ความคิดเห็นที่ 1 ขอบคุณนะครับท่าน จขกท ที่ใส่ใจในรายละเอียดของอิสลาม อย่างนี้เค้าเรียกว่าเป็นบ่อเกิดของการศรัทธาต่ออิสลาม ยินดีต้อนรับเลยนะครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 22:01:49

ความคิดเห็นที่ 2 เอาเเบบเต็มสูบ จริงๆผู้ชายต้องไว้เครา ผู้หญิงต้องสวมฮิญาบ แต่หาผู้ที่เข้าถึงแบบนี้ได้ยาก มีซัก 20 % ของทั้งหมดในประเทศไทย จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 22:13:57

ความคิดเห็นที่ 3 ตอบ จขกท   คำถามนี้ก็เหมือนกับคำถามที่ว่า  เป็นไปได้ไหมที่พระภิกษุจะไม่ห่มจีวร หรือแม่ชีคริสต์จะไม่คลุมศีรษะ คำตอบ คือไม่ได้ครับ  อธิบายง่ายๆคือ มุสลิมทุกคนเป็นทั้งฆราวาสและนักบวช ในคนๆเดียวกัน จากคุณ : abubilal เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 23:06:00

ความคิดเห็นที่ 4 เราว่าให้เขาทำตามหลักศาสนาของเขาไปดีกว่านะคะ เราว่ามันเป็นความเคยชินของเขาด้วย นอกเหนือไปจากการทำศาสนา เคยถามเพื่อนสาว เขาก็จะบอกว่าไม่โพกแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวตนของเขา และที่สำคัญก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกเลย ก็แค่เรื่องการแต่งกายเท่านั้นเอง :) จากคุณ : ฟากฟ้าฝั่งฝัน เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 23:52:01

ความคิดเห็นที่ 5 งั้นคนที่ไม่คลุมก็กำลังทำผิดข้อบังคับอยู่หรือครับ หรือการคลุมศีรษะเป็นเเค่คำเเนะนำเเต่ไม่ได้เป็นกฎบังคับ เเล้วเป็นไปได้มั้ยว่าจะเปลี่ยนกฎเรื่องนี้ให้เป็นไปตามยุคสมัย  เพราะผมคิดว่าการไม่คลุมศีรษะก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรเลย ไม่น่าส่งผลเรื่องยั่วยวนทางเพศเลย ที่มาน่าจะเป็นวัฒนธรรมมาจากการเเต่งกายของประเทศเเถบตะวันออกกลางมากกว่า(มั้ย) หรือชำระเปลี่ยนกฎไม่ได้ จากคุณ : Jung Eun Cute เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 00:08:52

ความคิดเห็นที่ 6 ก็เหมือนพุทธเราผิดศีลนั้นแหละคะ ผิดศีลก็บาป จากคุณ : สาวไฉไล เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 00:53:11

ความคิดเห็นที่ 7 คุณ Jung Eun Cute การคลุมศีรษะของผู้หญิงชาวมุสลิมได้ถูกกำหนดไว้แล้วในพระคัมภีร์ เปลี่ยนกฎนี้ไม่ได้หรอกค่ะ ในร่างกายผู้หญิงคนนึง สามารถเผยให้เห็นได้แค่ใบหน้าและฝ่ามือค่ะ(เผยในที่นี้หมายถึงเผยให้แก่คนนอกได้ มันจะมีศัพท์อยู่ศัพท์นึง เรียกคนนอกเหล่านี้ว่า ผู้ที่ไม่ใช่มุฮริม ผู้ที่ไม่ใช่มุฮริมก็คือประมาณว่าผู้ชายคนนั้นสามารถแต่งงานกับเราได้ประมาณนั้น ที่ใกล้กันมากๆอย่างลูกพี่ลูกน้องก็ถือว่าไม่ใช่มุฮริมค่ะ)---ของผู้ชายก็มีนะคะ ขนาดระหว่างชายกับชาย ต้องปกปิดตั้งแต่สะดือจนถึงหัวเข่า ดังนั้นจะไม่เห็นชายมุสลิมใส่กางเกงขาสั้นกันค่ะ(ยกเว้นผู้ที่ไม่ทราบ) เด็กประถมแถวใต้ตอนนี้ก็ใช้ขายาวมาหลายปีแล้ว สำหรับคำถามที่ว่า คนไม่คลุมก็กำลังทำผิดกฎอยู่หรือไม่ คำตอบก็คือใช่ แต่ดิฉันก็พอเข้าใจว่าบางทีเขาอาจจะยังไม่พร้อมหรือโตมากับการเลี้ยงดูอีกแบบ ตัวดิฉันเองเริ่มใส่ผ้าคลุมจริงจัง(และยาวนานจนถึงปัจจุบัน)ตอนเข้าเรียนชั้นม.1 เพราะสมัยนั้น ร.ร. ประถมที่ๆดิฉันเรียนอยู่ยังไม่อนุญาตให้สวมต่างจากสมัยนี้เด็กเล็กๆก็ใส่กันแล้ว มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วค่ะ มันไม่ได้ยุ่งยาก เป็นอุปสรรคในการเรียนหรือทำงาน ไม่ได้รู้สึกร้อน รำคาญอย่างที่ใครหลายคนอาจจะคิดแทน ลึกๆแล้วรู้สึกปลอดภัย เหมือนพระเจ้าได้ออกแบบการแต่งกายให้เราน่ะค่ะ รู้สึกพิเศษในรูปแบบนั้นมากกว่า จากคุณ : ซานูบารี เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 01:51:10

ความคิดเห็นที่ 8 ในความเห็นฐานะที่ไม่ใช่มุสลิม การคลุมผมตามหนักหลักศาสนาก็โอเคนะคะ แต่ถึงขั้นปิดหน้าหมดแบบตาลีบัน แบบนั้นน่ากลัวค่ะ ไม่อยากให้มุสลิมไทยเป็นแบบนั้นด้วย มันระบุตัวฅนไม่ได้ ชวนให้รู้สึกกลัวค่ะ จากคุณ : SadDog เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 02:18:14

ความคิดเห็นที่ 9 จากคำอธิบายของมุสลิม ข้างบน คุณ จขกท คงจะเข้าใจมากขึ้นนะคะ คิดว่าอาจจะเพิ่งเข้ามาในห้องศาสนา เลยไม่ทราบว่าเรื่องนี้ สำหรับ ห้องนี้ พูดกันเป็นประเด็นบ่อยมากๆ และ กระทู้ ของมุสลิมที่เกี่ยวกับ ฮิญาบ ก็นำเสนออยู่บ่อยครั้ง ในกระทู้นี้ ขออนุญาตเปลี่ยน บยยยากาศ นำคำอธิบาย ของ เนื้อหา สาระ จากข่าว มานำเสนอ บ้างค่ะ มุสลิมไทยดอทคอม  ทัศนะคติมุสลิมอังกฤษกับการคลุมฮิญาบ www.muslimthai.com ไคโร – ผู้หญิงมุสลิมอังกฤษเช่น โซฮา เช้ค มีความเห็นว่า ไม่มีสิ่งขวางกั้นระหว่างการคลุมศีรษะ กับการเป็นคนอังกฤษ แต่กลับจะเป็นการแสดงจุดเด่นของความเป็นมุสลิมอังกฤษมากกว่า โซฮา เช้ค โซฮา วัย 25 ปี จบปริญญาตรีด้านสื่อ และทำงานเป็นผู้ช่วยในห้องสมุด เธอคลุมศีรษะตั้งแต่อายุ 12  ซึ่งดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเธอไปแล้ว รวมทั้งเธอยังดีใจที่ไม่ต้องเห่อไปตามแฟชั่น อย่างที่ชาวตะวันตกนิยมกัน โซฮายอมรับว่าเมื่อพูดถึงฮิญาบ ศาสนิกอื่นจะรู้สึกว่าเป็นการกดขี่ แต่ก็ยากที่จะอธิบายให้คนอื่นเห็นว่า แท้จริงแล้วฮิญาบเป็นการปลดปล่อย เป็นอิสระ และไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยก รัจนารา อัคต้าร์ ก็เป็นสาวอังกฤษอีกคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวที่มีพี่/- น้องเป็นผู้หญิงคลุมฮิญาบถึง 7 คน เธอเห็นว่า การที่ไม่ได้อธิบายเหตุผลของการคลุมฮิญาบให้คนอื่นๆ เข้าใจตั้งแต่ต้น จึงทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยก และคลุมเครือ รัจนารายังคงเห็นว่า การคลุมฮิญาบในอังกฤษ ไม่ได้ถูกมองอย่างอคติเหมือนเช่นในประเทศยุโรปอื่นๆ เพราะเป็นที่ยอมรับในสังคมชาวอังกฤษทั่วไป ทาฮฺมิน่า ซาลีม ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มอินสไปร์ เพื่อเป็นที่ปรึกษาสำหรับสตรีมุสลิมให้มีส่วนร่วมในสังคม กล่าวว่า  การตัดสินใจคลุมฮิญาบมาจากหลายเหตุผล บางคนคลุมเพราะความเคร่งครัดในศาสนา หรือเพื่อแสดงเอกลักษณ์ตัวตน และแม้แต่เหตุผลทางการเมือง สำหรับโซฮา การตัดสินใจคลุมฮิญาบในครั้งแรก ก็เพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับกลุ่มชนที่มีภูมิหลังมาจากปากีสถาน แต่ต่อมาความรู้สึกนั้นเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นเอกภาพของมุสลิม เชลิน่า ซะฮฺรอ ยานมุฮัมมัด วัย 34 ปี คลุมศีรษะตั้งแต่อายุ 13 แต่เธอยอมรับว่าไม่ได้ทำเป็นกิจวัตร เพราะสมัยที่เป็นนักเรียนเธอรู้สึกว่าเข้ากับเพื่อนๆ ไม่ได้ถ้าคลุมศีรษะ แต่พอเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดเธอหันมาคลุมศีรษะเป็นประจำ ซึ่งทุกคนก็ยอมรับในความเป็นตัวตนของเธอเช่นนี้ เชลีน่า เป็นผู้แต่งหนังสือเรื่อง Love in a Headscarf หลังจากได้อ่านและเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับผ้าชิ้นสำคัญนี้ ที่เมื่อผู้ใดได้คลุมแล้วก็ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ อ่อนน้อมถ่อมตน และนำพาไปสู่ความเป็นมุสลิมที่ดี  - มุสลิมไทยดอทคอม ... จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 06:31:15

ความคิดเห็นที่ 10 ลองดูนะครับแทนคำอธิบาย เข้ามาใหม่แต่ตัวหนังสือลีลาการโพสท์ ไม่ธรรมดา จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 07:17:16

ความคิดเห็นที่ 11 เรื่องคลุมผมของสตรีมุสลิม ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติตามความเชื่อของศาสนา แต่ก็เห็นบางคนก็ไม่คลุมผม ก็คงแล้วแต่ความศรัทธาของแต่ละบุคคล แต่การคลุมมิดหมดทั้งตัวเหลือแต่ดวงตาเท่านั้น อันนี้ผมว่ามากเกินไป ได้ยินมาว่าไม่ใช่ข้อกำหนดทางศาสนาด้วย ทำไมชาวมุสลิมไม่ช่วยกันห้ามปราม บางคนกลับส่งเสริมด้วยซ้ำไป กลับคิดว่าเป็นการแสดงออกถึงศรัทธาอันแรงกล้า  ผมเจอคนแต่งตัวแบบนี้เดินผ่านมาทีไร ต้องเดินหนีหรือข้ามถนนไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งทุกที ไม่อยากเจอแจ็คพ็อต แต่บางครั้งเจอบนรถเมล์ทำได้แค่เดินเลี่ยงออกไปอยู่ห่างๆ ถ้าเจอยืนอยู่หน้าตู้เอทีเอ็มหรือหน้าแบงค์ก็ไม่ต้องฝากถอนเงินกัน รอให้พวกเข้าผ่านไปก่อน ยังดีที่โรงเรียนของลูกไม่อนุญาตให้ใครที่แต่งตัวแบบนั้นเข้าไปในเขตของโรงเรียน ไม่อย่างนั้นก็ต้องวุ่นวายย้ายที่เรียนใหม่ให้ลูก จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:07:16

