ความคิดเห็นที่ 1 คำสอนง่าย ไม่ต้องให้คิดมาก ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว สุดท้ายพาประเทศไปลงนรก ยังมีให้เห็นมาเเล้ว หว่านพืชอะไรย่อมได้ผลนั้น เช่น สอนกันมาว่าก่อการร้ายได้ขึ้นสวรรค์ สุดท้ายโดนคนทั้งโลก รุม พอถูกรุมมากๆเข้าก็หาว่ารู้รังแก หรือ สอนให้ปกปิดความชั่วซึ่งกันและกันสุดท้ายไปลงนรกด้วยกันทั้งคู่ มีสมองเเต่หาใช้สมอง นั้นไม่ จะยังมีประโยชน์ที่เกิดมาเป็นคนหรือ >> ในเมื่อเชื่อว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์และโลก เเล้วอะไรเล่าที่สร้างพระเจ้า? จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 22:02:57

ความคิดเห็นที่ 2 MCE  ยกตัวอย่างประเทศให้พี่จิม ฟังหน่อยสิ ว่าประเทศอะไร จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 00:15:59

ความคิดเห็นที่ 3 คำสอนที่ตรงไปตรงมาเหมาะกับทุกชนชั้น เรื่องนี้พิสูจน์ได้ด้วยการกระทำ สามารถนำพาสังคมที่เหลวแหลกที่สุดไปสู่สังคมที่เจริญที่สุดได้ ในระยะเวลาถึง 50 ปี แต่คำสอนไร้สาระ มันทำอะไรได้บ้างล่ะอย่าว่าแต่ช่วยเหลือสังคม ญาติวงศ์ตัวเองยังช่วยไม่ได้ สุดท้ายก็ไปสู่ ปรโลก ทั้งเมือง ประวัติศาสตร์มีให้เห็น มีให้อ่าน ถ้าไม่รู้จักใช้สมองอ่าน ก็คงไม่ต่างกับวัวกับควาย ที่มันบอกว่า อุยกูร์ คือฮั่น นั่นแหละครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 08:25:50

ความคิดเห็นที่ 4 เเล้วอะไรเล่าที่สร้างพระเจ้า? ตอบ มนุษย์ผู้โง่เขลา จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 09:23:22

