|
เพิ่มเติมครับ จากอาจารย์บุญมี เมธางกูร ผู้ทรงพระไตรปิฏก ได้บบรยายไว้ดังนี้
การนอนหลับคืออะไร http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=13427
ธรรมชาติของจิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ ลงมีจิตเกิดขึ้นมาแล้วจะต้องมีอารมณ์อยู่เสมอไป เหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า จิตอยู่ที่ไหน อารมณ์ก็อยู่ที่นั่น จิตอยู่ในที่ใด อารมณ์ก็จะอยู่ในที่นั้น จิตกับอารมณ์ไม่มีวันพรากจากกันเลย
แต่อารมณ์ที่เกิดแก่จิตนั้น แบ่งออกโดยหยาบๆเป็น ๒ ประการ คือ
๑. จิตที่ขึ้นวิถีรับอารมณ์
๒. จิตที่เป็นภวังค์ หรือภวังคจิต
จิตทั้ง ๒ ประเภท เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าจะศึกษาโดยละเอียดแล้วก็จะต้องใช้เวลาศึกษามากทีเดียว ในที่นี้ผมจะกล่าวพอให้เข้าใจบ้างเล็กน้อยเท่านั้น
๑. จิตที่ขึ้นวิถีรับอารมณ์
คำว่า วิถี แปลตรงๆ ว่า หนทาง แต่หนทางในที่นี้มิได้หมายถึงหนทางตามที่เข้าใจกันในหมู่ประชาชนทั่วไป ว่าเป็นหนทางของสัตว์เดินหรือมนุษย์เดิน หากหมายถึงหนทางที่จิตเดิน หรือหมายถึงการทำงานของจิต เช่น ทำงาน เห็น หรือทำงาน ได้ยิน เป็นต้น
บุคคลทั้งหลาย ทำการงานอยู่ ณ ที่ทำงานต่างๆ เช่น เป็นทหารก็ทำงานอยู่ในกรมกองทหาร เป็นข้าราชการก็ทำงานอยู่ภายในอาคารที่ๆ ทำงาน ถ้าเป็นพ่อค้าก็ทำงานอยู่ในห้างร้าน
โดยทำนองเดียวกันนี้ จิตก็มีสถานที่ทำงานเหมือนกัน ไม่ว่าจะเห็น, ได้ยิน หรือคิดนึก จิตจะออกมาทำงานยังสถานที่ต่างๆ เช่น
จิต เห็น ก็อาศัยประสาทตาเป็นทางแสดงออกของจิต
จิต ได้ยิน ก็อาศัยประสาทหูเป็นทางแสดงออกของจิต
จิต นึกคิด ก็เกิดขึ้นทางจิตใจ เป็นต้น
บุคคลทั้งหลายมีประตูเป็นทางสำหรับออกไปทำธุรกิจต่างๆ จิตก็อาศัยแสดงออกทางประตูเหมือนกัน คือ ประตูตา ประตูหู ประตูใจ เป็นต้น หาไม่แล้วจิตก็ไม่สามารถทำงานเห็น ทำงานได้ยิน และทำงานคิดได้
วิถี คือการทำงานของจิต จากทางทวาร คือ ประตูต่างๆ มีทางตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย เรียกปัญจทวารวิถี (ประตูคือทวารทั้ง ๕) และวิถีที่เกิดขึ้นทางใจ เรียกมโนทวารวิถี (ประตูทางใจ)
การทำงานของจิต คือ รับอารมณ์ต่างๆ ทั้งทางปัญจทวารวิถี (ทางประตูทั้ง ๕) และมโนทวารวิถี (ประตูทางใจ) นั้นสลับซับซ้อนละเอียดพิสดารมาก ต้องบรรยายโดยมีภาพประกอบหลายภาพจึงจะเข้าใจได้ แล้วจำเป็นที่จะต้องศึกษาไปทีละขั้นๆ ตามลำดับ ขณะนี้ผมขอแสดงย่อๆ เท่านั้น
การรู้อารมณ์ต่างๆ นั้น มิใช่อยู่ๆ ก็จะรู้ขึ้นมาเฉยๆ จะต้องมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้รู้เป็นอันมาก ไม่ว่าจะรู้ทางปัญจทวาร คือ ประตูทั้ง ๕ หรือจะรู้ทางมโนทวาร คือ ประตูทางใจก็ตาม
การรู้อารมณ์ดังกล่าวนี้ ต้องอาศัยรู้ตามทวารต่างๆ เช่น ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ใจที่คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเราเรียกว่า จิตที่เกิดขึ้นรับอารมณ์ในวิถีต่างๆ คือ ปัญจทวารวิถี และ มโนทวารวิถี ซึ่งยังมีแตกแขนงออกไปเป็นจำนวนร้อยๆ วิถี