ความคิดเห็นที่ 12 คงไม่สามารถเข้าไปห้ามปราม ไม่ให้สวมแบบ นิกอบ ได้หรอกค่ะ ตรงนั้นมันเป็นสิทธิ์ของเค้า ว่า จะปิดหน้า หรือ ไม่ปิดหน้า ( แตกต่างจากการ ฮิญาบ ตรงนี้จำเป็น มีสิทธิ์ตักเตือนได้ ) แต่อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำคุณ นิแรน ว่า อย่ากังวล มากจนเกินไป จนทำให้การใช้ชีวิตประจำวัน ไม่เป็นปกติสุข คุณอาจจะไม่เคยชิน น่ะค่ะ  เลยพาลทำให้หวาดระแวง และ คิดมากได้ ตรงนี้ก็เข้าใจ   แต่ประเด็นที่คุณว่ามา เราจำได้ว่า เคยคุย และ ทำความเข้าใจ กับคุณนิแรน มาก่อนหน้านี้แล้วนะ กระทู้เก่าๆอ่ะค่ะ เดี๋ยวไงจะลองหาดูอีกที ****( แตกต่างจากการ ฮิญาบ ตรงนี้จำเป็น มีสิทธิ์ตักเตือนได้ )**** ปล. เกรงว่าจะเข้าใจผิด ตรงในวงเล็บ เราหมายถึงว่า เรามีสิทธิ์ตักเตือนได้ ว่าต้องคลุม ฮิญาบน่ะค่ะ ถ้าเห็นว่า มุสลิมคนใหนไม่คลุม เพราะเราอ้างได้ว่า มันเป็นกฏบังคับของ อิสลาม) แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 08:56:30 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:29:58

ความคิดเห็นที่ 13 แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 08:39:56 แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 08:39:43 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:34:29

ความคิดเห็นที่ 14 . จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:45:39

ความคิดเห็นที่ 15 การปิดหมดเผยแต่ตานั้น ไม่ใช่มากเกินไป เพราะไม่ได้เป็นข้อบังคับ แต่ให้ทำได้ และดีด้วยเพราะนั่นคือเป็นการปิดที่มิดชิดมากขึ้นครับ จะไปห้ามปรามทำไมถ้าเขาทำดีมากขึ้นกว่าเดิม? ถ้าคุณไม่ชอบคุณทำถูกแล้วที่ หลีกให้ห่างนะครับ ไม่ใช่คุณไม่ชอบใจแล้วสิ่งนั้นต้องผิด จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:49:55

ความคิดเห็นที่ 16 พอดีเปิดไปเจอคลิปนี้แปลกดี เลยลงให้ดูครับ ไม่มีเจตนา ดูหมิ่น ใคร จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 09:36:26

ความคิดเห็นที่ 17 คลุมฮิญาบผมไม่ขัดแย้งอะไรครับเห็นงามด้วย แต่นิกอบเนี่ย หะๆ น้อยไปก็ไม่กลาง มากไปก็ไม่กลาง สรุปง่ายๆ ใครใส่นิกอบผมหันหนีเลย ผมไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร คิดอย่างไร ฯลฯ การตกในความสงสัยเป็นเรื่องแย่กว่าการไม่รู้ ดังนั้นทางดีสุดคือไม่ยุ่งกัน แง่บๆ จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 09:37:43

ความคิดเห็นที่ 18 หลักคิดง่ายๆ ไม่ต้องแปลมากมาย ผมถึงพูดบ่อยๆว่า การคลุมฮิญาบนั้น เค้าคลุมบนหัวคนที่อยากคลุม เค้าไม่ได้ไปคลุมบนหัวคนอื่น  เหมือนคนที่เอาผ้าโพกหัวเดิน ใส่หมวกเดิน ก็แค่นั้น ไม่ใช่เรื่องอะไรของเราที่จะไปสงสัยว่า มันจะคลุมทำไมละ แต่ถ้าจ้องเรื่องความปลอดภัย ผมว่าคนงานก่อสร้าง ต่างชาติ ที่ใส่หมวกไอ้โม่ง ไหมพรม หรือชาวนา เอาผ้าปิดหน้าบังแดด ใส่หมวก  หรือ พวกตีกอล์ฟ  พอกหน้ากันแสงแดด จนจำไม่ได้ว่าเป็นใคร ใส่หมวกกันน้อคทั้งที่ไม่ได้ขี่มอร์เตอร์ไซค์ ใส่แว่นตาดำปิ้ดปี๋   หรือแม้นกระทั่งเครื่องแบบนักบวช ทุกศาสนา ก็เสื้อผ้ารุ่มร่าม ซุก ระเบิด ซุกปืน ซุกลูกหิน ไว้ข้างในก็ไม่อาจทราบได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะล้อคเป้าเรื่องฮิญาบ เกี่ยวกับความปลอดภัย ผมว่า ไม่แฟร์  แง่บๆๆๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 09:43:39 แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 09:42:07 แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 09:41:40 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 09:41:12

ความคิดเห็นที่ 19 MCE ที่เห็นนะ  เค้าไม่เรียกว่า "ฮิญาบ"   เค้าเรียกว่า  "นิกอบ" เอา ฮิญาบ สวยๆมาดูไม่ดีกว่านี้หรอ เห็นแล้วอย่าน้ำลายหก มารักสาวอิสลาม นะก้าบ เดว ถูกหั่นนนนน ด้วน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 09:48:30

ความคิดเห็นที่ 20 อาการกินอาหาร ที่ไม่น่าดูสะเท่าไหร่นั้น ในความคิดคนไทย ก็เป็นของคนไทย ของชาติอื่นอาจบอกว่าน่ารัก น่าชม เราจะเอาบันทัดฐานเรามาวัดไม่ได้ เช่น คนจีน คนเกาหลี ญี่ปุ่น  ซดน้ำแกงต้องโฮกกก  เคี้ยวดังๆๆ บางทียกขาขึ้นมาด้วย ดูดนิ้ว ดูดกระดูก จ้วบๆๆๆๆๆๆ  น้ำลายยืด อ้าปากกว้างกินแล้วแลบลิ้นออกมา ประเทสเค้าบอกว่าการกินแบบนี้แสดงว่าอาหารอร่อย คนปรุงอาหารชอบใจ ดังนั้นวัฒนธรรมการกินจึงเป้นเรื่องของกลุ่มชนนั้นๆ การคลุมนิกอบ แล้วการกินอาจไม่สดวกในสายตาเรา หรือรับไม่ได้ในสายตาเรา แต่กลุ่มของเค้ารับได้ นั้นคือหลักประชาธิปไตยขั้นพื้นฐาน ตราบใดที่ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 09:54:48

ความคิดเห็นที่ 21 จากคลิป ของคุณ mce คนกิน เค้าคงไปเบียดเบียน สายตา ของคนมองกระมัง คะ คุณ พี่จิม เลยเดือดร้อนแทน ทั้งๆที่เค้าก็กินใส่ปากเค้าเอง ไม่ได้ให้ใครมาช่วยป้อน แต่คนก็ยังรู้สึกไปลำบากแทนเค้า น่าขำดีค่ะ ^^ หรือ แม้แต่จะคลุม ฮิญาบ จะปิดหน้า (นิกอบ)  หรือ จะคลุมแบบปิดทั้งตัว (บุรก้า) ก็ไปบ่นแทนเค้า หาว่าร้อน ว่ารำคาญ แทน บ้าง ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ใส่แบบเค้าสักหน่อย อันนี้ก็ตลก เข้าไปใหญ่ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 10:20:01

ความคิดเห็นที่ 22 การปิดหมดเผยแต่ตานั้น ไม่ใช่มากเกินไป เพราะไม่ได้เป็นข้อบังคับ แต่ให้ทำได้ และดีด้วยเพราะนั่นคือเป็นการปิดที่มิดชิดมากขึ้นครับ จะไปห้ามปรามทำไมถ้าเขาทำดีมากขึ้นกว่าเดิม? ถ้าคุณไม่ชอบคุณทำถูกแล้วที่ หลีกให้ห่างนะครับ ไม่ใช่คุณไม่ชอบใจแล้วสิ่งนั้นต้องผิด จากคุณ : Carroth   เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:49:55 ------------------------------------------------------------ การใส่นิกอบหรือบุรก้าจะไม่เป็นประเด็นเลยถ้าหากว่าพวกเขาสวมใส่ในสถานที่ของเขาเองหรือในสุเหร่า แต่การสวมใส่ในสถานที่สาธารณะ เช่น ที่สาธารณะ อาคาร ธนาคาร โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ ทำให้เกิดการคุกคามความปลอดภัยของผู้อื่น เป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่นด้วย หากมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นก็ไม่สามารถจับตัวคนกระทำผิดมาลงโทษได้   ผมไม่สนใจที่จะมาถกเรื่องความเชื่อของคนต่างศาสนา แต่เมื่อความปลอดภัยส่วนบุคคลในที่สาธารณะของผมถูกคุกคามก็มาเสนอความเห็นไว้เท่านััน จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 10:21:34

ความคิดเห็นที่ 23 มันละเมิดความปลอดภัยยังไงครับ กฎหมายข้อไหนห้าม และมันละเมิดสิทธิผู้อื่นอย่างไร อ่ะลองบอกมาตรงๆ ซิ เพราะการที่จะขโมย ก่อการร้าย ปล้นชิง ใส่หมวกกันน็อคก็ได้ครับ หรือถ้ามีสถานที่สุ่มเสี่ยง เขาก็จะให้ถอดเอง ไม่ได้ห้ามในที่สาธารณะ มันเป็นความระแวง ความไม่ถูกใจคุณเอง มีสิทธิอะไรมาบอกว่า ละเมิดสิทธิผู้อื่น? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 10:25:15

ความคิดเห็นที่ 24 อย่างเช่นในธนาคาร เขาจะบอกว่าห้ามใส่หมวกกันน็อค อันนี้เข้าใจได้ แต่ถ้าพื้นที่อื่นเชน สวนสาธารณะ โรงเรียน ที่ต่างๆ ถ้าไม่ใช่เจ้าของที่จะมาห้ามได้อย่างไร หรือบอกว่าละเมิดได้อย่างไร? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 10:27:33

ความคิดเห็นที่ 25 อยากให้ประเทศไทยออกกฎหมายห้ามเหมือนกับประเทศฝรั่งเศสครับ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 10:51:11

ความคิดเห็นที่ 26 อย่าเลิกเลย สาวๆคลุมผมไว้ นอกจากดูเรียบร้อยดีแล้ว ยังบวกความน่ารักอีก 15% อีกด้วย (15% ในความรุ้สึกของผมเอง ) จากคุณ : Humandroy เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 11:23:51

ความคิดเห็นที่ 27 เห็นเคราเต็มสูบแบบของพี่แล้วมันเสียวเว๋ย :D จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 11:24:06

ความคิดเห็นที่ 28 ท่าน  นิแรน รบกวนอ่านตรงนี้ของผมหน่อยนะครับอาจตกหล่น ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ แต่ถ้าจ้องเรื่องความปลอดภัย ผมว่าคนงานก่อสร้าง ต่างชาติ ที่ใส่หมวกไอ้โม่ง ไหมพรม หรือชาวนา เอาผ้าปิดหน้าบังแดด ใส่หมวก  หรือ พวกตีกอล์ฟ  พอกหน้ากันแสงแดด จนจำไม่ได้ว่าเป็นใคร ใส่หมวกกันน้อคทั้งที่ไม่ได้ขี่มอร์เตอร์ไซค์ ใส่แว่นตาดำปิ้ดปี๋ หรือแม้นกระทั่งเครื่องแบบนักบวช ทุกศาสนา ก็เสื้อผ้ารุ่มร่าม ซุก ระเบิด ซุกปืน ซุกลูกหิน ไว้ข้างในก็ไม่อาจทราบได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะล้อคเป้าเรื่องฮิญาบ เกี่ยวกับความปลอดภัย ผมว่า ไม่แฟร์  แง่บๆๆๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 09:43:39 แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 09:42:07 แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 09:41:40 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy)     เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 09:41:12 ************************************************ คนจะวางระเบิด ไม่เห็นต้องระเบิดพลีชีพ  ดดยแบกอาวุธไว้ภายในร่มผ้าเลยนี่ครับ วางใต้ถุนห้างกดรีโมท ก็เดี้ยวทั้งตึก บ้านเราประเทศไทยไม่มีโจรใจถึง ไม่มีชนวนเหตุถึงกับพลีชีพ หรอกครับ อยากมากก้โจรอยากได้งบประมาณเพิ่ม หรือไม่ก้โจรอยากเปลี่ยนรัฐบาลเร็วๆๆ  มันรำคาญลูกกะตาอยู่ ได้ จะอยู่ตั้ง 12 ปี แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 11:44:57 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 11:42:30

ความคิดเห็นที่ 29 พูดถึงเรื่อง การไว้เครา แล้วก็แปลก ไม่แพ้รูป ฮิญาบ ในสตรีมุสลิม  ดังรูปใน  คห.14 และก็เช่นเดียวกัน กับพอมุสลิมคนใหน มีการไว้เครายาวๆ หน่อย มีเรื่องให้เป็นประเด็นพูดคุย ลากเรื่องราว หรือ เป็นเรื่องติดตลก ทุกที แต่กลับกัน ถ้าเป็นคุณพี่ยิว ไว้เคราบ้างหล่ะก็ มักจะไม่มีอะไรให้เป็นประเด็น เหมือน อิสลาม เลย น่าดีใจแท้  อันนี้พูดจริงๆนะคะ  ไม่ได้พูดเล่น แสดงว่าเราเป็นคนสำคัญ ของทุกคน ^^ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 11:45:04 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 11:42:48