ความคิดเห็นที่ 5   ความคิดเห็นที่ 4 MsgStatus(Msv[4], 4); เเล้วอะไรเล่าที่สร้างพระเจ้า? ตอบ มนุษย์ผู้โง่เขลา จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 09:23:22 ถ้าโง่แล้วอย่าอวดฉลาดสิครับ   พระเจ้า ไม่ใช่สิ่งถูกสร้างครับ สิ่งต่างๆ มีจุดกำเนิด ดังนั้น ต้องมีสิ่งแรกครับ ในการสร้าง และกำเนิดสรรพสิ่งขึ้นมา และมุสลิมถือว่าผู้สร้างสิ่งแรกนั้นคือพระเจ้านั่นเอง ไม่ว่าจะสิ่งนั้นคือสิ่งใด เหมือนกับเราไม่จำเป็นต้องเห็นเครื่องมืออันซับซ้อนสวยงาม หรูหรา แล้วค่อยบอกว่ามนุษย์สร้างหรอก เราแค่เห็นโต๊ะตัวนึง สร้างง่ายๆ เราก็บอกได้แล้วว่า มนุษย์น่ะคนสร้างมันไม่ได้เกิดขึ้นเอง สิ่งรอบตัวก็เหมือนกันไม่จำเป็นต้องเจอสิ่งมหัศจรรย์อธิบายไม่ได้แล้วค่อยบอกว่าสิ่งเหนือจินตนาการเป็นผู้สร้างหรอก แค่มองไปรอบๆ เห็นสิ่งต่างๆ ก็เข้าใจได้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้เกิดขึ่นเองอย่างแน่นอน เพราะมันไม่มีความสามารถอะไร ในการมีอยู่เองแต่เดิม มันเป็นแค่สิ่งที่อยู่ภายใต้เงื่อนไข องค์ประกอบปัจจัย และกฎเกณฑ์เท่านั้น มันเป็นแค่สิ่งถูกสร้าง ถูกควบคุม ถูกกำกับ ก็เท่านั้น เอาล่ะ บางคนอาจจะบอกว่า สรรพสิ่ง หรือสิ่งต่างๆ หรือธรรมชาติอาจจะเป็นสิ่งแรกที่ เกิดเอง หรือเป็นสิ่งที่มีมาอยู่แล้ว ไม่ใช่พระเจ้า ถ้าเช่นนั้น สิ่งต่างๆ มันย่อมผุด หรือมีมาเองแต่แรก ย่อมมีอิสระในตัวเอง ทุกอย่างก็ต้องไร้ระเบียบครับ ไม่ขึ้นกับใคร ปัจจัยต่างๆ ก็ไม่ส่งผลซึ่งกันและกัน อะตอม หรือ อะไรก็แล้วแต่ มันย่อมไม่มีอิทธิพลต่อกัน หรืออยู่ใต้อิทธิพลใคร สิ่งต่างๆ ย่อมดำเนินการไปเป็นตัวของตัวเอง ธาตุต่างๆ วันนี้ อาจจะมีคุณสมบัติเป็นโลหะ วันต่อไป หรือวินาทีต่อไป อาจจะมีคุณสมบัติเป็นอโลหะก็ได้ ทำดีก็จะไม่ได้ดี ทำชั่วก็จะไม่ได้ชั่วเสมอไป การตอบแทนหรือผลของการกระทำมันจะไม่เป็นไปตามที่เคยเป็นมา 1+1 ที่ เคย เท่ากับ 2 มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีกติกา เนื่องจากสิ่งต่างๆ เกิดได้เอง ไม่มีอะไรมาสั่งมาคุมได้ แต่ที่เราเห็นๆ ก็คือ ทุกอย่าง เป็นระเบียบ มีกติกา ส่งผลต่อกันและกัน ไม่อาจจะฝืนคุณสมบัติมันเองได้ มีแบบแผนไม่สะเปะสะปะ จึงเป็นไปได้แค่สองทางนะครับ นั่นคือ สรรพสิ่ง มันมีเจตจำนงค์ของมันเอง หรือ มีสิ่งที่กำหนดรูปแบบ และความเป็นไปของ สรรพสิ่ง แต่เราจะพบว่าสิ่งที่เกิดและดำเนินนั้น มีระเบียบแบบแผน และมีเป้าหมายไม่สะเปะสะปะ และไม่ปรากฎว่า ธรรมชาติ ไม่มีสติปัญญา หรือ เจตจำนงค์ใดเลย มันมีลักษณะเป็นเพียง โปรแกรมที่ดำเนินไปอย่างคงที่เท่านั้น ธรรมชาติ จึงไม่สิ่งที่จะมีเจตจำนงค์ของมันเอง มันก็เหลืออย่างเดียว คือ ธรรมชาติ เป็นเพียงสิ่งถูกสร้างและ ถูกควบคุมไว้ครับ สิ่งที่ควบคุม และเป็นสิ่งแรก ที่ไม่ได้ถูกสร้าง หรือถูกควบคุมจึงเป็นพระเจ้า ที่ประกาศตัวเองไว้ แต่ถ้าใครจะอ้างตัวเป็นพระเจ้า จะเทพมังกร เทพมังกุ อะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องแสดงตัวเองครับว่า สิ่งที่สอน และสิ่งที่อ้างนั้นมันสมจริงไหม ซึ่งผมได้ตัดสินใจแล้วว่า พระเจ้าหรือสิ่งแรก คืออัลลอฮฺครับ เพราะพระองค์ได้ส่งคัมภีร์ที่ สมบูรณ์ลงมา และศาสนาที่ สามารถช่วยมนุษย์ชาติได้จริง ประวัติศาสตร์ได้แสดงออกมาแล้ว ผมจึงศรัทธาว่า พระองค์คือพระเจ้าที่แท้จริง ครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 09:30:02

ความคิดเห็นที่ 6 คุณ  Faraday  ดูคลิปนี้ ปลากรอบ ไปด้วยก็ได้ค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 09:38:30

ความคิดเห็นที่ 7 . จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 09:39:03

ความคิดเห็นที่ 9 . จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 09:40:11

ความคิดเห็นที่ 10 รู้สึกว่า 5 อันดับแรก ของประเทศที่มีอิสลามเยอะๆ จะโดนพระเจ้าประทานพร ให้ จน และด้อยพัฒนา นะครับ Morocco 99.9 Afghanistan 99.8 Tunisia 99.8 Iran 99.6 Western Sahara 99.6 50ปีที่ผ่านมา 5 ประเทศข้างต้นผู้คนล้วนมีเข้าถึงอิสลามกันถ้วนหน้า แต่พระเจ้ากลับประทานความยากจนและความด้อยพัฒนามาให้ ซึ่งขัดกับประโยนช์ข้างล่าง "คำสอนที่ตรงไปตรงมาเหมาะกับทุกชนชั้น เรื่องนี้พิสูจน์ได้ด้วยการกระทำ สามารถนำพาสังคมที่เหลวแหลกที่สุดไปสู่สังคมที่เจริญที่สุดได้ ในระยะเวลาถึง 50 ปี" เราคงต้องหาคำตอบต่อไปว่าใครสร้างพระเจ้า แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 55 10:13:39 จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 10:10:55

