 |
...( แว๊บมาตอบให้ก่อน เดี๋ยวจะออกไปช่วยเขาปราบผีละ )....
----------------------------------------------------------------------
ขออนุโมทนาด้วย ....อาการที่เจ้าของกระทู้เจอนั่นแหละ คือจิตรวมลงเป็นสมาธิแล้ว แต่อย่าไปสนใจว่าเป็นขั้นไหน อย่าไปคิดจัดชั้น ไม่งั้นเดี๋ยวจะติดแหง็กเพียงแค่นั้น ไปต่อไม่ได้ แล้วจะเสื่อมๆๆลง เอาคืนยาก ...แต่ว่าเพราะเหตุที่ยังไม่ชำนาญ จัดการกับอาการพวกนั้นไม่เป็น จึงกลายเป็นกลัว แทนที่จะทำให้สงบลงลึกๆแน่นๆกว่านั้นอีก ...ที่จริงได้ของดีมาอยู่ในมือแล้ว แต่ไม่รู้วิถีถือมัน แค่นั้น....
วิธีจัดการกับอาการที่เจอนั้น...
อย่ากลัว เพราะไม่มีอันตรายอะไร
ต่อไปเมื่อเจออาการแบบนั้นอีกหรือแบบอื่นๆก็ตาม ก็ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องตื่นเต้นสนใจ แค่รับรู้ไว้เฉยๆ รู้เพียงว่ามันเป็นอาการอย่างหนึ่งของจิตที่เริ่มสงบลงเป็นสมาธิ ซึ่งต่อๆๆไป เมื่อทำจิตสงบอีก ก็จะเจออาการพวกนี้อีกเรื่อยๆ ในรูปแบบต่างๆกัน (น้อยครั้งที่จะเจอแบบเดิม) เช่น บางที อาจจะได้ยินเสียงแปลกๆ หรือได้กลิ่นแปลกๆ หรือเป็นภาพนิมิตต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นภาพนิมิตจะค่อนข้างอันตรายมาก เพราะจะแก้ยาก ติดหลงง่าย และเจ้าตัวก็ไม่อยากจะแก้ด้วย
วิธีแก้เมื่อเจออาการต่างๆเหล่านั้น คือ ให้ย้อนกลับมาที่ตัวรู้ โดยในขั้นต้น ให้แยกออกเป็น ๒ ส่วน คือ ตัวรู้กับสิ่งถูกรู้ ... สิ่งถูกรู้ก็คืออาการต่างๆที่เกิดมานั่นแหละ เช่น อาการที่หัวใจเต้นแรง หรืออะไรอื่นๆก็ตาม , ส่วน ตัวรู้ ก็คือความรู้สึกว่าเป็นตัวเราไปรู้ไปเห็นอาการต่างๆพวกนั้น ..หลักวิธีปฏิบัติ(ซึ่งต้องใช้ไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะฝึกได้ละเอียดแค่ไหนก็ตาม) คือ "อย่าไปสนใจสิ่งถูกรู้เด็ดขาด ให้ย้อนความสนใจเพ่งกลับมาที่ตัวรู้ เท่านั้น" การย้อนเข้าหาตัวรู้นี้ คือที่ภาษาในตำราเรียกว่า "จงมีสติ" หรือ " อย่าประมาท" นั่นเอง ... เพราะว่า เมื่อใดที่เราย้อนมาเพ่งตัวรู้ คือมารู้ตัวเราเอง นั่นคือตอนนั้นเรามีสติขึ้นมาทันที แต่เมื่อใดที่เราเพ่งออกไปนอกตัวรู้ หรือที่เรียกกันในวงการปฏิบัติว่า จิตส่งนอก นั่นคือตอนนั้นเราขาดสติ สติหลุดไปในขณะที่จิตเราส่งนอกนั่นเอง
เพราะว่า แก่นหลักของการฝึกปฏิบัติภาวนาคือ การฝึกสติ นี่เอง เมื่อฝึกสติแล้ว ธรรมะอย่างอื่นๆมากมายก็ค่อยๆจะตามมาทีหลังครบเครื่อง
จากคุณ |
:
โขตาน
|
เขียนเมื่อ |
:
21 เม.ย. 55 21:37:02
|
|
|
|
 |