59

ความคิดเห็นที่ 9 ประจาน พยาน รึ ร้องทุกข์ คิดแบบคนโง่ๆแบบผม ... ฮักกุลอาดัม รึฮักกุลลอลลอห์ ... ส่วนเรื่องหะดิษนั้น ครูผมเคยบอก กุรอ่าน อ่านคนเดียวก็ได้ใจความไม่ลึกซึ้ง แถมหลงทางได้ หะดิษ อ่านแต่ที่เขาบันทึกไว้โดยไม่อ่านอรรถาฐิบายที่ผู้บันทึกอธิบายไว้ ก็ไม่ต่างจาก การ์เฟตมาศึกษากุรอ่านโดยไร้ผู้แถลงความ เพียงแต่เรามักไปเก็บแต่ผลมาว่า เขาว่าเช่นโน้นเช่นนี้ แล้วเราก็.... :-) แง่บๆ ผมเข้าใจผิดอย่างไรช่วยชี้แนะด้วยครับ จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 05:09:23

ความคิดเห็นที่ 10 ท่าน itoursab ฮักกุลอาดำ ก็คือคดีแพ่ง ฮักกุลเลาะห์ ก็คือ คดี อาญา ทว่าของอิสลามนั้น แตกต่างกันนิดหน่อยตรงที่ว่า ถ้า ฮักกุลอาดำ ก็โดน ฮักกุลเลาะห์์ไปในตัว 2 กระทง กฎหมายแพ่ง ของเราเจ้าทุกข์ไม่เอาความก็จบ แต่กฎหมายแพ่งของอิสลาม เจ้าทุกข์ไม่เอาความ จบกับเจ้าทุกข์ แต่ไม่จบกับพระองค์อัลเลาะห์ ต้องขออภัยต่อพระองค์ ด้วยความสำนึก และจริงใจ มิใช่รับศีล ล้างบาป ขออภัย  เสร็จ สะบัดก้น ก็ทำบาป อีก เรื่องการขออภัยนี้ ศาสนาอิสลาม ให้นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน มิใช้ลิ้น ตวัดถึงใบหู พูดเสร็จ รับปากเสร็จ  สัญญาเสร็จ ดีแต่พูด ขออภัยเสร็จ กระโดดกัดหู หรือพลิกลิ้นทันที ยิ่งกว่าลิ้นสองแฉกเสียอีก หรืออาจไม่มีลิ้นเลยก็ได้ ส่วนการอภัยโทษนั้นเป็นสิทธ์ขาดของพระองค์ ที่จะให้หรือไม่ เพราะพระองค์คือผู้ที่รอบรู้ แม้นกระทั่งเรื่องในหัวใจของเรา แต่ด้วยว่า พระองค์ผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยความเมตตา เราผู้ละเมิดก็มีความเชื่อว่าพระองค์คงจะให้อภัยแก่เรา แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 55 07:48:48 แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 55 07:48:04 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 07:45:22

ความคิดเห็นที่ 11 ความจริงผมไม่อยากเข้ามายุ่ง ด้านวิชาการในเรื่อง นิทานเกี่ยวกับท่านรอซูล แต่เมื่อมีการอ้างชื่อผมบ่อยครั้งเข้า ผมจำเป็นต้องเข้ามาชี้แจง Position ของ ผมในการถือศาสนาอิสลาม หัวข้อกระทู้นี้เกี่ยวกับ ความยุติธรรมใน ศาสนา ที่ นับถือพระเจ้าองค์เดียว และมีคัมภีร์อยู่เพียงเล่มเดียว ซึ่งส่งผ่านศาสนทูตมูฮัม มัด "ศาสนาที่มีลักษณะนี้ คือศาสนาที่ผมยึดถือ ผมไม่ได้เพียงแต่สวมเสื้ออิสลามเท่านั้นแต่ผม เชื่อมั่นอย่างแท้จริง ว่ามีพระเจ้า  อยู่เพียงองค์เดียว ซึ่งเป็นพระเจ้าของ ยิว, คริสเตียน ในปัจจุบันด้วย ภาษาอรับ เรียกว่า "อัลลอฮ์" และศาสนาที่ผมยึดอยู่ คือ อิสลามที่ ชะฮาดะห์ มีอยู่เพียงท่าน เดียว คือ "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดคือพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่สมควรแก่การเคารพ  บูชา"     ผมจะไม่Idolize ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ให้เกินกว่า ตำแหน่งศาสนทูตของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งมีความสำคัญไม่แตกต่างจาก  ท่านศาสนทูตท่านอื่นๆ  ผมเขื่อว่า ท่านศาสนทูตไม่อาจจะ เป็นพยานหรือ ไถ่บาปแทนมุสลิมผู้ใดได้       ฮาดีษไม่ใช่วิชาการทางปรัญญาหรือตรรกวิทยา นอกจากเรื่องเล่าซึ่งเป็นนิทาน เขาเล่าว่าเท่านั้น และไม่อาจจะใช้ทดแทนหรือ อธิบาย บัญญัติในอัลกุรอานได้  วิชาการฮาดีษก็คือการ เรียนการเข้าใจความเห็นของ ที่เราเรียกว่าปราชญ์อิสลามโดยไม่มีบรรทัดฐาน   ผู้ที่ศึกษาฮาดีษส่วนมากจะขาดเหตุผล ทางตรรกวิทยา  และจะเชื่อ ไสยศาสตร์ และคำทำนายต่างๆ จะเชื่อเรื่อง ผีสาง หรือที่เรียกว่า ญิน ซึ่งจะเอาเรื่องนนี้มาปะปนกับหลักศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว ทั้งนี้เพราะว่า พระเจ้า ไม่ใช่สร้างญินขึ้นมาเพื่อให้มันเป็น ตัวนำโชคลางมาให้เรา   การใช้ฮาดีษมีข้อแก้ตัวอยู่มากมาย จะสามารถที่จะอธิบายสิ่งที่ผิดให้เป็นถูกและสิ่งที่ถูกเป็นผิด  ซึ่งผมจะเริ่ม การยกฮาดีษที่ สังคมมุสลิมในโลกยังนิยมใช้กัน  มาแสดง ไปทีละบทๆ ตามโอกาสที่มี  ถ้าจะเป็นมุสลิมแล้ว ต้องเป็นจากจิตใจแล้วแสดงออกมาสู่ภายนอกให้โลกเขาเห็น  ศาสนาไม่ใช่ทีมฟุตบอลล์ เมื่อสวมเสื้อทีมแล้วก็จะกลายเป็นพวกเดียวกัน  เราจะแสดงความเป็นมุสลิมได้อย่างไร  ประการแรกคือ แสดงความยุติรรม ตามหัวข้อกระทู้, พูดและเขียนความเป็นจริง, ไม่เป็น มูนาฟิก  คือ ปฏืบัติตามเรื่องบอกเล่า  แล้วอ้างว่า เชื่อในพระเจ้า  การเชื่อในพระเจ้า จะเชื่อไปพร้อมกับ สิ่งประดิษฐ์ไม่ได้   ในขณะที่พวกคุณกำลังพูดถึงเรื่องฮาดีษในการปิดความลับและการนินทา  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำชื่อผมมากล่าว  ในกระทู้นี้     ผมอยู่ตรงนี้แล้ว  อยากจะถามบรรดาผู้ที่ใช้ คัมภีร์ สองเล่มว่า  "ซอเฮี๊ยะยะฮาดีษ"  นี้ มีความเป็นจริงไปทุกๆเรื่องหรือไม่? ถ้าคำตอบว่า ไม่เสมอไปแล้ว ไปยึดถือสิ่งที่ไม่มีความสมบูรณ์ ในการอธิบาย อัลกุรอานหรือสอนมุสลิมในเรื่องความศรัทธาได้อย่างไร?  