ความคิดเห็นที่ 30 แถมอีกรูป จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 11:46:39

ความคิดเห็นที่ 31 ยิว  ฮินดู ก็มีเครา แถม ฮินดู มีทั้งเคราทั้งหนวด ทั้งขนสารพัดขน เค้าไม่โกนกัน ตลอดชีวิต ชายที่มีเครายาวที่สุดในโลก ก็ไม่ใช่อิสลาม   นักร้องนักแสดงหลายคนก็มีเครา ถ้าจะเล่นเรื่องเคราของอิสลาม ถ้าผมนึกคันขึ้นมาเล่นเรื่องไม่มีขน ของศาสนาอื่นขึ้นมาบ้าง สนุกกว่ากันไหมครับ   จะจุดพลุระวังพลุระเบิดใส่มือตนเองนะครับ   ปล ผมเองไม่มีเคราไม่มีหนวด แต่จักกะแร้ยาว แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 11:49:17 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 11:47:02

ความคิดเห็นที่ 32 ข่าวแปลก หญิงที่มีเครายาวมากที่สุดในโลก เรื่องประทับใจนี้เกิดขึ้นที่รัฐแคนซัส สหรัฐฯ เมื่อ ริชาร์ด โลเรนซ์ วัย 33 ปี ได้พบกับคุณแม่ วิเวียน วิลเลอร์ อายุ 62 ปี ที่ได้รับรองจาก กินเนสส์ บุ๊ค ออฟ เรคคอร์ด ว่าเป็น หญิงที่มีเครายาวมากที่สุดในโลก (11 นิ้ว ) ผ่านการช่วยเหลือจากสำนักงานสวัสดิการสังคมรัฐแคนซัส วิเวียน เกิดมาพร้อมโรคไฮเปอร์ไทรโคซิส (hypertrichosis) ที่ทำให้มีเส้นขนขึ้นบนใบหน้าคล้ายหนวดเคราผู้ชาย มิหนำซ้ำเมื่อเกิดมาเธอยังมีสองเพศในร่างเดียว แม่ของวิเวียนจึงให้หมอกำจัดอวัยวะบอกความเป็นชายเสีย ความผิดแปลกที่เกิดขึ้นทำให้เธอต้องทำงานอยู่ในคณะละครสัตว์ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และต้องยกริชาร์ดให้คนอื่นเลี้ยงดูตั้งแต่เขาอายุเพียง 3 ขวบ อย่างไรก็ตามล่าสุด วิเวียนจะย้ายออกจากแคลิฟอร์เนียเพื่อไปอยู่กับริชาร์ดที่แคนซัสเป็นที่แน่ นอนแล้ว จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 11:52:01

ความคิดเห็นที่ 33 ชายที่เครายาวที่สุดในโลก ครูแคนาดาเครายาวสุด แคนาดาด็อตคอมรายงานวันที่ 12 พ.ย. นายสวรรค์ สิงห์ (Sarwan Singh) ครูชาวแคนาดาเชื้อสายอินเดียวัย 42 ปีในเมืองเซอร์เรย์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา จ่อสร้างสถิติใหม่ในบันทึกกินเนสส์ บุ๊ก ด้วยการเลี้ยงเครายาวที่สุดในโลก 1.895 เมตร ในการวัดเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ทำลายสถิติเดิมของชาวอินเดียเมื่อปี 2520 ที่มีความยาว 1.83 เมตร ; ที่มา นสพ. ข่าวสด จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 11:53:14

ความคิดเห็นที่ 34 #19 ผมเคยได้ยินมาว่าการแต่งหน้าทาปาก ผิดกฎศาสนาอิสลาม ขอท่านผู้รู้ช่วยแนะนำ ? จากคุณ : Mahasati Neo เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 11:53:20

ความคิดเห็นที่ 35 อันนี้อ่ะคะ คุณพี่จิม เท่ห์ป่าวคะ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 12:00:39 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 12:00:14

ความคิดเห็นที่ 36 อยู่ๆ ก็นึกถึงรูปนี้ ภรรยาผมก็เคยสวยมากแบบ #19 แต่ตอนนี้อ้วนเป็นหมูตอนไปแล้วครับ อนิจจัง วตสังขารา  สังขารไม่เที่ยงหนอ จากคุณ : Mahasati Neo เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 12:09:29

ความคิดเห็นที่ 37 Mahasati Neo การแต่งหน้าทาปาก ก็ทำได้ ทุกอย่างอยู่ที่เจตนา เจตนาเอาไว้ล่อไอ้เข้ จะให้แต่งที่ไหนมันก็บาป ถ้าเจตนาเพื่อให้สามีตนเองดูได้บุญเสียด้วยซ้ำ อิสลามไม่ใช่สิ่งยุ่งยากครับ  คิดให้ง่ายมันก็ง่าย คิดให้ยากมันก้ยาก ทุกอย่างอยู่ที่เจตนา ต่อให้ภายนอกถูกหลักการ  แต่เจตนา สกปรก ก็ลงนรก เหมือนกันครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 12:10:12

ความคิดเห็นที่ 38 5555555 ลันตา สงสัยเวลาจะกินสปาร์เกตตี้ คงต้องกระดกเครากันกระมัง เฮ้ยยยย....ขอโทษพี่จิม ลืมตัว ไปวิพากษ์วิจารณ์ขนบนปาก บนคางชาวบ้านนะครับ ต่อแต่นี้จะไม่ทำอีกแล้ว จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 12:12:55

ความคิดเห็นที่ 39 ฮิญาบ แบบ สตรียิว จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 12:14:11

ความคิดเห็นที่ 40 #37  ...การแต่งหน้าทาปาก ก็ทำได้ ทุกอย่างอยู่ที่เจตนา... ท่านพี่จิมวินิจฉัยแบบนี้ ผมก็ดีใจมากครับที่ศาสนาอิสลามยึดเอาเจตนาเป็นสิ่งสำคัญ จากคุณ : Mahasati Neo เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 12:18:23

ความคิดเห็นที่ 41 ท่าน  นิแรน รบกวนอ่านตรงนี้ของผมหน่อยนะครับอาจตกหล่น ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ แต่ถ้าจ้องเรื่องความปลอดภัย ผมว่าคนงานก่อสร้าง ต่างชาติ ที่ใส่หมวกไอ้โม่ง ไหมพรม หรือชาวนา เอาผ้าปิดหน้าบังแดด ใส่หมวก  หรือ พวกตีกอล์ฟ  พอกหน้ากันแสงแดด จนจำไม่ได้ว่าเป็นใคร ใส่หมวกกันน้อคทั้งที่ไม่ได้ขี่มอร์เตอร์ไซค์ ใส่แว่นตาดำปิ้ดปี๋ หรือแม้นกระทั่งเครื่องแบบนักบวช ทุกศาสนา ก็เสื้อผ้ารุ่มร่าม ซุก ระเบิด ซุกปืน ซุกลูกหิน ไว้ข้างในก็ไม่อาจทราบได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะล้อคเป้าเรื่องฮิญาบ เกี่ยวกับความปลอดภัย ผมว่า ไม่แฟร์  แง่บๆๆๆๆๆ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy)     เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 09:41:12 ************************************************ คนจะวางระเบิด ไม่เห็นต้องระเบิดพลีชีพ  ดดยแบกอาวุธไว้ภายในร่มผ้าเลยนี่ครับ วางใต้ถุนห้างกดรีโมท ก็เดี้ยวทั้งตึก บ้านเราประเทศไทยไม่มีโจรใจถึง ไม่มีชนวนเหตุถึงกับพลีชีพ หรอกครับ อยากมากก้โจรอยากได้งบประมาณเพิ่ม หรือไม่ก้โจรอยากเปลี่ยนรัฐบาลเร็วๆๆ  มันรำคาญลูกกะตาอยู่ ได้ จะอยู่ตั้ง 12 ปี แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 11:44:57 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy)   เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 11:42:30 ------------------------------------------------ สนทนากับคุณพี่จิมต่อก็ยินดีครับ "เพราะฉะนั้นถ้าจะล้อคเป้าเรื่องฮิญาบ เกี่ยวกับความปลอดภัย ผมว่า ไม่แฟร์  แง่บๆๆๆๆๆ"  ผมว่าคุณพี่จิมคงเข้าใจผิดมังครับ ผ้าคลุมหัวคงไม่มีใครว่าอะไรหรอกเพราะศาสนาอื่นเช่น คริสต์ ฮินดู ก็ทำเช่นเดียวกัน เห็นจนชินตา รู้สึกเฉยๆ   การที่คนงานก่อสร้างผู้หญิงหรือชาวนาผู้หญิงที่มักคลุมผมคลุมหน้าในเวลาทำงานก็เพราะอากาศร้อน ทำงานกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ วันละแปดถึงสิบชั่วโมง แต่พวกเขาอยู่ในสถานที่ก่อสร้างหรือท้องนาอันเป็นพื้นที่เฉพาะ ไม่ใช่พื้นที่สาธารณะ เมื่อทำงานเสร็จก็เปิดผ้าคลุมผมคลุมหน้าออก กลับบ้านหรือกลับแคมป์พักคนงาน ผมไม่ได้หมายความว่า สตรีมุสลิมที่คลุมหน้าหมดนั้นทุกคนจะเป็นคนไม่ดี แต่จะบอกว่า การที่มีบุคคลคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งเดินปิดหน้าหมดเดินเพ่นพ่านอยู่ในที่สาธารณะนั้น ถ้าหากว่ามีมิจฉาชีพแฝงตัวมาในลักษณะนั้น แล้วก่ออาชญากรรมขึ้น ตำรวจก็จับไม่ได้เพราะไม่เห็นหน้า จะไปชี้ตัวผู้กระทำผิดได้อย่างไร ถ้าญาติผมหรือแม้แต่ตัวผมเองต้องตายเพราะถูกลูกหลงขณะเดินอยู่ในที่สาธารณะ ผมก็อยากให้ผู้ที่กระทำผิดนั้นถูกจับและถูกลงโทษตามกฎหมาย หรือถ้าจะมีผู้ที่ระเบิดพลีชีพก็ให้ตายไปด้วยกัน แต่จะเสียใจมากทีสุดก็คือ ตำรวจจับคนร้ายไม่ได้ครับ แล้วถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆแล้ว ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อการสูญเสียครับ ใครจะเลี้ยงดูลูกเมืยผมต่อไป หรือจะเอาใครมาทดแทนบุคคลที่ได้สูญเสียไป วัวหายแล้วจะล้อมคอกหรือ? สังคมทุกวันนี้มันไม่ได้ปลอดภัยอยางที่คุณพี่จิมคิดหรอกครับ ขนาดเปิดหน้ายังจับคนร้ายไม่ค่อยจะได้เลย   คดีครูจูหลิงหรือนายทหารสองนายที่ถูกจับข้ามคืนและถูกฆ่าตายในหมู่บ้านทางใต้เมื่อหลายปีก่อนโดยกลุ่มคนที่ปิดหน้านั้น ผู้กระทำผิดถูกจับมาลงโทษแล้วหรือยังครับ  ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่ง ผมไม่ได้เอ่ยถึงชุดที่รุ่มร่ามหรือไม่รุ่มร่ามเลย จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 12:28:52

ความคิดเห็นที่ 42 รบกสนคุณ นิแรน ชี้แจง ความเห็นนี้ของคุณ แครอท ด้วยนะคะ สงสัยเหมือนกันค่ะ  เพราะ คห.25 ของคุณ ยังตอบไม่ตรงคำถาม   ความคิดเห็นที่ 23 MsgStatus(Msv[23], 23); มันละเมิดความปลอดภัยยังไงครับ กฎหมายข้อไหนห้าม และมันละเมิดสิทธิผู้อื่นอย่างไร อ่ะลองบอกมาตรงๆ ซิ เพราะการที่จะขโมย ก่อการร้าย ปล้นชิง ใส่หมวกกันน็อคก็ได้ครับ หรือถ้ามีสถานที่สุ่มเสี่ยง เขาก็จะให้ถอดเอง ไม่ได้ห้ามในที่สาธารณะ มันเป็นความระแวง ความไม่ถูกใจคุณเอง มีสิทธิอะไรมาบอกว่า ละเมิดสิทธิผู้อื่น? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 10:25:15 ความคิดเห็นที่ 24 MsgStatus(Msv[24], 24); อย่างเช่นในธนาคาร เขาจะบอกว่าห้ามใส่หมวกกันน็อค อันนี้เข้าใจได้ แต่ถ้าพื้นที่อื่นเชน สวนสาธารณะ โรงเรียน ที่ต่างๆ ถ้าไม่ใช่เจ้าของที่จะมาห้ามได้อย่างไร หรือบอกว่าละเมิดได้อย่างไร? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 10:27:33     จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 12:33:36