ความคิดเห็นที่ 11 ประเทศเหล่านี้ ได้รับความหายนะ จากภัยสงคราม ที่โดนรุกรานโดยชาติตะวันตก ถ้าไม่โดนรุกราน ก็ไปไกลแล้วล่ะ นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมาเมืองหลวงของรัฐเคาะลีฟะฮ์อันดาลูสก็คือเมืองคอร์โดบาซึ่งมี ประชากร 600,000 คน มีอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างประมาณ 200,000 หลัง มัสญิด 1,500 แห่งและห้องอาบน้ำสาธารณะประมาณ 1,000 แห่ง ในห้องสมุดของเมืองมีเอกสารและบันทึกต่างๆกว่าครึ่งล้านชุด ศูนย์กลางของเมืองมีระบบลำคลองที่เชื่อมกันและในตอนกลางคืนแม้แต่ถนนที่แย่ ที่สุดก็มีแสงสว่าง กล่าวโดยสั้นๆ เมืองนี้มีสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างที่ไม่สามารถพบได้ในเมืองยุโรปอื่นๆ แม้แต่กษัตริย์คริสเตียนหลายคนก็ยังส่งลูกหลานของตนมาศึกษาในอันดาลูสทั้ง นี้เนื่องจากที่นี่มีมหาวิทยาลัยที่ดีหลายแห่ง และภาษาอาหรับเป็นภาษาสำคัญของโลก http://www.oknation.net/blog/varunrint/2009/06/09/entry-3 ไม่เคยปรากฎว่า มีศาสนาใดเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้เหมือนอิสลามนะครับ ส่วนประเทศมุสลิมในปัจจุบัน ล้วนได้รับการทดสอบเพราะห่างจากการปฏิบัติตามหลักศาสนาไงล่ะ   ผมว่าแล้ว คนมันโง่มันก็โง่ วันยังค่ำ ยกสถิติ มาแต่ละครั้ง ก็ได้รับความอับอายไปแทบทุกครั้ง ผมยังจำคำพูดได้ ความคิดเห็นที่ 29 MsgStatus(Msv[29], 29); คุณCarroth ในจีน ทำไมคนจีนเรียกพวก อิสลามว่าอุยกูร์ คนทำไมไม่เรียกชาวฮั่น อุยกูร์จริงๆคือชาวฮั่น เเต่ทำไมชาวฮั่นเรียกคนพวกนั้นว่าอุยกูร์ จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 55 13:55:12 ถ้าไม่โง่จริงๆ คงไม่พูดแบบนี้     จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 10:48:41

ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อมนุษย์เกิดมาพบประสบการณ์ จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น กลางวัน กลางคืน ร้อน เย็น พระอาทิตย์ขึ้น และตก ความหิว อิ่ม ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฝนแล้ง น้ำท่วม วาตะภัย ความรัก ความใคร่ ความชอบ ความชัง ความเจ็บปวด ทรมาน การเกิด การแก่ การเจ็บป่วย การตาย อีกสารพัดประสบการณ์ทั้งดีน่ารื่นรมย์ และความเจ็บปวดรวดร้าวทรมาณ มนุษย์พยายามที่จะศึกษาเรียนรู้ ด้วยความพยายามสุดความสามารถที่มีอยู่ แต่ก็สามารถหาคำตอบได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังมีความไม่รู้อีกเป็นอันมากที่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ การที่มนุษย์ที่โง่เขลา แต่ หลงตนว่าเป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุดในโลก หาคำ อธิบายหรือคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ทำให้ความมั่นใจในตนลดลง อึดอัด ขัดข้องใจ จนต้องสร้างสิ่งสมมุติบางอย่างขึ้นมา เพื่อเป็นคำตอบให้แก่ตน จะได้ลดความอึดอัดขัดข้องใจ ของตนลงได้บ้าง ก่อนจะอกแตกตาย และเพื่อจะได้รักษาความที่หลงภูมิใจว่า มนุษย์ฉลาดทีสุดในโลก ดังนั้นเมื่อจนปัญญาหาคำตอบไม่ได้ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 10:55:54

ความคิดเห็นที่ 13 บรรพบุรุษของมนุษย์ในอดีตจึงสร้างคำว่า พระเจ้า เทพเจ้า ผีสาง เทวดา นางไม้ เจ้าป่า เจ้าเขา ฯลฯ อีกมากมาย ว่าเป็นผู้สร้าง ผู้ลิขิต ผู้กำหนด ผู้ควบคุม ให้กำเหนิด มนุษย์ สัตว์ และทุกสรรสิ่งในโลกนี้ขึ้น แตกต่างหลากหลายตามแต่ถิ่นฐานที่อาศัยอยู่ต่าง ๆ กันทั่วโลก และมีการพัฒนาการต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนาน เป็นลัทธิ และ ศาสนาต่าง ๆ มีพระเจ้า เทพพระเจ้า หลายองค์บ้าง องค์เดียวบ้าง ตามแต่พัฒนาการของแต่ละความเชื่อถัดมา แต่มนุษย์สมัยใหม่หน่อย ที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ก็ได้เรียกสิ่งที่หาคำตอบให้ไม่ได้ ด้วยคำที่ทันสมัยขึ้นหน่อยว่า ธรรมชาติ นี่คือที่มาของคำอธิบายว่า พระเจ้า คือ มนุษย์ผู้โง่เขลาสร้างขึ้นมา ความจริงแล้วมนุษย์เป็นอะไรที่มีขนาดที่เล็กมาก เมื่อเทียบกับขนาดของโลก ลองนึกภาพ ถ้าออกไปนอกโลกเช่นนักบินอวกาศ แล้วมองกลับลงมายังโลกด้วยตาเปล่า จะมองเห็นเพื่อนมนุษย์ที่อยู่บนโลกไหม มนุษย์บนโลก จะมีขนาด เล็กกว่า มดปลวก หรือแม้ละอองฝุ่นเสียอีก อย่าพูดเปรียบไปถึงจักวาล หรือ เอกภพเลย ดังนั้นสติปัญญาของมนุษย์ มันจึงมีกระจ้อยร่อย น้อยนิดมาก ไม่สามารถรู้อะไรได้มากนัก แต่ก็มีความหลงตัวหลงตนว่าตนฉลาดที่สุด ซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริง จบ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 10:57:51

ความคิดเห็นที่ 14 ผู้สร้างไม่มีดอก มีแต่  เหตุปัจจัย ซึ่งกันและกันหนุนเนื่องกันไป ไม่ใช่กล่าวกัน กว้างๆ  ลอยๆ นะ ดูที่   ปัจจัย 24 แล้วกัน ปัจจัย 24 (ลักษณะหรืออาการแห่งความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย ที่สิ่งหนึ่งหรือสภาวธรรมอย่างหนึ่ง เป็นองค์ประกอบที่ช่วยเอื้อ เกื้อหนุน ค้ำจุน เป็นเหตุ หรือเป็นเงื่อนไขให้สิ่งอื่น หรือสภาวธรรมอย่างอื่น เกิดขึ้น คงอยู่ หรือเป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่ง - condition; mode of conditionality or relation)       1. เหตุปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นเหตุ - root condition)       2. อารัมมณปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นอารมณ์ - object condition)       3. อธิปติปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นเจ้าใหญ่ - predominance condition)       4. อนันตรปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นภาวะต่อเนื่องไม่มีช่องระหว่าง - immediacy condition)       5. สมนันตรปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นภาวะต่อเนื่องทันที - contiguity condition)       6. สหชาตปัจจัย (ปัจจัยโดยเกิดร่วมกัน - connascence condition)       7. อัญญมัญญปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นอาศัยซึ่งกันและกัน - mutuality condition)       8. นิสสยปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นที่อาศัย - dependence condition)       9. อุปนิสสยปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นเครื่องหนุนหรือกระตุ้นเร้า - decisive-support condition; inducement condition)       10. ปุเรชาตปัจจัย (ปัจจัยโดยเกิดก่อน - pernascence condition)       11. ปัจฉาชาตปัจจัย (ปัจจัยโดยเกิดหลัง - postnascence condition)       12. อาเสวนปัจจัย (ปัจจัยโดยการซ้ำบ่อยหรือทำให้ชิน - repetiton condition)       13. กรรมปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นกรรมคือเจตจำนง - kamma condition)       14. วิปากปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นวิบาก - kamma-resuit condition)       15. อาหารปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นอาหาร คือเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง - nutriment condition)       16. อินทรียปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นเจ้าการ - faculty condition)       17. ฌานปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นภาวะจิตที่เป็นฌาน - absorption condition)       18. มรรคปัจจัย (ปัจจัยโดยเป็นมรรค - path condition)       19. สัมปยุตตปัจจัย (ปัจจัยโดยประกอบกัน - association condition)       20. วิปปยุตตปัจจัย (ปัจจัยโดยแยกต่างหากกัน - dissociation condition)       21. อัตถิปัจจัย (ปัจจัยโดย[ต้อง]มีอยู่ - presence condition)       22. นัตถิปัจจัย (ปัจจัยโดย[ต้อง]ไม่มีอยู่ - absence condition)       23. วิคตปัจจัย (ปัจจัยโดย[ต้อง]ปราศไป - disappearance condition)       24. อวิคตปัจจัย (ปัจจัยโดย[ต้อง]ไม่ปราศไป - non-disappearance condition) ประเทศชาติ  จะรุ่งเรื่องหรือ ยากจน  มันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่างๆในปัจจัย 24 มันไม่เกี่ยวว่า  พระเจ้า สั่งมา ให้ยากจน หรือ ร่ำรวย ดอกท่าน จากคุณ : supersub เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 11:09:37