นิสัยมุสลิมกรุปนี้แปลก  เมื่อหมดการหลอกลวง ผู้ต่างศรัทธาแล้ว กลับมาเล่นงานผมเพื่อหาความสนุกต่อ  ที่ผมว่าหลอกลวง เพราะว่า  การอธิบายฮาดีษ ในเรื่องนี้ อธิบายดูเป็นวิชาการอย่างสวยหรู ดูน่าเลื่อมใส  แต่ทั้งหมดที่อธิบายเป็น เพียง ผักชีโรยหน้าทั้งนั้น  ทั้งนี้เพราะในสังคมมุสลิม ทั่วโลก ไม่ปฏิบัติตามที่อธิบายไว้    ผู้ก่อการร้ายในแถบต่างๆของโลก ถ้า สังคมมุสลิมจะร่วมกันปราบด้วยความจริงใจแล้ว ขบวนการก่อการร้ายจะเกิดขึ้นไม่ได้  การที่เป็นเช่นนี้ เพราะ สังคมมุสลิม ตีสองหน้า โดยเฉพาะอรับมุสลิมจากภาคตะวันออกกลาง ที่อพยพเข้าไปในอเมริกาและยุโรป  ทางภาคใต้ก็เช่นกัน ถ้ามุสลิมทั้งชาติมีความรักสังคมไทยและความปลอดภัยของประเทศแล้ว ไม่อาจจะมีกองโจรที่ทำในนามของมุสลิมและผู้นับถือศาสนาอิสลามได้ เนื่องจาก พวกโจรที่ทำในนามอิสลามนั้น ไม่อาจจะหลบซ่อน ได้ในหมู่บ้านใดๆไม่ว่าเล็กๆ ไม่ว่าใหญ่ เช่นเดียวกับระบบที่ชาวอเมริกันใช้กันตามหมู่บ้านเล็กแม้แต่ในป่า    กองโจรจะคงอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีคนภายในให้ความร่วมมือ  อย่าไปโทษนักการเมือง อะไรที่ไหนให้ยุ่งยาก  กองโจรที่มีกำลังน้อยกว่า ทหาร สามารถประกอบการร้ายอยู่ได้ จะต้องมีการช่วยเหลือจากถายใน  ถ้าสังคมมุสลิมร่วมมือกับรัฐอย่างเต็มที่แล้ว กองโจรจากที่ใดก็ไม่อาจจะเข้ามาลอยนวล สังหารประชาชนชาวไทยทุกๆศรัทธาและความเชื่อถือ อย่างเช่นในปัจจุบันนี้   การปิดความลับให้ต่อพี่นอ้งมุสลิมตามฮาดีษนี้ ได้ทำเลยเถิดไปถึงการปกป้อง ความชั่วร้ายของกลุ่มโจรที่ทำในนามศาสนา "อิสลาม" จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 07:50:53

ความคิดเห็นที่ 12 คุณอาแมท ใจเย็นๆครับ ก่อนอื่นผมต้องขอมาอัฟ คุณอาแมทด้วยความจริงใจ ผมขออธิบายตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสมากับมือ ในเรื่องสถานการณ์ทางภาคใต้ ทั่วโลก ผมไม่ทราบ แต่ที่ทางใต้ หรือที่แห่งใดในประเทศไทย ที่มีปัญหา องค์กรมุสลิมทุกองค์กรณ์เทคแอคชั่น ต้องการความสงบ ตลอด แต่ทุกอย่างคือเกมส์การเมือง ที่อุดปาก สื่อ ด้วยอิทธิพลล้นฟ้า เค้าต้องการให้สื่อ ชี้นำ ว่า อิสลามคือตัวปัญหาของสังคมไทย คุณอารอใจเย็นๆครับ ไม่เกิน 10 ปี ทุกอย่างจะชัดเจน คนที่เคยตำหนิสารพัดอย่าง จะถึงกับพูดไม่ออกทีเดียวเชี่ยวเลยครับ ใครในหมู่บ้านหรือโตะครู เอามาพูดเอามาบอกทางการ เมื่อใด ตาย ทันที ถ้าไม่บอกทางการ  ไม่เทคแอคชั่นไม่ เป็นไร มุสลิม ทางภาคใต้ คือมุสลิมที่น่าสงสาร  อาการน้ำท่วมปาก บอกทางราชการ ก็ตาย ด้วย มือของโจร