ความคิดเห็นที่ 43 ความคิดเห็นที่ 22 MsgStatus(Msv[22], 22); การปิดหมดเผยแต่ตานั้น ไม่ใช่มากเกินไป เพราะไม่ได้เป็นข้อบังคับ แต่ให้ทำได้ และดีด้วยเพราะนั่นคือเป็นการปิดที่มิดชิดมากขึ้นครับ จะไปห้ามปรามทำไมถ้าเขาทำดีมากขึ้นกว่าเดิม? ถ้าคุณไม่ชอบคุณทำถูกแล้วที่ หลีกให้ห่างนะครับ ไม่ใช่คุณไม่ชอบใจแล้วสิ่งนั้นต้องผิด จากคุณ : Carroth   เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:49:55 ------------------------------------------------------------ การใส่นิกอบหรือบุรก้าจะไม่เป็นประเด็นเลยถ้าหากว่าพวกเขาสวมใส่ในสถานที่ของเขาเองหรือในสุเหร่า แต่การสวมใส่ในสถานที่สาธารณะ เช่น ที่สาธารณะ อาคาร ธนาคาร โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ ทำให้เกิดการคุกคามความปลอดภัยของผู้อื่น เป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่นด้วย หากมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นก็ไม่สามารถจับตัวคนกระทำผิดมาลงโทษได้   ผมไม่สนใจที่จะมาถกเรื่องความเชื่อของคนต่างศาสนา แต่เมื่อความปลอดภัยส่วนบุคคลในที่สาธารณะของผมถูกคุกคามก็มาเสนอความเห็นไว้เท่านััน จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 10:21:34 ความคิดเห็นที่ 25 MsgStatus(Msv[25], 25); อยากให้ประเทศไทยออกกฎหมายห้ามเหมือนกับประเทศฝรั่งเศสครับ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 10:51:11   แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 12:38:19 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 12:36:45

ความคิดเห็นที่ 44 จากเรื่องฮิญาบ กลายเป็นเรื่องนิกอบ ส่วนตัวไม่เห็นดว้ยกับนิกอบ โดยเฉพาะในภาวะและพื้นที่เสี่ยงที่เกิดวินาศกรรม มีหลายกรณีที่ ผู้ชายใส่นิกอบ ไปปาระเบิดซึ่งเป็นเรื่องทีเ่กิดขึ้น และทำได้ เพราะเราไม่สาารถระบุ รุปพรรณสัณฐานอะไรเมื่อเกิดเหตุ ดังนั้น การใส่นิกอบในพื้นที่สีแดง ผมมองว่าเป็นการละเมิดความปลอดภัย ของผู้ือื่นครับ อย่างไม่ต้องสงสัย และ ผมคิดว่าเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวเกินไปที่จะไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ ในการรักษาความปลอดภัยโดยรวมของสังคม   ในประเด็นเรื่องดีกว่าไม่ดีกว่า ผมคงไม่ไปจับตรงนั้น เป็นเรื่องของตัวเค้ากับพระเจ้า แต่ ถ้าพูด ดีกว่า ต่อส่วนรวม แค่ฮิญาบก็พอครับโดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง อิสลามสอนให้เราคิดถึงผู้อื่นด้วย ไม่ใช่แค่ตัวเอง ลองเอาเรื่องนี้มาชั่งน้ำหนักกันดูนะครับ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 13:05:43

ความคิดเห็นที่ 45 ^ ง่ายๆครับ ผมมีสิทธิอย่างเต็มที่ในความปลอดภัยส่วนบุคคลของผมเอง :) จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 13:06:46

ความคิดเห็นที่ 46 ขอถามคุณ Yaoharee   พื้นที่เสี่ยงเกิดวินาศกรรม เช่น อะไรบ้างคะ   เพราะถ้าจะว่ากันจริงๆ  พื้นที่ทุกพื้นที่มันก็สุ่มเสี่ยงจะโดนกันทั้งนั้น เช่น ในมัสยิด ตามที่คุณ นิแรน กล่าวมา ว่าให้ใส่ได้ แต่อย่าใส่ไปข้างนอก พูดถึงมันก็เป็นพื้นที่สุ่มเสี่ยงได้เช่นกัน จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 13:35:40

ความคิดเห็นที่ 47 ถ้าคนมันไม่สุจริต คิดจะปาระเบิด ที่ใหนมันก็ทำได้ น่ะค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 13:39:31

ความคิดเห็นที่ 48 พื้นที่เสี่ยงในความเห็นของผมเช่นพื้นที่เคยเกิดการก่อวินาศกรรมเช่น ถ้าเอาในไทยก็กลางเืืมืองยะลา หรือสามจังหวัด ผมอยากให้ลองคิดแบบนี้ ทำไมเซเว่นถึงห้ามใส่หมวกกันน๊อกเข้าไป เพราะถ้าเกิดการขโมยขึ้นกล้องวงจรผิดจะไม่เห็นหน้าผู้ก่อเหตุ กรณีเดียวกันครับ ต้องเข้าใจว่า เงื่อนไขการปกปิดรุปพรรณไม่ได้มีใช้แต่คนกับมุสลิม แต่หลักการนี้ใช้กับทั่วไป ถ้าปกปิดจนไม่สามารถระบุรูปพรรณได้ ก็ย่อมเกิดความไม่ปลอดภัยต่อบุคคลอื่น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และ ผมมองว่าไม่ใช่ประเด็นการโจมตีทางศาสนา เป็นเรื่องความปลอดภัยร่วมแค่นั้น จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 13:46:53

ความคิดเห็นที่ 49 ส่วนตัวคิดว่า มันใส่ได้ทุกที่ค่ะ ตราบใดที่ไม่ผิดกฏหมาย แต่ว่า ถ้าสถานที่ใหนขอความร่วมมือ ในเรื่องของความปลอดภัย เรามุสลิมเองก็ควรที่จะให้ความร่วมมือ ด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ให้ ก็ไม่ต้องเข้าไปในพื้นที่ ก็แค่นั้นเอง เช่น เวลาเข้าไปในแบงค์ เข้าไปในร้านทอง หรือ พื้นที่อื่นๆ ที่เจ้าของ มีสิทธิ์จะขอความร่วมมือ น่ะค่ะ เพื่อความสบายใจของตัวเจ้าของเอง จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 13:48:03

ความคิดเห็นที่ 50 และที่เจ้าของ มีต่อผู้อื่น จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 13:51:55

ความคิดเห็นที่ 51 ตามที่คุณนิเรน ว่า ด้วยหลักความปลอดภัยส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับเรื่องศาสนา ผมยินดีถ้าจะปุจฉาโดยที่ไม่มีประเด็นศาสนามาเกี่ยวข้อง หรือวาระซ่อนเร้น ทุกคนมีสิทธ์ห่วงเรื่องความปลอดภัย การสวม "นิกอบ" เป็นสิ่งที่มากกว่าคำว่า "ฮิญาบ" จะหวงห้ามการสวม "นิกอบ" ตามกฎหมายท้องถิ่นนั้นๆ ไม่ถือว่าริดรอนสิทธิมนุษยชนในระดับศาสนา เป็นสิทธที่พึงกระทำได้ ตามเกมส์ แต่ถ้าวันใดมีการหวงห้ามการคลุม "ฮิญาบ" ซึ่งเป็นหลักการตามศาสนาอิสลามที่เปิดได้เฉพาะใบหน้าและฝ่ามือ นั้น ก็ถือว่าเป็นการริดรอนสิทธ์ในการยึดถือตามหลักความเชื่อทางศาสนาซึ่งสวนทางกัน ก็ต้องมีประเด้นมาถกกันอีกยาว     จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 14:21:35

ความคิดเห็นที่ 52 ประเด็นหลักคิดง่ายๆ  คือ กาลเทศะ เมื่อเจ้าของบ้านบอกว่าต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านเค้า อย่างไรมันก็ต้องถอด ถ้าไม่อยากถอดก็ไม่ต้องเข้าบ้านเค้านั้นเอง แต่ถ้าเดินถนนแล้วมาบอกให้ถอดรองเท้าถอดเสื้อออก นั้นแหละถือว่าริดรอนสิทธ์ โดยสิ้นเชิง แต่ถ้าเกลี่ยปัญหาไม่อยากให้ล้ำเส้นกันมาก ก็ขีดโซนไป อย่างที่ท่าน Yaoharee บอกนั้นแหละครับ พิจรณา หรือประชามติ ในท้องถิ่นนั้นๆ ว่าต้องการแบบใด โดยที่ไม่ต้องมีอคตินิยม มาเจือปน ถ้าโซนนั้นบอกว่า สวม "นิกอบ" แล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย คนสวม "นิกอบ" ก็ไม่ต้องไปเดิน ทางกลับกัน ถ้าโซนใดบอกว่า สวม "นิกอบ" เดินถนนได้ คนอยากปลอดภัยก็ต้องรับความเสี่ยงเอาเอง หลักคิดง่ายๆก็มีดั่งนี้ไม่ต้องคิดให้ซับซ้อนมากมาย   จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 14:28:25

ความคิดเห็นที่ 53 งั้นก็คงจะเเล้วเเต่คนนะครับ  ส่วนตัวผมคิดว่าไม่สวมจะดีกว่า ถ้าไม่ผิดมาก จะได้ทลายกำเเพงบางอย่างได้เเน่นอน  เเม้บางคนจะบอกไม่เห็นมี  เเต่มันก็มีนั่นเเหละ ไม่มากก็น้อย  ผมคิดว่าความสำคัญสูงสุดของศาสนาน่าจะเป็นเรื่องของคุณธรรมในจิตใจมากกว่าครับ คิดดี ทำดี เรื่องอื่นๆรองลงมา ปล.สำหรับผมนะ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 14:32:34 จากคุณ : Jung Eun Cute เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 14:31:59

ความคิดเห็นที่ 54 คุณ Jung Eun Cute จขกท ตกลง เข้าใจหรือยังว่า "นิกอบ " กับ "ฮิญาบ" และตามหัวข้อกระทู้ของท่าน มีคำว่า "คลุมศรีษะ" ""เป็นไปได้ไหมว่าชาวไทยมุสลิมจะเลิกคลุมศีรษะ เเละใบหน้า"" ตกลง มุสลิม คลุมฮิญาบ คลุมหัวได้ หรือไม่ได้ ละครับ ถ้าได้ก็โอเคไป แต่ถ้าไม่ได้ คงต้องยาว นะครับ ว่า ต้องไม่มีมาตรฐาน ต่อแต่นี้ใครจะคลุมผม ไม่ว่าคลุมแบบไหนก็แล้วแต่ ห้าม และไม่เห็นด้วย แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 14:51:56 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 14:51:27

ความคิดเห็นที่ 55 ได้ครับถ้าคลุมหัว  เเต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี เพราะมันก็ไม่น่ากระทบเรื่องอะไรเลยเรื่องเห็นผมไม่เห็นผม(ความเห็นว่สนตัว) เเต่ก็ไม่ว่ากัน สิทธิส่วนบุคคล ไม่ได้ผิดกฏหมาย   เเต่คลุมหน้าไม่เห็นด้วยอย่างมาก โดยเฉพาะเเถวบ้านผม ซึ่งอาจเป็นช่องว่างให้ผู้ไม่หวังดีนำมาก่อความไม่สงบโดยปกปิดใบหน้าได้ เเค่ผมใส่หมวกเดินเข้าห้างคนก็มองกันเต็มเเล้วครับ เข้าใจนะครับ จากคุณ : Jung Eun Cute เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 15:28:12

ความคิดเห็นที่ 56 ในสมัยก่อนอิสลาม มีการคลุ่มผมเพื่อป้องกันฝุ่น แต่เมื่อบทบัญญัติ เรืองฮีญาบลงมาจึงให้ผู้หญิงดึงผ้าคลุ่มลงมาปิดอกด้วย  ฮีญาบ มีเป้าหมายเพื่อปกป้องสัตรีจากพวกผู้ชาย  แต่ผ้าคลุ่มผม มีเป้าหมายเพื่อป้องกันฝุนเท่านั้น   อัล-กุรอาน กล่าวถึงเรื่อง ฮิญาบ และการมองเพศที่แต่งงานกันได้ไว้เกินกว่า  10 โองการ ซึ่งหนึ่งในโองการนั้นคือ โองการที่ 59 บท อัลอะฮฺซาบ ที่กล่าวว่า يَا أَيُّهَا النَّبِيُّ قُل لِّأَزْوَاجِكَ وَبَنَاتِكَ وَنِسَاءِ الْمُؤْمِنِينَ يُدْنِينَ عَلَيْهِنَّ مِن جَلَابِيبِهِنَّ ذَلِكَ أَدْنَى أَن يُعْرَفْنَ فَلَا يُؤْذَيْنَ وَكَانَ اللَّهُ غَفُورًا رَّحِيمًا โอ้ นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺ ทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 19:51:14 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 19:50:17