ความคิดเห็นที่ 15 เนี่ยแหละความเป็นมนุษย์ผู้โง่เขลา เพราะพยายามเอาตนเองนั้นเป็นใหญ่ที่สุดเก่งที่สุด โดยไม่ดูความจริงว่า สิ่งที่ตนคิดว่าถูกนั้นใช่หรือเปล่า ในสังคมบางสังคม เมื่อเกิดลัทธิต่างๆ ขึ้นในสังคม ลัทธินั้นๆ ก็ย่อม แก่งแย่งกันรับ "ลูกค้า" เพื่อลาภสักการะ หรือที่เรียกว่า สานุศิษย์นั่นแหละ การโปรโมทลัทธิตัวเองก็ย่อมสอนให้ยากๆ เพื่อให้ดูเหมือนสูงส่ง และหลอกล่อด้วยการทำให้คนหลงคิดไปว่า ตนนั้นประเสริฐที่สุด  แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ผู้ที่อ้างว่าตัวเองรู้ ก็หาได้รู้อะไรที่มันจริงไม่ เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้นเอง ความผิดพลาดหลายอย่าง ก็ตกทอดมา จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 11:28:06

ความคิดเห็นที่ 16 การคิดเบื้องต้นนั้น ก็คือหาสาเหตุว่า มันเกิดจากอะไร เมื่อค้นหาไปเรื่อย จนเกิดความเบื่อหน่าย หรือเรียกได้ว่า หมดปัญญา หรือกำลังผู้ค้น ก็จะเริ่มทำให้มันเป็นวงกลม เพื่อจะได้ไม่ต้องค้นหาอีก หรือจะอ้างว่า สิ่งหนึ่งเป็น ปัจจัย เป็นเหตุของสิ่งหนึ่ง เรื่องแบบนี้นักคิดมากมายก็คิดได้มาแล้ว แต่พวกนี้ลืมไปว่า วงกลม ทุกวัน ต้องมีจุดเริ่มต้น เพียงแต่ เมื่อมันเริ่มเป็นวงกลมแล้ว คนอื่นที่ไม่ได้เขียนวงกลมนั้น จะหาจุดเริ่มของวงกลมไม่เจอ เอง มันจะมาจากเหตุปัจจัยใด หรือ เหตุผลยาวนานแค่ไหน เอาเฉพาะหิว ก็แล้วกัน ไม่ว่าคุณจะหิวเพราะหิว หิวเพราะโครโมโซม เพราะกรดในกระเพราะ เพราะโครมันยองหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดคุณอยู่ใต้ปัจจัยครับ คุณไม่ได้ควบคุมปัจจัยแต่อย่างใด แต่ปัจจัยควบคุมคุณอยู่ นั่นแหละครับที่ผมบอก ที่บอกว่าควบคุมได้ก็ไม่ได้เป็นความจริงแค่อย่างใด มนุษย์แค่เล่นตามเกมส์ก็เท่านั้น คือ กระทำตามที่ ได้รับอนุญาต ไม่ได้ทำตามใจตัวเอง เอาง่ายๆ แค่ไม่หายใจแล้วไม่ตายเนี่ย ได้หรือไม่ ร่างกายก็ที่คิดว่าของตัว ปอดก็เหมือนกัน ระบบเลือด กระแสเลือด มนุษย์คนไหนคุมได้หรือไม่? เปล่าเลย คุณไม่ได้ควบคุม แต่คุณแค่เล่นไปตามที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น เหมือนกับเกมส์ออนไลน์ธรรมดา คุณควบคุมตัวละครได้จริงเหรอ เปล่าเลยคุณแค่เล่นตามที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น คุณไม่สามารถทำนอกเหนือกฎเกณธ์ ที่ WM กำหนดไว้ได้นี่ก็เช่นกัน ดังนั้นถึงเราจะมีความรู้ ว่าทำไมเราถึงหิวได้ลึกซึ้ง ถึงอะตอม หรือ พลาสมา ถึงคว้ากส์ ก็ตาม หรือแม้แต่ เราจะรู้แค่ว่า หิวเพราะถึงเวลา มันก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่า ทุกอย่างถูกควบคุม ถูกกำหนด และวางกฎเกณฑ์ไว้แล้วอยู่ดี เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้เลือกว่าจะควบคุมกันเองหรือเป็นอิสระต่อกัน แต่มันถูกกำหนดไว้แล้วว่ามันต้อง มีอิทธิพลต่อกันด้านใดบ้าง เหล่านี้มันคือกฎเกณฑ์ ที่เป็นกรอบของความเป็นไปต่างๆ ซึ่งถ้าไม่มีการควบคุมจากผู้ควบคุมแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะมีอิสระต่อกันครับ ไม่ขึ้นตรงต่อกัน แต่เมื่อเราพบว่า สิ่งต่างๆ ดำเนินอยู่ใต้กฎเกณฑ์ใดกฎเกณฑ์หนึ่งแล้ว แสดงว่ามัน ถูก ควบคุมอยู่ และเมื่อถูกควบคุมก็แสดงส่ามีผู้ควบคุม จะรู้ลึกแค่ไหนสุดท้าย มันก็สรุปได้ว่าทุกอย่าง อยู่ใต้กฎที่ถูกสร้าง ถูกบริหาร และถูกวางกรอบไว้หมด ไม่มีสิ่งใดมีอิสระเลยแม้แต่สิ่งเดียว นอกจากดำเนินการไปตามที่ได้รับอนุญาตแล้วเท่านั้น อยู่ที่ว่าจะค้นหาหรือไม่ว่าผู้ใด หรือปล่อยไปไม่สนใจ  ด้วยความมักง่ายล่ะ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 11:34:58