ในคราบข้าราชการ และด้วยน้ำมือของโจร จริงๆ ไม่พูดไม่ทำ ไม่เทคแอคชั่น ก็กลายเป็นแพะ ของสังคมไทย ตัวผมเองแค่รนณรงค์ให้มุสลิม ในปอเนาะฉลาดขึ้น แค่นั้นผมก็ถูกจดหมายขู่ฆ่าให้ออกนอกพื้นที่ พูดภาษาไทย อ่านภาษาไทยไม่ได้ แต่มันเขียนจดหมายภาษาไทยได้  มันตลกๆดีนะครับ ขออัลเลาะห์ทรงโปรด จิม แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 55 08:07:40 แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 55 08:06:08 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 08:01:04

ความคิดเห็นที่ 13 แล้วก่อการร้ายไปเกี่ยวกับฮะดิษตรงไหนครับ? เพราะว่ามีฮะดิษเลยมีการก่อการร้ายหรอครับ? กะทู้ผมอยากไห้พี่น้องสรุปใจความ และแสดงจุดยืนร่วมกันถึงความหมายของฮะดิษข้างต้น ว่า หัวใจของมันคือต้องการไห้พวกเรามีความรักต่อกัน อย่าได้เอาความผิด (ที่ไม่ควรเปิดเผย) ของพี่น้องคนใดคนนึงไปประจาน บอกกล่าวแก่คนอื่น เพื่อสร้างภราดรภาพของความสัมพันธุ์ที่ดีต่อกัน ผมสาบานเลยว่าฮะดิษต้นนี้ถูกสั่งสอนมาแบบนี้ ไม่เคยได้ยิน หรือ ได้ฟังว่า ไห้มุสลิมปกปิดความผิดกันเอง หรือในทำนองนี้ครับ เพิ่งมาเคยเจอนี่ที่นี่หละครับ สรุปคือว่า สำหรับท่านที่ตามฮะดิษดังกล่าวนี้ก็คงจะรู้ความหมายแล้ว สำหรับท่านที่ปฏิเสธก็คงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ความหมายอะไรอีก เพราะกลายเป็นว่าฮะดิษนี้กลายเป็นเครื่องมือ บางอย่างที่ไม่ส่งผลดีต่อ มุสลิมเอง .... วันนี้วันศุกร์ขอดุอากันเยอะๆครับ จากคุณ : Sleeping เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 08:44:50

ความคิดเห็นที่ 14 เห็นด้วยกับคุณ Sleeping ดิฉันก็มาเจออะไรแปลกๆที่นี่เหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องที่โต้เถียงกันอยู่นี่เท่านั้น อัลฮัมดูลิลลาฮฺ  พี่น้องต้องช่วยๆกันดูค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 10:31:03

ความคิดเห็นที่ 15 ผมเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยในความเข้าใจ ของคุณSleeping และ เข้าใจคำอธิบายของคุณYAMAMANG  เนื่องจากเคารพในคำขอร้องของ คุณ Yaoharee  ไม่ให้ โต้เถียวกันเรื่องความถูกต้อง จริงหรือไม่จริง และหมายความอย่างไรในที่นี้, และขอให้ใช้อัลกุรอาน เท่านั้นในการ สนทนากันในเรื่อง ความยุติธรรม    อัลกุรอานบัญญัติที่ 3:7 อธิบายให้เราเข้าใจว่า; "{3:7} พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เธอ โดยที่ส่วนหนึ่งของคัมภีร์นั้นเป็นบรรดาโองการที่มีข้อความรัดกุมชัดเจน ซึ่งโองการเหล่านั้นคือรากฐานของคัมภีร์ และมีโองการอื่น ๆ อีกที่มีข้อความเป็นนัย ส่วนบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกตนมีความเบี่ยงเบนนั้น พวกเขาจะติดตามโองการที่มีข้อความเป็นนัยจากคัมภีร์ เพราะต้องการก่อจลาจล และต้องการตีความโองการนั้น และไม่มีผู้ใดรู้การตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า "พวกเรามีศรัทธาต่อมัน ทั้งมวลมาจากพระเจ้าของพวกเรา" และไม่มีผู้ใดที่จะได้รับคําตักเตือนนอกจากบรรดาผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น  พระเจ้าเตือนให้มุสลิมทราบว่า แม้แต่ โองการของพระองค์ที่ เป็นนัยซึ่งต้องการความรู้ของผู้ที่มีสติปัญญาในความเข้าใจข้อความที่เป็นนัยนั้น, สำหรับผู้ที่มีจิตใจชั่วจะเอาโองการเหล่านั้น มาก่อความเดือดร้อนหรือใช้ในทางที่ผิดหลอกลวงผู้ที่ไม่มีสติปัญญาให้ทำความชั่วตามที่เขาต้องการ "บิดเบน" ความหมายของข้อความที่เป็นนัย  จะเห็นได้ว่า อัลกุรอานเป็นข้อบัญญัติของพระเจ้า แม้กระนั้น ก็มีการเอามาใช้หลอกชาวบ้านให้กระทำ ความชั่วที่เกินขอบเขตของหลักการของ "ศาสนาอิสลาม" เช่นการ ลงโทษ ผู้ผิดประเวณีด้วยการ STONING TO  DEATH, การประจานผู้กระทำความผิดในที่ลับ แต่นำมาประจาน ในที่แจ้งและในที่สาธารณะ  ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ ชัดเจนในการ ล่วงเกินและบิดเบือน อ้างอิงบัญญัติของพระเจ้า  แม้กระทั่ง โกหกว่าเคยมีบัญญัติแต่ถูก แพะกินไป  การ STONING นี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการเป็น "มูนาฟิก" ที่กล่าวว่า ความผืดในที่ลับไม่ควรนำมาประจานในที่แจ้ง นอกเสียว่า มีบัญญัติให้ประจานในที่สาธารณะบัญญัติไว้โดยพระเจ้าในอัลกุรอาน ในเรื่อง การ STONING ในที่สาธารณะ ทั้งนี้อย่างที่ผมเคยเขียนมาแล้วว่า "การร่วมรักในการมีชู้นั้น ไม่เคยเห็นว่า มีใครเขาทำกัน ต่อหน้าคนในที่สาธารณะ เช่น กลางสนามกรีฑา หรือ กลางตลาด นอกจากในที่ลับเท่านั้น    เราจะเห็นว่า แม้แต่โองการของพระเจ้ายังถูกนำมาหลอกผู้ที่ ขาดความรู้ได้ และไฉนเล่า ข้อความของมนุษย์สั้นๆ ที่ว่า "ใครก็ตามที่ปกปิดความผิดของมสลิม,อัลลอฮฺจะทรงปกปิดความผิดของเขาในดุนยาและอาคิเราะฮฺ" จะไม่อาจนำมาใช้ในการหลอกลวงชาวบ้านได้ ถึงแม้จะไม่ต้อง อ้างว่าเป็นคำกล่าวของ ท่านรอซูล หรือ อ้างนามผู้ใดก็ตาม เพียงแต่บอก ว่า "ศาสนาสอนเช่นนั้น"  บรรดาชาวบ้านที่อยู่ในป่าในเขาที่น่าสงสาร