๒. จิตเป็นภวังค์
คำว่า ภวังค์ เมื่อแยกออกเป็น ๒ ก็คือ ภว + องคฺ
ภว แปลว่า ภพ หรือ ชาติ
องคฺ แปลว่า ส่วนประกอบ อันหมายถึง จิตเป็นส่วนประกอบของภพหรือเป็นองค์แห่งภพ ซึ่งได้แก่ จิตเป็นภวังค์ มีจำนวน ๑๙ ประเภท (อุเบกขาสันตีรณะ ๒ มหาวิบาก ๘ มหัคคตวิบาก ๙)
คำว่า ภวังค์ เรียกว่า วิถีวิมุตฺติ อันหมายถึงว่าหาได้เป็นวิถีจิตเหมือนข้อ ๑ ไม่ กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ รับอารมณ์ใหม่ เช่น เห็น ได้ยิน อย่างวิถีจิตในข้อ ๑ ไม่ได้เลย ภวังคจิตก็คือ จิต ที่ได้เห็นรูป, ได้ยินเสียง, ได้ดมกลิ่น, ได้ลิ้มรส, ได้รับสัมผัส, ได้คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ไม่ได้เลย
ถ้าจะดูความเป็นภวังค์ให้เห็นง่ายๆ ก็ดูได้จากคนที่นอนหลับสนิท คนนอนหลับสนิทจิตก็เกิด-ดับสืบต่อกันไปอยู่เสมอ (มิได้รับอารมณ์ใหม่) และนี่เองคือ จิตเป็นภวังค์
( อ่านต่อตาม link นะครับ) ------------------------------------------- ค้นจาก ลานธรรมอภิธรรมมูลนิธิ
สุปินวิถี ( มีทั้งหมด 9 ตอน) http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/search.php?user=dokgaew
สุปินวิถี (๙) บุคคลที่ฝันได้ http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=13508
----------------------------------------------
http://www.abhidhamonline.org/Ajan/book.htm
ความฝัน โดย. ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร http://www.abhidhamonline.org/Ajan/BM/dream.doc
สุปินวิถี ๑ บรรยาย ในวันเสาร์ที่ ๑๑ ก.พ. ๑๖ ร.ร.มงคลทิพย อภิธรรมมูลนิธิ วัดเชตุพน ฯ สุปินวิถี คือ วิถีจิตที่เกิดขึ้นในขณะนอนหลับไม่สนิท เรียกความเป็นไปของจิตในเวลานั้นว่า สุปิน คือ ฝัน และวิถีจิตที่เกิดขึ้นเป็นความฝันนี้เป็นกามชวนะมโนทวาราวิถี หมายถึง รับกามารมณ์ทางมโนทวาร คือ ทางใจทางเดียวเท่านั้น และคำว่า กามชวนะ ก็หมายความถึงผู้ที่ชอบเสพกาม คือ ความยินดีติดใจในอารมณ์ต่างๆ เช่น มนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน เปรต และเทวดา เป็นต้น วิถี คือ การทำงานของจิตในขณะฝันนั้นไม่อาจเกิดทางปัญจทวาร คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายได้เลย แต่การกระทบกระเทือนอาจผ่านจากทวารอื่นมาก่อนก็ได้ เช่น กระทบกายแล้วจึงกระเทือนเข้าไปถึงใจ เช่น คนถูกน้ำรดที่มือ แล้วก็เลยฝัน (ทางมโนทวาร) ไปว่าได้ลุยน้ำ เป็นต้น