ความคิดเห็นที่ 17 เพราะฉะนั้น การจะเจริญรุ่งเรือง หรือไม่นั้น เกี่ยวกับพระเจ้าโดยตรงเลยครับ เราจะเห็นได้ว่า ผู้ที่อ้างว่าค้นพบ ปัจจัยด้านบนนั้น ก็ไม่ได้ทำให้ บ้านเมืองตัวเองรุ่งเรือง ประชาชนดีขึ้นแต่อย่างใด แต่อิสลาม คำสอนจากพระผู้เป็นเจ้า ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า อิสลามเท่านั้น ที่ทำได้ ไม่มี ไม่เคยมี และจะไม่มีศาสนาใดทำได้อีกต่อไป อันนี้เห็นชัดเจน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 11:36:49

ความคิดเห็นที่ 18 ความคิดเห็นที่ 1     คำสอนง่าย ไม่ต้องให้คิดมาก ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว สุดท้ายพาประเทศไปลงนรก ยังมีให้เห็นมาเเล้ว หว่านพืชอะไรย่อมได้ผลนั้น เช่น สอนกันมาว่าก่อการร้ายได้ขึ้นสวรรค์ สุดท้ายโดนคนทั้งโลก รุม พอถูกรุมมากๆเข้าก็หาว่ารู้รังแก หรือ สอนให้ปกปิดความชั่วซึ่งกันและกันสุดท้ายไปลงนรกด้วยกันทั้งคู่ มีสมองเเต่หาใช้สมอง นั้นไม่ จะยังมีประโยชน์ที่เกิดมาเป็นคนหรือ >> ในเมื่อเชื่อว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์และโลก เเล้วอะไรเล่าที่สร้างพระเจ้า? จากคุณ : mce   เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 22:02:57     @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ ความคิดเห็นที่ 10     รู้สึกว่า 5 อันดับแรก ของประเทศที่มีอิสลามเยอะๆ จะโดนพระเจ้าประทานพร ให้ จน และด้อยพัฒนา นะครับ Morocco 99.9 Afghanistan 99.8 Tunisia 99.8 Iran 99.6 Western Sahara 99.6 50ปีที่ผ่านมา 5 ประเทศข้างต้นผู้คนล้วนมีเข้าถึงอิสลามกันถ้วนหน้า แต่พระเจ้ากลับประทานความยากจนและความด้อยพัฒนามาให้ ซึ่งขัดกับประโยนช์ข้างล่าง "คำสอนที่ตรงไปตรงมาเหมาะกับทุกชนชั้น เรื่องนี้พิสูจน์ได้ด้วยการกระทำ สามารถนำพาสังคมที่เหลวแหลกที่สุดไปสู่สังคมที่เจริญที่สุดได้ ในระยะเวลาถึง 50 ปี" เราคงต้องหาคำตอบต่อไปว่าใครสร้างพระเจ้า แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 55 10:13:39 จากคุณ : mce   เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 10:10:55   ถูกใจ : ซามูไรหมูตอน @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ คำบอกเล่าของ MCE คือประเทศที่เชื่อพระเจ้าวินาศ วิบัติ ผมถามต่อว่า "แล้วประเทศอะไร" MCE  ตอบพี่จิม    ประเทศดังกล่าว เมื่อได้คำตอบ ว่า  5 ประเทศนั้นประสพภัยพิบัติ เพราะว่าเชื่อพระเจ้า อย่างหัวปรักหัวปรำ พี่จิม ขอเรียนในฐานะอิสลาม และตามความเป็นจริงว่า "5 ประเทศดังกล่าว ที่วิบัติเจอภัยพิบัติ เพราะว่าไม่ยึดถือและเชื่อคำสั่งสอนของพระเจ้าและศาสนาอิสลาม " วิธีแก้ใข  ต้องรนณรงค์ ให้ 5 ประเทศ เชื่อมั่นในคำสอนของพระเจ้าและอิสลามอย่างหัวปรักหัวปรำ  ประเทศชาติจะได้พ้นภัย จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 13:12:41