และเชื่อโต็ะครูผู้รู้บอกและสอนเท่านั้นก็จะเชื่อแล้ว   ในการล้างสมองชาวบ้านนั้น ผู้ร้ายจะไม่ข่มขู่ชาวบ้านในการดำเนินการที่ต่อเนื่องเช่นนี้ ใช้การล้างสมอง ทางการให้การศึกษา โดยอาศัย "ศาสนา" อย่างเช่นที่ รัฐบาลซาอุดิอารเบีย ทำอยู่ในสหรัฐอเมริกาและในยุโรป ในปัจจุบันนี้  กองโจรก็เช่นกัน อาศัย โต๊ะครู โดยที่โต๊ะครูเหล่านั้น ไม่รู้ตัว    ประโยคสั้นๆ "ใครก็ตามที่ปกปิดความผิดของมสลิม,อัลลอฮฺจะทรงปกปิดความผิดของเขาในดุนยาและอาคิเราะฮฺ"  นี้มีความหมายกำกวม ซึ่งจะอธิบายในทางใดก็ได้  ดังเช่นคำเตือนในบัญญัติที่ 3:7  ตัวอย่างที่ผม Speculated  นี้ มีทางเป็นไปได้มากทีเดียว ด้วยเหตุนี้ ทางการจึง ส่งเสริมและอบรมครูอาจารย์ตามหมู่บ้านต่างๆให้ระวังการสอดแทรกของผู้ก่อการร้าย ด้วยการล้างสมองโดยอาศัยศาสนา   การกระทำดังกล่าวนี้ ได้เกิดขึ้นแล้ว ใน สหรัฐอเมริกา ซึ่ง อีมา่ม และ ผู้รู้ทางศาสนา ใช้มัสยิดเป็นที่อบรมผู้ก่อการร้าย  ทางการอเมริกัน ได้ ขอความร่วมมือทางมัสยิดต่างๆให้บันทึกชื่อผู้ที่มาเยี่ยมเยียน มัสยิด ถ้าไม่ใช่บุคคลในหมู่บ้านและหรือ กำปงนั้นๆ    การที่มุสลิมควรกล่าวความจริงและยืนยันยอมรับความผิดพลาดในการปฏิบัติของมุสลิมในสังคมมุสลิมนั้น เป็นวิธีการสอนตามอัลกุรอาน  การปกปิด ความผิด กับการนินทานั้นต่างกันมากและมีผลต่างกันซึ่งอาจจะไม่รุนแงแล้วแต่เรื่องของการนินทา  "สมุติว่าผมเห็นมุสลิมในห้องนี้ ไปลอกบทความภาษาไทยจากเวบอื่นมาตั้งเป็นกระทู้ของตนเองแต่ไม่ให้เกียรติแก่เจ้าของบทความ"  แล้วผมนำมาเปิดเผย หรือ บอกกล่าวต่อผู้อื่น ทำให้เขาขายหน้าในที่สาธารณะ นั้นอาจจะไม่สมควรทำ"   เท่าที่กล่าวมานี้ พอที่จะตอบคำถามว่าประโยคสั้นๆข้างล่างนี้ไม่น่าจะเข้าใจยากไม่เห็นว่ามันจะก่อให้เกิดความชั่วร้ายได้อย่างไร? นอกจากจะคิดมากไปเอง    "ใครก็ตามที่ปกปิดความผิดของมสลิม,อัลลอฮฺจะทรงปกปิดความผิดของเขาในดุนยาและอาคิเราะฮฺ"    ประโยคนี้ กำกวมและถูกใช้เป็นเครื่องมือในการล้างสมองของ "ผู้ที่ไม่คิดมาก" มาแล้วโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผมจะเตือนบางท่านที่ใส่ใจ, ซึ่งท่านไม่จำเป็นจะต้องเห็นด้วยกับความเห็นของผม  สำหรับผู้ที่มีใจยุติธรรมเท่านั้นจึงจะเข้าใจที่ผมแสดงความคิดเห็นข้อนี้ออกมาตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 55 13:12:16 แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 55 23:07:48 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 55 23:02:50