ความคิดเห็นที่ 57 ฮิญาบในกุรอาน ฮิญาบ คือ การปกปิดอันถูกต้องสำหรับสตรีซึ่งจัดว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลมากที่สุดในการปกป้อง และดูแลครอบครัว สตรีที่ไม่ปกปิดศีรษะและเรือนร่างของเธอนั้น เท่ากับเป็นการจุดไฟแห่งอารมณ์ของบุรุษให้ลุกโชติช่วง เปิดประกายสายตาของเขาให้เบิกออก จุดประสงค์และปรัชญาของฮิญาบ 1) ความเข้าใจเกี่ยวกับฮิญาบ การปกปิด (ฮิญาบ) สายตา การปกปิด (ฮิญาบ) คำพูด การปกปิด (ฮิญาบ) ความประพฤติ การปกปิด (ฮิญาบ) ความบริสุทธิ์ การปกปิด (ฮิญาบ) ของสุภาพสตรีที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ฮิญาบคืออุปสรรคสำคัญในหน้าที่การงานทางสังคมหรือ คำว่า ฮิญาบ มาจากรากศัพท์คำว่า (    حجب يَحجِبُ حجْبًا و حِجاَبًا و حَجَّبَ) หมายถึง ซ่อน ปกปิด กีดกั้น คลุมหน้า นอกนอก ดังนั้น ฮิญาบ ในอิสลามจึงหมายถึง ผ้าคุมศีรษะของสตรี อัล-กุรอาน กล่าวถึงเรื่อง ฮิญาบ และการมองเพศที่แต่งงานกันได้ไว้เกินกว่า  10 โองการ ซึ่งหนึ่งในโองการนั้นคือ โองการที่ 59 บท อัลอะฮฺซาบ ที่กล่าวว่า يَا أَيُّهَا النَّبِيُّ قُل لِّأَزْوَاجِكَ وَبَنَاتِكَ وَنِسَاءِ الْمُؤْمِنِينَ يُدْنِينَ عَلَيْهِنَّ مِن جَلَابِيبِهِنَّ ذَلِكَ أَدْنَى أَن يُعْرَفْنَ فَلَا يُؤْذَيْنَ وَكَانَ اللَّهُ غَفُورًا رَّحِيمًا โอ้ นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺ ทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ อัล-กุร บทนูร โองการที่ 31 กล่าวถึง ..กล่าวถึงเรื่องฮิญาบและการมองเพศที่สามารถแต่งงานกันได้ว่า..... และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอหรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี)หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ  หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺ เถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ ฮิญาบ คือ การปกปิดอันถูกต้องสำหรับสตรีซึ่งจัดว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลมากที่สุดในการปกป้อง และดูแลครอบครัว สตรีที่ไม่ปกปิดศีรษะและเรือนร่างของเธอนั้น เท่ากับเป็นการจุดไฟแห่งอารมณ์ของบุรุษให้ลุกโชติช่วง เปิดประกายสายตาของเขาให้เบิกออก และสาดส่องสายตาไปตามอารมณ์และอำนาจฝ่ายต่ำโดยไม่อาจควบคุมได้อีก ตั้งมากมายของอาชญากรรมที่เกิดขึ้น หรือความเสื่อมทรามทางสังคมทีไม่อาจคำนวณนับได้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากบทบาทของสตรีที่ไม่คลุมผ้าให้มิดชิด ซึ่งชายแปลกหน้าทั้งหลายบนโลกนี้ล้วนตกเป็นเหยื่อความสวยงามเหล่านั้นทั้งสิ้น ฮิญาบ คือองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยรักษาความบริสุทธิ์และศักดิ์ศรีของสตรี เป็นเสมือนป้อมปราการที่คอยปกป้องเธอให้รอดปลอดภัยตลอดเวลา จากการถลำไปในความชั่วร้ายอนาจาร หรือการกระทำที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลาย นอกจากนั้นแล้ว ฮิญาบ ยังช่วยเสริมสร้างเกียรติยศและทำให้สตรีคนนั้นได้รับเกียรติ และได้ความเคารพจากบุคคลอื่น อีกทั้งยังทำให้เธออกห่างจากความผิดบาป ในสังคมที่มีสตรีคลุมผ้าอย่างเรียบร้อยไปไหนมาไหนพร้อมผ้าคลุมศีรษะ กลุ่มเยาวชนก็จะสบายใจมีความสงบและจะมุ่งอยู่การงานของตน ไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน หรือมีสิ่งอื่นมาช่วยกระตุ้นให้อารมณ์ฟุ้งซ่านเข้าไปสู่จินตนาการต่างๆ  แน่นอนว่ากลุ่มเยาวชนเหล่านี้จะตัดสินใจสมรสในเวลาอันสมควร ตามหลักการศาสนาอิสลามจะให้ความสำคัญกับฮิญาบเป็นพิเศษ ดังจะหยิบยกตัวอย่างต่อไปนี้ ความเข้าใจเกี่ยวกับฮิญาบ คำว่าฮิญาบ ตามหลักภาษามาจากรากศัพท์คำว่า (    حجب يَحجِبُ حجْبًا و حِجاَبًا و حَجَّبَ) หมายถึง ซ่อน ปกปิด กีดกั้น คลุมหน้า นอกนอก ส่วนใหญ่คำนี้จะถูกใช้ในความหมายของผ้าม่าน หรือม่านที่กั้นเขตแดน ซึ่งคำนี้ให้ความหมายว่า ปกปิด จึงถูกใช้ในความหมายของการปิดกั้น หรือการปิดด้วยสิ่งนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกการปกปิดคือ ฮิญาบ ทว่าการปกปิดที่เรียกว่า ฮิญาบ หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากม่านที่กั้น ฮิญาบ หมายถึง การปกปิดของสตรีมุสลิม ซึ่งมี 2 องค์ประกอบสำคัญกล่าวคือ ในแง่ดีและไม่ได้ ฮิญาบที่เป็นไปในทางบวกหรือในแง่ดีหมายถึง ข้อบังคับที่ให้คลุมหรือปกปิดเรือนร่าง ส่วนฮิญาบในแง่ลบหมายถึงการอวดหรือแสดงเรือนร่างของตนแก่สายตาอื่นทั่วไป ซึ่งถือว่าฮะรอม ซึ่งทั้งสององค์ประกอบของฮิญาบนี้ต้องอยู่เคียงข้างกันเสมอ เพื่อให้ฮิญาบในอิสลามดูโดดเด่นและเป็นจริง บางครั้งอ้างเป็นไปได้ว่า ฮิญาบนั้นมีเฉพาะองค์ประกอบแรกแต่ไม่มีองค์ประกอบที่สอง กรณีนี้ไม่ถือว่านั่นเป็นฮิญาบในอิสลาม แต่ถ้า ฮิญาบ ในความหมายรวมทั่วไปกล่าวคือ ทุกๆ การปกคลุมที่ป้องกันตนไม่ให้กระทำความผิด หรือล่วงละเมิดไปในความผิด ถ้าให้ความหมายเช่นนี้แสดงว่า ฮิญาบ มีหลายประเภทและมีความแตกต่างกันออกไป  เช่น ฮิญาบทางปัญญา ทางความคิด และฮิญาบทางจิตวิญญาณ เช่น ความเชื่อในหลักเอกภาพของพระเจ้า นบูวัต มะอาด เหล่านี้จัดว่าเป็น ฮิญาบทางปัญญา ความคิด และจิตวิญญาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยปกป้องบุคคลนั้นให้ออกห่างจากการปฏิเสธ การตั้งภาคีเทียบเคียง และสิ่งที่เป็นมนทิลทางปัญญา นอกจากนั้นอัล-กุรอาน ยังกล่าวถึง ฮิญาบ ในประเภทต่างๆ ไว้อีกมากมาย เช่น ฮิญาบที่ปกป้องความประพฤติของมนุษย์ที่แสดงออกทางอากัปกริยาภายนอก เช่น ฮิญาบและการปกปิดด้านการมองของบุรุษและสตรีที่แต่งงานกันได้ เมือได้เผชิญหรือประสบหน้ากัน จุดประสงค์และปรัชญาของฮิญาบ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 19:52:25 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 19:51:46