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่มีตนใหญ่ ไม่มีพระเจ้า ไม่มีตนเรา เนี่ยแหละความเป็นมนุษย์ผู้โง่เขลา เพราะพยายามเอาตนเองนั้นเป็นใหญ่ที่สุดเก่งที่สุด พูดไม่รู้เรื่องนี่หว่า อยากให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง  ก็อยู่ที่คน ช่วยกันสร้าง คิดอย่างมีเหตุผล แล้ว  ในนี้มีให้ คุณศึกษามากมาย มากมายจริงๆ  ใช้สติปัญญา คิดตาม ปฎิบัติตามได้ ไม่ต้องมา  ไซโค  ให้เชื่อตาม ไปลองเรียนดูก่อน ผมเคย แนะนำ ท่าน ต่างศาสนา ที่มีชื่อเสียงใน บรอดนี้ ไป ตอนนี้ท่านสบายไปแล้ว อยากให้  ลองดูก่อน  ไม่เสียตังค์  ไม่ต้องมาเข้ารีด ท่านแสดงเหตุ ปัจจัย24 แล้ว  คุณก็ไปศึกษาซี้.. คุณอยากได้  ผลลัพท์   เคยเรียนวิชาต่างๆมากมาย มีตัวแปรอะไรอะไร รู้เหตุปัจจัย แล้วนี่  ผลมันก็ได้ตามน้้น หรา เลข1 บวก เลข1 ก็ออกมาเป็น2   ขี้1กอง รวมกับ ขี้1กอง  ก็กลายเป็นขี้กองใหญ่ คุณรู้ เหตุปัจจัย ตัวไหน คุณก็รู้ วิธี แก้ คุณอยากได้ ผลลัพท์อย่างไร  คุณก็แก้อย่างนั้น มีตัวเลข 1 สองชุด  อยากได้ผลลัพท์ เป็น เลข0 เราก็เอาไปลบกัน คุณอยากรู้อะไร  คุณก็ศึกษาเอาดี้ อยาก กิน ก๋วยเตี๋ยว  ก็ ไปซื้อ  เส้นก๋วยเตี๋ยว หมู ผัก  มาปรุง เข้าไป นะครับ ก็จะได้ก๋วยเตี๋ยว 1ชาม ไอ้เรื่องตน นี่นะมันมี เพราะเรายังไม่รู้ พอเรารู้แล้ว  ตนมันก็ไม่มี ในขั้นเบื้องต้น  เราก็สมมุติ ตน กันไปก่อน จะได้เรียก สื่อสารกันถูก ว่า นี่นะ carroth นี่ supersub นี่ ดิน นี่น้ำ  นี่ก้อนหิน  อย่างท่านชี้ไปที่สิ่งนี้ ก้อนหิน ท่านรู้จัก ผมรู้จัก  ถ้าท่านเรียกชื่อ ก้อนหิน ที่ซาอุ  จะมีใครรู้จักมั๊ย  ถึงแม้ก้อนหิน มันก็ไม่มีตัวตน ถึงแม้ ร่างกายก็ไม่มีตน  จับดูซิ  ตรงไหนคือคุณบ้าง มันเป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นมา ถัดไป(คิดว่าระดับคุณคงเข้าใจไม่ยาก) ถัดไป  จิตใจ  ความคิด  ของคุณ  ก็ไม่มีตน เดี๋ยว เรื่อง นาม  นี่ จะอัญเชิญ  ท่าน  โขตาน  มาอธิบายให้ฟัง ผมมันขั้น ลูกกะจ๋อก เอาคร่าวๆ  ไปลองดูนะ เวลาศึกษาอะไร ลองทำความรู้สึก แบบ แบ่งรับแบ่งสู้นะ ไม่งั้น  จะมี อคติ4  เดี๋ยวอดได้ของดี จากคุณ : supersub เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 13:57:21