นิมิต คือ การสร้างภาพขึ้น อันเป็นความฝันของบุคคลนั้น ย่อมมีชัดเจนมากบ้าง ชัดเจนน้อยบ้าง หรือบางครั้งมีความชัดเจนน้อยที่สุด จนไม่รู้เรื่องราว หรือจำไม่ได้เลยก็มี ด้วยเหตุนี้วาระสุปินวิถีจึงมีแบ่งออกเป็น ๔ วาระ คือ ๑. สุปินวิถี ที่เป็น ตทาลัมพนวาระ ๒. สุปินวิถี ที่เป็น ชวนวาระ ๓. สุปินวิถี ที่เป็น โวฏฐัพพนวาระ ๔. สุปินวิถี ที่เป็น โมฆวาระ สุปินวิถี ที่เป็น ตทาลัมพนวาระ และชวนวาระ คือ ความฝันที่ผู้ฝันสามารถรู้เรื่องราวได้ชัดมาก และชัดเจนน้อยตามลำดับ คือ เข้าถึงการเสพอารมณ์นั้นย่อมเป็นไปได้ทั้งกุศลชวนะ และอกุศลชวนะ ได้ทั้งบุญและบาป เรียกสุปินวิถีทั้ง ๒ วาระนี้ว่า กุสลากุสลสุปินวิถี แต่กุศล อกุศล คือ บุญหรือบาปที่เกิดในขณะเวลาฝันได้ก็จริง แต่เจตนามีกำลังน้อย ไม่แรงกล้า เหมือนเวลาที่เสพอารมณ์ในขณะที่ตื่นอยู่ ฉะนั้น กุสลากุสลสุปินวิถี จึงไม่สามารถนำปฏิสนธิ คือ นำเกิดในสุคติหรือทุคติได้ กำลังอำนาจของบุญหรือบาปส่งให้ปฏิสนธิ คือ เกิดในชาติหน้าไม่เพียงพอ คงให้ผลได้บ้างในปวัตติกาล เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วเสียก่อน เราก็ถือว่าไม่ล่วงกรรมบถ เพราะเจตนาที่เกิดขึ้นนั้น เกิดในขณะที่อารมณ์ไม่เป็นปรกติ หรือจิตที่รับอารมณ์ไม่เป็นปรกติ ดังนั้นจึงไม่ถึงความเป็นกรรมบถ ส่วนสุปินวิถี ที่เป็น โวฏฐัพพนวาระ และโมฆวาระนั้น คือ ความฝันที่ไม่เข้าถึงการเสพอารมณ์ คือ จิตที่ทำการงานไม่ถึงชวนะ ไม่มีการเสพอารมณ์ในวิถีนี้ เพราะกำลังของการกระทบอ่อนเกินไปจึงไม่เกิดจนสุดวิถี ผู้มีอารมณ์ไม่อาจรู้นิมิตในฝันของตนได้ ตื่นขึ้นมาแล้วก็นึกถึงเรื่องของความฝันไม่ออก เพียงแต่รู้สึกว่านอนหลับไม่สนิทเท่านั้น จึงจัดไว้เป็น อพยากตสุปินวิถี ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป เหตุให้เกิดสุปินวิถี คือ ตัวการที่ทำให้เกิดความฝันนั้นมี ๔ ประการ ผมจะกลับมาอธิบายถึงเรื่องดังกล่าวนี้ภายหลัง ผมขอแสดงคำว่า สุปิน กับ วิถี เสียก่อน ท่านทั้งหลายคงจะได้พบในหนังสือต่างๆ ที่ใช้คำว่า สุปิน (สุปินะ) ก็คือที่เราพูดกันในภาษาไทยว่า สุบิน นั่นเอง ความจริง สุบิน นี้แปลว่าฝัน แต่ว่าวิถี แปลว่า หนทาง คือ การงาน ได้แก่การงานของจิตในขณะที่กำลังฝัน สุปินวิถีนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร หรืออาศัยเหตุอะไร จึงทำให้ความฝันเกิดขึ้นได้ แล้วในขณะฝันจิตใจทำงานอะไรกันบ้าง ความฝันนี้เป็นบาปเป็นบุญได้หรือไม่ ด้วยเหตุผลประการใด และความฝันนั้นบางทีก็เป็นความจริง จะจริงขึ้นมาได้ด้วยเหตุผลกลใด เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่บรรดานักวิชาการในด้านต่างๆในโลกนี้มีความสนใจเป็นอันมาก แต่ไม่มีใครมีความสามารถจะอธิบายปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้ได้ แน่นอน ในโลกนี้ไม่มีใครเลยที่จะเรียนรู้เรื่องของความฝัน ว่าความฝันที่เกิดขึ้นนั้นมาจากสาเหตุอะไรบ้าง ในขณะที่กำลังฝันนั้น ทั้งร่างกายและจิตใจมันทำอะไรกันและเป็นความจริงได้เพราะอะไร เหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านั้นทำไมจึงได้เกิดขึ้น และเป็นไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
จากคุณ |
:
เฉลิมศักดิ์1
|
เขียนเมื่อ |
:
19 เม.ย. 55 05:50:52
|
|
|
|
|