ความคิดเห็นที่ 58 จุดประสงค์และปรัชญาของฮิญาบ เป้าหมายหลักของการสถาปนาหลักคำสอนและบทบัญญัติในอิสลามก็คือ การเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าด้วยสื่อของความสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ (ซบ.) หรือเรียกว่าตักวา ดังที่อัล-กุรอานกล่าวว่า إِنَّ أَکْرَمَکُمْ عِنْدَ اللَّهِ أَتْقاکُمْ แท้จริง บุคคลที่มีเกียรติยิ่ง ณ อัลลอฮฺ คือ ผู้มีความสำรวมตน อัล-กุรอีกโองการหนึ่งในบทอัล-ญุมุอะฮฺ กล่าวว่า هُوَ الَّذِي بَعَثَ فِي الْأُمِّيِّينَ رَسُولًا مِّنْهُمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِن كَانُوا مِن قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ พระองค์ทรงแต่งตั้งเราะซูลผู้ไม่รู้หนังสือขึ้นจากหมู่พวกเขา เพื่อสาธยายโองการต่าง ๆ ของพระองค์แก่พวกเขา ทำการขัดเกลาพวกเขาให้บริสุทธิ์ สอนคัมภีร์และวิทยปัญญาแก่พวกเขา แม้ว่าก่อนนี้พวกเขาจะอยู่ในการหลงผิดอันชัดแจ้งก็ตาม จากโองการสรุปได้ว่า เป้าหมายของการสถาปนาหลักการอิสลามและบทบัญญัติ ตลอดจนข้อบังคับเรื่องฮิญาบในอิสลาม ก็เพื่อการยกระดับจิตวิญญาณให้สูงส่ง เพื่อความสะอาด ความบริสุทธิ์ทางเพศ อีกโองการหนึ่งกล่าว โอ้ เราะซูล จงกล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายว่า จงปกปิดสายตาจากการมองที่ไม่เหมาะสม และจงปกป้องอวัยวะเพศของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ ซึ่งสิ่งนั้นจะช่วยขัดเกลาพวกเขาให้สะอาด (สายตาและร่างกาย) قُل لِّلْمُؤْمِنِينَ يَغُضُّوا مِنْ أَبْصَارِهِمْ وَيَحْفَظُوا فُرُوجَهُمْ ذَلِكَ أَزْكَى “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมิน ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำและให้พวกเขารักษาเพศของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา” (อัล-กุรอาน บทนูร / 30) การปกปิด (ฮิญาบ) สายตา อัล-กุรอาน บทนูร โองการที่ 30 – 31 กล่าวถึง การปกปิดสายตาว่า قُل لِّلْمُؤْمِنِينَ يَغُضُّوا مِنْ أَبْصَارِهِمْ “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมิน ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ” การปกปิด (ฮิญาบ) คำพูด อีกประเภทหนึ่งของ ฮิญาบ หรือการปกปิดในอัล-กุรอานคือ การปกปิดคำพูด เมื่ออยู่ต่อหน้านามะฮะรัม (ชายหรือหญิงที่สามารถแต่งงานกันได้) โดยกล่าวว่า إِنِ اتَّقَيْتُنَّ فَلَا تَخْضَعْنَ بِالْقَوْلِ فَيَطْمَعَ الَّذِي فِي قَلْبِهِ مَرَضٌ وَقُلْنَ قَوْلًا مَّعْرُوفًا “ถ้าเธอสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ เธอก็ไม่ควรพูดจาเพราะพริ้งนัก เพราะจะทำให้ผู้ที่ในหัวใจของเขามีโรคเกิดความโลภ แต่จงพูดด้วยถ้อยคำที่พอเหมาะพอควร” (อัล-กุรอาน บทอะฮฺซาบ / 32) การปกปิด (ฮิญาบ) ความประพฤติ อีกประเภทหนึ่งของการปกปิด (ฮิญาบ) คือ การปกปิดการกระทำและความประพฤติของสตรี เมื่ออยู่ต่อหน้าชายที่เป็นนามะฮฺรัม อัล-กุรอาน ตรัสว่า โอ้ สตรีสูเจ้าจงอย่างเดินอวดหรือลงส้นเท้าจนเห็นเครื่องประดับของสูเจ้า อัล-กุรอานกล่าวว่า وَ لا يضْرِبْنَ بِأَرْجُلِهِنَّ لِيُعْلَمَ ما يُخْفِينَ مِنْ زِينَتِهِنَّ อย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ (อัล-กุรอาน บท นูร / 31) จากสิ่งที่อธิบายมาทั้งหมดทำให้ประจักษ์ว่า ฮิญาบ ในอิสลาม หมายถึง การปกปิด หรือการกีดกันการกระทำร่วมระหว่างบุรุษและสตรีที่เป็นนามะฮฺรัม หรือการแสดงออกทางความประพฤติระหว่างทั้งสองในอากัปกิริยาต่างๆ เมื่อเข้าอยู่ร่วมกัน เช่น ระเบียบหรือลักษณะของการคลุมผ้า การมอง การพูดคุย หรือการเดิน ด้วยเหตุนี้  ฮิญาบ หรือการปกปิดตามหลักการอิสลาม จึงอยู่ในฐานะของสิ่งกีดขวางบุคคลอื่นที่จะระราน โดยมีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งหรือล่วงละเมิด การปกปิด (ฮิญาบ) ความบริสุทธิ์ คำ 2 คำกล่าวคือ ฮิญาบ และ ความบริสุทธิ์ ตามความหมายเดิมจะมีความหมายร่วมกันกล่าวคือ หมายถึง การกีดขวาง หรืออุปสรรค ดังนั้น ความแตกต่างระหว่างฮิญาบและความบริสุทธิ์ ระหว่าง อุปสรรคและการปกคลุมของฮิญาบ เป็นความแตกระหว่างภายนอกและภายในเท่านั้น หมายถึง การกีดขวางภายนอกเป็นหน้าที่ของ ฮิญาบ ส่วนการกีดขวางหรือการปกป้องความบริสุทธิ์เกี่ยวข้องกับเรื่องภายใน เนื่องจาก ความบริสุทธิ์นั้น เป็นสภาพภายในจิตใจ แน่เนื่องจากภายนอกนั้นมีผลต่อภายใน และภายในมีผลต่อภายนอก อันถือว่าเป็นคุณสมบัติพิเศษของมนุษย์บุถุชนทุกคน ฉะนั้น ระหว่างฮิญาบ กับการปกปิดภายนอก และความบริสุทธิ์ หรือการกีดขวางด้านในของมนุษย์ มีความหมายใกล้เดียวกันทั้งหมด ดังนั้น ถ้าฮิญาบภายนอกปกปิดมิดชิดมากเท่าใด สิ่งนี้ก็จะมีผลต่อสภาพภายในจิตใจของมนุษย์มากเท่านั้น ในทางกลับกัน ถ้าจิตวิญญาณภายในมีความบริสุทธิ์มากเท่าใด ฮิญาบภายนอกของเขาก็จะมีความเป็นระเบียบและรัดกุมมากยิ่งขึ้น เมื่ออยู่ต่อหน้าชายอื่นที่เป็นมะฮฺรัม การปกปิด (ฮิญาบ) ของสุภาพสตรีที่มีสุขภาพสมบูรณ์ อัล-กุรอานกล่าวถึงผลสะท้อนทั้งสองด้านของฮิญาบเอาไว้ ประการแรก อัล-กุรอานกล่าว แก่สตรีที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงว่าอนุญาตให้เธอถอดเสื้อคลุม เช่น ชาดอร์ ที่ปกปิดเรือนร่างของเธอได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าชายอื่น แต่ต้องไม่มีเจตนาเพื่อโอ้อวด อย่างไรก็ตามในตอนท้ายโองการกล่าวว่า ถ้าเธอมีความละอายก็จงอย่างถอดแม้แต่ชาดอร์ ก็ตาม وَالْقَوَاعِدُ مِنَ النِّسَاءِ اللَّاتِي لَا يَرْجُونَ نِكَاحًا فَلَيْسَ عَلَيْهِنَّ جُنَاحٌ أَن يَضَعْنَ ثِيَابَهُنَّ غَيْرَ مُتَبَرِّجَاتٍ بِزِينَةٍ وَأَن يَسْتَعْفِفْنَ خَيْرٌ لَّهُنَّ وَاللَّهُ سَمِيعٌ عَلِيمٌ และบรรดาหญิงวัยชราซึ่งพวกนางไม่ปรารถนาที่จะสมรสแล้ว ไม่เป็นที่ตำหนิแก่พวกนางที่จะเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก โดยไม่เปิดเผยส่วนงดงาม  และหากพวกนางงดเว้นเสียก็จะเป็นการดีแก่พวกนาง อัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้ (อัล-กุรอาน บทนูร / 60) นอกจากความสัมพันธ์ที่กล่าวผ่านมาแล้วคือ ระหว่างการปกปิดภายนอก กับความบริสุทธิ์ภายใน ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องหมายกับเจ้าของเครื่องหมายอยู่อีก หมายถึง ขอบเขตของฮิญาบภายนอก เป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกให้เห็นความบริสุทธิ์อันเฉพาะเจาะจงภายใน และเจ้าของความบริสุทธิ์นั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า สตรีทุกคนที่คลุมผ้าภายนอกอย่างมิดชิดแล้ว ภายในของเธอจะสะอาดหมดจรดไปทุกขั้นตอน ฮิญาบในอัล-กุรอาน وَ قُلْ لِلْمُؤْمِناتِ يَغْضُضْنَ مِنْ أَبْصارِهِنَّ وَ يَحْفَظْنَ فُرُوجَهُنَّ وَ لا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلاّ ما ظَهَرَ مِنْها وَ لْيَضْرِبْنَ بِخُمُرِهِنَّ عَلى جُيُوبِهِنَّ وَ لا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلاّ لِبُعُولَتِهِنَّ أَوْ آبائِهِنَّ أَوْ آباءِ بُعُولَتِهِنَّ أَوْ أَبْنائِهِنَّ أَوْ أَبْناءِ بُعُولَتِهِنَّ أَوْ إِخْوانِهِنَّ أَوْ بَنِي إِخْوانِهِنَّ أَوْ بَنِي أَخَواتِهِنَّ أَوْ نِسائِهِنَّ أَوْ ما مَلَكَتْ أَيْمانُهُنَّ أَوِ التّابِعِينَ غَيْرِ أُولِي الإِرْبَةِ مِنَ الرِّجالِ أَوِ الطِّفْلِ الَّذِينَ لَمْ يَظْهَرُوا عَلى عَوْراتِ النِّساءِ وَ لا يَضْرِبْنَ بِأَرْجُلِهِنَّ لِيُعْلَمَ ما يُخْفِينَ مِنْ زِينَتِهِنَّ وَ تُوبُوا إِلَى اللّهِ جَمِيعاً أَيُّهَا الْمُؤْمِنُونَ لَعَلَّكُمْ تُفْلِحُونَ “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมินะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาของสงวนของพวกเธอไว้ อย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ อย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ  และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺเถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ” (อัล-กุรอาน บทอันนูร / 31) กฎเกณฑ์ข้อที่ 3 จากโองการที่กำลังกล่าวถึงคือ สตรีมุสลิมสามารถเปลื้องผ้าคลุมศีรษะของเธอต่อหน้าพวกเขาได้  หรือสามารถแสดงเครื่องประดับภายในแก่พวกเขาได้ อัล-กุรอาน กล่าว ว่า  อย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ (وَ لا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلاّ ) 1) สามีของพวกเธอ 2) บิดาของพวกเธอ 3) บิดาของสามีของพวกเธอ 4) ลูกชายของพวกเธอ 5) ลูกชายสามีของพวกเธอ 6) พี่ชายน้องชายของพวกเธอ 7) ลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอ 8) หรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ 9) พวกผู้หญิงของพวกเธอ 10) หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) 11) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ 12) หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 19:53:51

ความคิดเห็นที่ 59 ขอบเขตของฮิญาบ 1) ใบหน้าและมือได้รับการยกเว้น ระเบียบของฮิญาบในการคลุมตรงนี้ รวมไปถึงใบหน้าและสิ่งที่อยู่ใต้ข้อมือด้วยหรือไม่ ... ประเด็นดังกล่าวมีความการากล่าวถึงกันอย่างมาก  ในหมู่นักปราชญ์อิสลาม (ฟุเกาะฮา) ซึ่งส่วนใหญ่มีความเชื่อ และมีความเห็นพร้องกันว่า การคลุมตรงส่วนดังกล่าว (ใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง) ได้รับการยกเว้น บางกลุ่มของนักปราชญ์ กล่าวว่า วาญิบให้ปกปิดส่วนดังกล่าว หรืออย่างน้อย อิฮฺติยาฏ ให้ปิดดีกว่า ส่วนทัศนะของนักปราชญ์บางกลุ่มที่กล่าวว่า ไม่วาญิบต้องปกปิด นั้นมีเงื่อนไขว่าต้องไม่เป็นการก่อให้เกิดความเสียหาย หรือความเสื่อมทราม หรือการก่อให้เกิดความหันเห มิเช่นนั้นแล้ว วาญิบต้องปิด โองการข้างต้น นั้นกล่าวสนับสนุนทัศนะแรกกล่าวคือ การคลุมตรงส่วนดังกล่าว (ใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง) ได้รับการยกเว้น เนื่องจากคำว่า  «زينت» นั้นไม่ว่าจะหมายถึง บริเวณของสิ่งประดับ หรืออาจหมายถึง «زينت ظاهر» สิ่งประดับที่เปิดเผยหรือมองเห็นได้ ทำให้ได้บทสรุปว่า การยกเว้นบริเวณดังกล่าว เป็นเหตุผลชัดเจนว่า การปิดใบหน้าและฝ่ามือไม่จำเป็น การที่อัล-กุรอาน กล่าวว่า และให้เธอดึงผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ เข้าใจได้ว่าจำเป็นต้องปิดศีรษะทั้งหมดของเธอ คอ และหน้าอก ซึ่งไม่ได้หมายรวมถึง ใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง ประเพณีอาหรับสมัยก่อนนั้นจะนิยมคลุมผ้าด้วยผ้าผืนเล็ก ทำให้มองเห็นสัดส่วนบางอย่าง หรือเวลาคลุมมักจะคลุมโดยเปิดให้เห็นหูทั้งสองข้าง ปิดเฉพาะศีรษะและต้นคอด้านหลัง ส่วนใต้คางและหน้าอกนั้นไม่ได้ปิด หลังจากอิสลามได้ถูกประกาศอย่างเป็นทางการ ได้แก้ไขจุดดังกล่าวและสั่งว่า ให้เธอดึงผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ นั่นหมายความว่า เฉพาะวงหน้าเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้น ส่วนบริเวณอื่นต้องปิดทั้งหมด ริวายะฮฺ ในแหล่งอ้างอิงของอิสลามกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวไว้มากพอสมควร ถึงแม้ว่าจะมีบางริวายะฮฺขัดแย้งก็ตาม  (วะซาอิลุชชีอะฮฺ เล่ม 14 หน้า 145 บาบ 109 บทนำหัวข้อเรื่อง นิกาฮฺ) ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า สิ่งนี้ไม่ได้บ่งบอกว่า วาญิบต้องปิดหน้าและฝ่ามือ แต่ถ้านำเอาริวายะฮฺเหล่านั้นมารวมกัน อาจเป็นไปได้ว่า อาจเป็นมุสตะฮับที่ว่า  การปิดใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง หรือการปิดบริเวณดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย หรือความเสื่อมทรามบางอย่าง ประวัติศาสตร์ก็ยืนยันให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การปิดหน้าของสตรีในยุคแรกของอิสลาม ไม่ได้ข้อปฏิบัติโดยทั่วไปของสังคม (ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก ปัญหาฟิกฮฺ และริวายะฮฺ ในหมวดหัวข้อ นิกาฮฺในฟิกฮฺอิสลาม) แต่อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าว ต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรือการหลงผิดของสังคม มิเช่นนั้นแล้ว หรือการได้รับการยกเว้นตรงส่วนดังกล่าว ก็มิได้หมายความว่า เป็นการอนุญาตให้ฝ่ายชายจ้องมองตามอำเภอใจ ซึ่งในความเป็นจริงการอนุญาตดังกล่าวบ่งบอกให้เห็นความเรียบง่ายของการปฏิบัติมากกว่า 2) จุดประสงค์คำว่า พวกผู้หญิงของพวกเธอ  (أَوْ نِسائِهِنَّ) พวกผู้หญิงของเธอ คือ กลุ่มชนที่เก้าที่ได้รับการยกเว้นเอาไว้ ซึ่งหญิงคนนั้นมีสิทธิแสดง เครื่องประดับด้านในของเธอให้หญิงด้วยกันเห็นได้ แต่การที่โองการกล่าวว่า   พวกผู้หญิงของเธอ หมายความว่า หญิงมุสลิมสามารถเปิดผ้าคลุมศีรษะของนางต่อหน้าหญิงมุสลิมด้วยกันได้เท่านั้น ดังนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงที่มิได้เป็นมุสลิมเธอควรจะปิดปิดหรือคลุมศีรษะให้มิดชิด ปรัชญาของการกระทำดังกล่าวอยู่ตรงที่ว่า หลังจากเธอจากไปแล้วหญิงที่ไม่ใช่มุสลิมจำนำเอาสิ่งที่นางเห็นไปสาธยายให้สามี หรือคนใกล้ชิดกับนางได้รับรู้ ซึ่งสิ่งนี้ไม่ถูกต้องสำหรับหญิงที่เป็นมุสลิม ในหนังสือ มันลายะฮฺเฏาะรุลฟะกีฮฺ บันทึกรายงานของท่านอิมาม ซอดิก (อ.) ไว้ว่า لا يَنْبَغِى لِلْمَرْأَةِ أَنْ تَنْكَشِفَ بَيْنَ يَدَىِ الْيَهُودِيَّةِ وَ النَّصْرانِيَّةِ، فَاِنَّهُنَّ يَصِفْنَ ذلِكَ لاِ َزْواجِهِنَّ ไม่สมควรที่สตรีมุสลิมจะเปิดผ้าคลุมศีรษะต่อหน้าสตรีที่เป็นยะฮูดียฺ และนัซรอนียฺ เนื่องจากพวกนางอาจจะนำสิ่งที่นางเห็นไปสาธยายอวดสามีของพวกนางได้[1] 3) หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี (أَوْ ما مَلَكَتْ أَيْمانُهُنَّ) ประโยคดังกล่าวหมายถึง สตรี สามารถเปิดผ้าคลุมศีรษะต่อหน้าหน้าทาส หรือทาสีของตนได้ แต่มีรายงานบางรายงาน จุดประสงค์ของการเปิดเผยต่อหน้าทาส ไม่ได้หมายรวมไปถึงทาสที่ไม่ใช่มุสลิม ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า ทาสต้องไม่มองผมของหญิงที่เป็นเจ้านาย [2] لا يَنْظُرُ الْعَبْدُ اِلى شَعْرِ مَوْلاتِهِ 3) จุดประสงค์ของคำว่า หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ   أُولِي الإِرْبَةِ مِنَ الرِّجالِ คำว่า اربة มาจากรากศัพท์คำว่า ارب รอฆิบ เอซฟาฮานียฺ กล่าวว่า หมายถึง ความระมัดระวังอย่างที่สุด หรือความต้องการที่จะขจัดสิ่งนั้นให้หมดไป หรือบางครั้ง หมายถึงความต้องการทั้งหมด จุดประสงค์ของคำว่า – أُولِي الإِرْبَةِ مِنَ الرِّجالِ – หมายถึงบุคคลที่มีความรู้สึกทางเพศ ดังนั้น คำว่า غَيْرِ أُولِي الإِرْبَةِ หมายถึง บุคคลที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ ส่วนบุคคลเหล่านี้หมายถึงใครบ้าง บรรดานักตัฟซีร ขัดแย้งกัน   บางคนกล่าวว่า หมายถึง (ََ خَصِىّ ّ)  คนที่ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ หรือขันที บางคนกล่าวว่า กะเทย (خنثى) หรือบุคคลที่ไม่มีเพศแน่นอน 4) เด็กๆ ที่ได้รับการยกเว้นในโองการหมายถึงใคร กลุ่มที่ 12 สำหรับบุคคลที่ได้รับการยกเว้นเรื่องฮิญาบคือ บรรดาเด็กๆ ที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ أَوِ الطِّفْلِ الَّذِينَ لَمْ يَظْهَرُوا عَلى عَوْراتِ النِّساءِ คำว่า (الَّذِينَ لَمْ يَظْهَرُوا) บางครั้ง หมายถึง เด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวน หมายถึง  (لَمْ يَطَّلِعُوا) บางครั้งหมายถึง ไม่สามารถ (لَمْ يَقْدِرُوا) หรือไร้ความสามารถ ซึ่งอัล-กุรอานใช้ทั้งสองคำหมายถึง บางครั้งหมายถึง ไม่รู้ และบางครั้งก็หมายถึง ไร้ความสามารถ เช่น โองการที่ 20 บท อัลกะฮฺฟิ กล่าวว่า اِنْ يَظْهَرُوا عَلَيْكُمْ يَرْجُمُوكُم แท้จริง  หากพวกเขารู้เรื่องของพวกท่าน พวกเขาจะเอาก้อนหินขว้างพวกท่าน โองการที่ 8 บท อัตเตาบะฮฺ กล่าวว่า كَيْفَ وَ اِنْ يَظْهَرُوا عَلَيْكُم لا يَرْقُبُوا فِيْكُمْ اِلاّ وَ لا ذِمَّةً จะมีสัญญาได้อย่างไร หากพวกเขามีชัยชนะเหนือพวกเจ้า พวกเขาก็ไม่คำนึงถึงเครือญาติ และพันธะสัญญาใด อย่างไรก็ตามความแตกต่างด้านความหมายของโองการทีหยิบยกมานั้น จะมีไม่มากก็ตาม ซึ่งพอสรุปได้ว่า  เด็กที่ไม่รู้เรื่องเพศสงวนนั้นคือ หมายถึงเด็กที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ เด็กที่ไร้ความสามารถ และไม่รู้เรื่องดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ เด็กที่เติบโต หรืออยู่ในวัยที่รับรู้เรื่องดังกล่าวได้ สตรีมุสลิมต้องปิดปิด หรือคลุมฮิญาบให้เรียบร้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา อย่างไรก็ตามสตรีมุสลิมมีหน้าที่สงวนท่าทีของนาง ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใดก็ตาม หรือแม้แต่ในครอบครัวของเธอเอง ฮิญาบในริวายะฮฺ 1) ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า สตรีมุสลิมไม่ควรเข้าไปในสถานที่พลุกพล่าน เช่น ตรอก ซอกซอย หรือตลาด เนื่องจากผู้ชายจะจ้องมองเธอตาเป็นมัน จงอธิบายบทอันนูรให้เธอได้รับทราบ เนื่องจากบทดังกล่าวนั้นจะกล่าวถึง การลงโทษและการห้ามปรามสตรีให้หลีกเลี่ยงการมองของบุรา 2) ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวในวะซียัตของท่านที่เขียนถึงอิมามฮะซัน (อ.) ว่า จงให้ภิริยาของเจ้าคลุมผ้าให้มิดชิด จงห้ามสายตาของพวกนางให้หลีกห่างจากการจ้องมองสิ่งที่ฮะรอม  เนื่องจากผ้าคลุมศีรษะจะช่วยสร้างความมั่นใจแก่พวกนาง จงห้ามปรามพวกนางอย่าให้ออกไปในที่ไม่บังควร เนื่องจากในสถานที่เหล่านั้น มีสิ่งชั่วร้ายและความต่ำทรามแอบแฝงอยู่ จงพยายามให้พวกนางอย่าอวดตัวเองกับคนอื่น นอกจากเจ้า และจงอย่าให้พวกนางสุงสิงกับชายอื่น 3) อิมามริฎอ (อ.) กล่าวว่า การมองผมของสตรีฮะรอม เนื่องจากเป็นสาเหตุก่อให้เกิดความฟุ้งซ่าน และความอนาจาร [3] 4) อุมมุ ซัลมะฮฺ กล่าวว่า มีอยู่วันหนึ่งฉันและมัยมูนะฮฺได้ไปหาท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) ขณะนั้นอิบนุ มักตูม เป็นคนตาบอดได้เข้ามาพอดี ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) ได้กล่าวกับเราทั้งสองว่า ให้คุมชาร์โดเสียก่อน เรากล่าวกับท่านเราะซูลว่า โอ้ เราะซูลลุลลอฮฺ อิบนุมักตูม ตาบอดมิใช่หรือ เขามองไม่เห็นเราหรอก ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า แต่เธอทั้งสองตาไม่บอดเธอมองเห็นเขาไม่ใช่หรือ การมองนามะฮฺรอม ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า บุคคลใดก็ตามที่มองนามุฮัรรอม (หญิงหรือชายสามารถแต่งงานกันได้)  ในวันกิยามะฮฺ อัลลอฮฺ จะทำให้ดวงตาทั้งสองของเขาเต็มไปด้วยไฟนรก เว้นเสียแต่ว่าในโลกนี้เขาได้เตาบะฮฺ (กลับใจเสียก่อน) ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ดวงตาในวันกิยามะฮฺจะหลั่งน้ำตาอย่างเอ่อนอง ยกเว้นดวงตาของบุคคลที่ที่ได้ร่ำไห้บนโลกนี้ เนื่องจากเกรงกลัวอัลลอฮฺ (ซบ.)  ดวงตาที่ไม่เคยจ้องมองนามะฮฺรัม และดวงตาที่ได้ตืนคลอดทั้งคืนจนกระทั่งถึงเวลารุ่งอรุณ ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) ได้กล่าวว่า การจ้องมองนามะฮฺรัม เสมือนลูกดอกอาบยาพิษอันเป็นลูกดอกของชัยฏอนมารร้าย ดังนั้น บุคคลใดก็ตามที่ลดละสายตาจากการจ้องมองนามะฮฺรัม อัลลอฮฺ (ซบ.) จักทรงเพิ่มพูนอีมานแก่เขา และจะทรงเพิ่มพูนความหวานชื่นในหัวของเขา ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) ได้กล่าวว่า ซินา (ร่วมสังวาสชนิดผิดหลักการ) นั้นมีอยู่ทั่วเรือนร่างมนุษย์ ซินาทางสายตา หมายถึงการมองนามะฮฺรัม ซินาทางลิ้น หมายถึง การร่วมสนทนากันนามะฮฺรัมโดยมีเจตนาเพื่อความสำราญเพลิดเพลิน ซินาทางหู คือ การได้ยินคำพูดนามะฮฺรัม ซินาทางมือ คือการได้สัมผัสเนื้อตัวนามะฮฺรัม ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) กล่าวอีกเช่นกันว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงโกรธกริ้วบรรดาหญิงที่มีสามีแล้วสาดส่องสายตาไปที่ชายที่เป็นนามะฮฺรัม ท่านอิมาม ซอดิก (อ.) กล่าวว่า บุคคลใดก็ตามได้เห็นนามะฮฺรอม แล้วเขาได้เบี่ยงสายตาแหงนมองท้องฟ้า หรือหลับตา อัลลอฮฺ (ซบ.) จะทรงประทานนางสวรรค์ให้แต่งงานกับเขา[4] ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายในทัศนะของริวายะฮฺ ความสัมพันธ์แบบอิสระระหว่างหญิงและชายคือ สาเหตุนำไปสู่ความความเสียหายและความต้องการตามกามรมณ์ หรือเร่งเร้าไปสู่การทำความผิดบาป ด้วยเหตุนี้ คำสอนของอิสลามจึงได้มีมาตรการห้ามความสัมพันธ์ที่ไม่จำเป็นระหว่างหญิงและชายเอาไว้ ดังนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ขอหยิบยกรายงานบทจากบรรดาอิมามผู้นำ (อ.) ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ถ้าหากหญิงออกจากบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสามี มวลมลาอิกะฮฺทั้งหมดแห่งฟากฟ้าจะสาปแช่งนาง จนกว่านางจะกลับถึงบ้าน ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) กล่าวอีกเช่นกันว่า ถ้าหากหญิงเสริมสวย ประพรมน้ำหอม และสามีของนางก็พึงพอใจให้นางกระทำเช่นนั้น ทุกก้าวเท้าที่นางได้ก้าวออกไป เท่ากับนางได้สร้างบ้านในนรกให้แก่สามี ส่วนตัวนางได้รับคำสาปแช่งจากอัลลอฮฺจนกว่านางจะกลับถึงบ้าน ท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ไม่อนุญาตให้หญิงสนทนากับชายอื่นที่ไม่ใช่สามี หรือชายที่เป็นมะฮฺรัมเกิน 5 คำ และนั่นเฉพาะเรืองที่จำเป็นเท่านั้น ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า ฉันไม่ปรารถนาที่จะกล่าวสลามแก่หญิงสาว ท่านกล่าวต่ออีกว่า เพราะฉันเกรงว่าจะได้รับบาปกรรมจากสลามมากกว่าผลบุญ ท่านอิมามบากิร (อ.) กล่าวว่า สตรีต้องไม่กล่าวสลามและอิกอมะฮฺดังเกินไป ตลอดจนการเข้าร่วมนมาซญะมาอะฮฺ นมาซญุมุอะฮฺ และการจัดพิธีแห่ศพ ถือว่าเป็นสิ่งไม่จำเป็น ในเทศกาลฮัจญ์สตรีต้องไม่กล่าว คำว่าลับบัยก์ ด้วยเสียงดัง และต้องไม่เข้าร่วมในการตัดสินคดีความ[5] [1] من لا يحضره الفقيه เล่ม 3 หน้า  561, คัดลอกมาจากตัฟซีร นูรุซซะเกาะลัยนฺ เล่ม 3 หน้า 593 [2] วะซาอิลุชชีอะฮฺ บาบ 124 จาก บทนำนิกาฮฺ ฮะดีซที่ 8)  [3] บิฮารุลอันวาร เล่ม 103 บาบ 61 , 62, เล่ม 104 บาบ 91 [4] บิฮารุลอันวาร เล่ม 104 หมวดที่ 91 หน้า 31 และ 42 [5] บิฮารุลอันวาร เล่ม 103 หมวด 61 และ 62 จากหน้า 240 -263, บิฮารุลอันวาร เล่ม 104 หมวด 91 จากหน้า 31-42 http://www.taqrib.info/thai/index.php?option=com_content&view=article&id=197:1389-04-20-17-26-39&catid=34:1388-07-04-07-30-30 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 19:54:35

ความคิดเห็นที่ 60 ปัญหามันเกิดตรงที่ บางคน สวมก็ไม่ได้สวม มุสลิมก็ไม่ได้ให้บังคับให้สวมตาม แต่รู้สึกไม่ชอบใจ หรือไม่ชอบให้เกิดความแตกต่าง ทั้งๆที่คุณไม่มีสิทธิจะให้เขาทำแบบที่คุณต้องการตราบใดที่ไม่ผิดกฎหมาย ก็มุสลิมจะแสดงความเป็นมุสลิมออกมา ถ้าไม่ชอบใจก็ไปห่างๆ ได้ ไม่ใช่มาบอกว่า ไม่ควรใส่นะครับ เพราะคนเราไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เรามีสิทธิจะแตกต่างได้ไม่ใช่หรือ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 20:52:38

ความคิดเห็นที่ 61 โทษนะครับ เเล้วประเทศที่เคร่งมากๆเเถวตะวันออกกลางเเบบที่ปิดหน้าเห็นตา ถ้าเค้าจะจีบกันเค้าจะทำกันยังไงครับ ถ้าไม่เห็นหน้าอีกฝ่าย เเล้วเราจะรู้ได้ไงครับว่าเราจะถูกใจมั้ย  หรือเค้าให้พ่อเเม่หาให้เลือกเองไม่ได้ จากคุณ : Jung Eun Cute เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 21:09:36

ความคิดเห็นที่ 62 ความคิดเห็นที่ 61     โทษนะครับ เเล้วประเทศที่เคร่งมากๆเเถวตะวันออกกลางเเบบที่ปิดหน้าเห็นตา ถ้าเค้าจะจีบกันเค้าจะทำกันยังไงครับ ถ้าไม่เห็นหน้าอีกฝ่าย เเล้วเราจะรู้ได้ไงครับว่าเราจะถูกใจมั้ย  หรือเค้าให้พ่อเเม่หาให้เลือกเองไม่ได้ จากคุณ : Jung Eun Cute   เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 21:09:36     @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ ใช้ระบบเดียวกันกับของคนจีนนั่นแหละครับ เหมือนกันเลย ใช้ระบบแม่สื่อ ไปดูตัว ว่าโอเคมะ ประวัตินาง ยัน แม่ และยาย เป้นอย่างไร ด้วยทฤษฎี ต้นไม้ที่มีผลที่ดีย่อมให้ผลผลิตที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน "ดูช้างให้ดูหางดุนางให้ดูแม่ ดูแน่ๆดูถึงยาย" จากนั้นก็จะให้ เถ้าแก่ไปสู่ขอ ฝ่ายชายอาจไปบ้านฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงแอบหลังม่านเพื่อดูตัวฝ่ายชาย ดูความหล่อก้ประการนึงแต่ดูว่า ชายคนนี้จะนำพาเธอ ไปสู่แนวทางของอัลอิสลามได้หรือไม่ นี่คือหัวใจหลักเลยละ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 13:07:32

ความคิดเห็นที่ 63 คงยากครับ หลายคนเชื่อว่า มันจำเป็นต้องทำครับ หลายๆ ครั้งที่ผม พยายามตามอ่านตามประสาไปเรื่อยๆ เหมือนว่า (ผมเน้นว่าเหมือน ว่า) เพราะที่ผมตามหา ตามอ่าน ผมได้มาแบบนี้ครับ ทว่า มันจะถูก ไหม มันคงเป็นอีกเรื่อง ////////// ฮิญาบไม่ใช่อิสลาม แต่เป็นประเพณีการแต่งกายของชนชาติอาหรับ “ฮิญาบ” (ผ้าคลุมหน้า, คลุมศีรษะ) เป็นประเพณีการคลุมศีรษะ ไม่ใช่เป็น “หลักการของอิสลาม” และไม่มีหลักฐานอ้างอิงหรือสนับสนุนให้ต้องคลุมฮิญาบที่ได้ระบุในคัมภีร์ “อัลกุรอาน” แม้แต่น้อย ดังนั้น คำว่า“ฮิญาบ” จึงไม่ใช่ข้อบังคับการแต่งตัวของผู้หญิงมุสลิม คำว่า “ฮิญาบ” ในอัลกุรอานมีปรากฏอยู่ ๗ ครั้ง มีจำนวน ๕ ครั้งที่ใช้คำว่า “ฮิญาบ” มีอยู่ ๒ ครั้งที่ใช้คำว่า “ฮิญาบัน” จากอายาต ต่อไปนี้; วัลยัดริบนะ บิคุมุริฮินนะ อะลายุยูบิฮินนะ ว่า คำ“ฮิญาบ” ที่พบในอายัตต์เหล่านั้นไม่มีคำใดในอัลกุรอานที่ใช้ในความหมายของ “ฮิญาบ” ที่หมายถึงผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมุสลิมที่ใช้บังคับให้มุสลิมมะห์ใช้กันกันอยู่ในทุกวันนี้เลย แสดงว่าพระองอัลลอฮ์ ไม่ได้ให้บังคับใช้ “ฮิญาบ” เป็นข้อบังคับในการแต่งตัวของ “มุสลิมมะห์” ดังที่บรรดาท่านอิหม่ามทั้งหลายอ้างไว้ คำว่า "ฮิญาบ" เป็นคำที่มุสลิมะห์ทั้งหลายใช้เรียกผ้าคลุมศีรษะของเขา ทั้งนี้อาจจะรวมทั้งผ้าที่คลุมทั้งใบหน้าเว้นไว้แต่นัยน์ตาทั้งสองข้าง หรือข้างเดียว คำว่า “ฮิญาบ” ในภาษาอรับอาจจะแปลในความหมายของ “ผ้าคลุมใบหน้าตั้งแต่ส่วนจมูกถึงปลายคาง ส่วนความหมายอื่นๆอาจจะหมายถึง ม่าน, การคลุม, เสื้อคลุมไม่มีแขน, ฝากั้นชั่วคราว, การแบ่งส่วน, ผ้าม่านที่ตกแต่งประตูหน้าต่าง และเครื่องปกคลุมอื่นๆ             “ฮิญาบ” หรือผ้าคลุมหน้านี้มีมานานก่อนศาสนาอิสลาม มีมาตั้งแต่เริ่มยุคของความศิวิไลซ์ เราจะเห็นได้ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรก และระยะหลังๆ ของศิลปะกรีก และโรมัน ได้มีหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในเครื่องปั้นดินเผา, รูปภาพและศิลปต่างๆ รวมทั้ง การจดบันทึกของกฎหมายในสมัยนั้น แสดงให้เห็นว่าประเพณีของกรีกและโรมัน ใช้ผ้าคลุมศีรษะ “ฮิญาบ” เป็นเครื่องแต่งตัวในการประกอบกิจในทางศาสนา ดังนั้นประเพณีการแต่งตัวของผู้ชายที่ใช้ผ้าคลุมศีรษะ และผู้หญิงใช้ “ฮิญาบ” นั้น ก็ถูกนำเข้ามาใช้ในชาวยิวซึ่งปรากฏหลักฐานอยู่ใน หนังสือที่ใช้อธิบายประกอบคัมภีร์ของชาวยิว (เทียบเท่ากับหนังสือฮาดีษของยิว) และคริสต์เตียนก็นำ “ฮิญาบ” เข้ามาเป็นประเพณีทางศาสนาเช่นกัน มีผู้นำศาสนา “ยิว”กล่าวว่า “ เราไม่เคยเห็นคำสอนในตอราฮ์ ที่พระเจ้าบังคับให้ผู้หญิงคลุมศีรษะ แต่เราทราบว่ามันเป็นประเพณีต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานับพันๆปี” นี่แสดงให้เห็นว่า “พระเจ้าไม่เคยกำหนดให้ผู้หญิงใช้ “ฮิญาบ” แต่การแต่งตัวของหญิงที่ใส่ “ฮิญาบ” นั้น เป็นประเพณีซึ่งไม่ได้อยู่ในหลักการของศาสนาอิสลาม ////////// เอาเถอะ ล้วนเป็นความพึงพอใจครับ อะไรก็ตาม ที่ทำกับตนเอง โดยไม่ ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น ย่อมทำได้ครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 01:28:56

ความคิดเห็นที่ 64 ที่คุณ สยึมกึ๋ยเอามานั่นคือการบิดเบือนอิสลามครับ เพราะฮิญาบนั้น เป็นการสั่งใช้ให้ทำนะครับ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/11/Y11386288/Y11386288.html เรื่องฮิญาบ ไปอ่านได้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 08:33:40

ความคิดเห็นที่ 65 ท่าน Carroth ครับ นั่นแหละที่ผมถึงกล่าวไงว่า "ดูเหมือนว่า" แต่ ทว่า ผมเองก็ไม่ มั่นใจว่า แท้จริงแล้วมันเป็นการบิดเบือนหรือไม่ หรือว่า ส่วนใหญ่ ที่เชื่อกันนั้น แท้จริง เป็นการบิดเบือนเช่นกัน ว่ากันตามสิ่งที่มีเหตุผล และการคิดนั้น การแต่งกายหลักๆ มาจาก สภาพภูมิอากาศเป็นหลักครับ คนเมืองหนาวก็ต้องใช้ชุดหนัง คน เมืองร้อนก็เสื้อผ้าบางๆ ท่านจะไม่เห็นประเทศเขตหนาวใช้เสื้อผ้า บางๆ หรอก ฮิญาบก็เหมือนกัน แท้จริงแล้ว มันเหมือนชุดลุยทะเลทรายมาก กว่า ใส่เพื่อกันทราย กันฝุ่น แต่พอใส่กันมากๆ เข้า เลยดูเหมือน ประเพณีปฏิบัติมากกว่า อนึ่ง พระสงฆ์เอง แต่ละประเทศ การห่มจีวรยังต่างกัน ทั้งๆ ที่ศาสดา ก็ยังคงเป็นองค์เดิม องค์เดียวกัน หลักศาสนาก็เหมือนกัน จะมองว่า ศาสนาพุทธบิดเบือนกันไปเองแต่ละประเทศ คงไม่ใช่ คงมาจากความ เหมาะสมของแต่ละพื้นที่ แต่ละสภาพสังคม วัฒนธรรม และภูมิอากาศ มากกว่า บ้านเราไม่ได้มีทะเลทราย จะเอาชุดแบบนั้นมาใส่ ก็เพราะเรื่องอื่นครับ (ซึ่งก็คงเป็นเรื่องศาสนา) ทว่า การแต่งกายแบบนั้น คนในศาสนาอื่นที่ อยู่ในพื้นที่ ที่มีทราย พายุทราย ก็แต่งแบบนั้นแหละครับ เพราะมันเป็น ความจำเป็น ในเรื่องของสถาพแวดล้อมครับ ปล. ผมไม่ได้เทียบกันโดยตรงนะ เพราะเป็นคนละศาสนา แต่ผมเชื่อ จากการพิจารณาเช่นนั้น เพราะ มันไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ ศาสนาเดียว กันทั้งโลก ต้องแต่งตัวเหมือนกัน ขนาดบทสวดของศาสนานั้น คนละ ประเทศ ยังสวดไม่เหมือนกันเลย ขอแค่เจตนาหลักเหมือนกัน ผมว่า มันก็ OK แล้วครับ ปล๒. แต่การสวมฮิญาบนั้น สามารถสวมได้ ตราบใดที่ไม่ละเมิดสิทธิ ของผู้อื่น และผมไม่เคยห้ามสวมครับ ซึ่งทุกคนบนโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็น ศาสนาใด ก็สามารถสวมได้ ตราบใดที่ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น และกฎ หมายไม่ได้ตราห้ามไว้ครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 13:21:54

ความคิดเห็นที่ 66 ตามนั้นค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 21:51:43

ความคิดเห็นที่ 67 . จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 21:54:42