ความคิดเห็นที่ 20 ของดี ที่มันไม่ได้เกิดผลดีอะไร กับ ประชาชาติตัวเอง ญาติวงศ์ตัวเองน่ะเหรอครับ ผมเห็นผลลัพธ์ แล้ว มันก็ไม่ได้คุณค่าอะไร ปัจจัยเหล่านี้ พวกเจ้าลัทธิก่อนๆ ก็ไม่ใช่จะคิดกันไม่ได้ นะครับแต่มันก็ยังทำให้ก่อประโยชน์เป็นรูปเป็นร่างไม่ได้ เพราะมันเข้ากับข้อ 1 ที่ผมบอกไปคือ ไม่มีประสิทธิภาพในการสอนคน คำสอนยากๆ เอาไว้อ้างเพื่อให้ดูว่ามีปัญญา แต่หาสาระไม่ได้ ถ้าถึงขั้นบอกว่า ไม่มี จิต ไม่มีตัวเอง แล้วก็คงไม่มีประโยชน์อะไรจะศึกษา เพราะสิ่งใดๆ ต่อให้เราไม่ตั้งชื่อให้ มันก็มีอยู่ครับ ถึงแม้มันจะประกอบมาจากสิ่งอื่น แต่มันก็กลายเป็นสิ่งนั้นไปแล้ว ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตาม สิ่งต่างๆ มันไม่ได้มีเพราะเรารับรู้ และถ้าเราไม่รับรู้มันจะสูญสลายไป ซะเมื่อไหร่ เหมือนกับบอกว่า ถ้าหลับตา ทุกอย่างก็หายไป มันไม่หายครับ มันยังอยู่เพียงแต่เราไม่ได้มองเท่านั้นเอง แบบนั้นไม่ใช่ทางแก้ปัญหาหรอกครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 15:03:03

ความคิดเห็นที่ 21 1.ความเป็น มนุษย์ มีมาประมาณ 10,000 ปี ก่อน อยากถามว่าทำไมพระเจ้าเพิ่งมาเมื่อ 1,000 กว่าปีที่เเล้ว? 2.ยิวมีมาก่อนอิสลาม ยิวเองก็ไม่กินหมู และกฏที่อิสลามใช้มีส่วนคล้ายยิวมาก อยากทราบว่าใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน 3.ทำไมเราด่าพระเจ้าทุกวันชีวิตเราปกติดีทุกอย่าง 4.นรก มีอยู่จริงหรือ? 5.มีใครที่เป็นอิสลามเเล้วกล้าสงสัยในอิสลามหรือไม่ 6.ถ้าพระเจ้ามีจริงทำไมมุนษย์เพิ่งมารู้จักพระเจ้าเมื่อไม่นานมานี้ 7. 8.พระเจ้าที่เกิดขึ้นในโลกนี้มีเยอะมากๆ เพราะอะไร? 9.ใครเคยเจอพระเจ้าบ้าง 10.มนุษย์ต่างดาว คือพระเจ้าใช่หรือไม่    ใครตอบผมได้มั่งครับ ใน 10ข้อ จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 15:40:39

ความคิดเห็นที่ 22 จะหลับตาทำไม ทำอย่างนั้น มันก็ไม่มีประโยชน์ มันก็ไม่แก้ปัญหาหรอก เค้าให้ดู เหตุปัจจัย ดูเข้าไปที่ ต้นตอ อุตส่าห์ ยกตัวอย่างตั้งหลายอัน ไม่ได้อ่านเลย เค้าให้เข้าไปดู  ให้ลืมตาดู  ให้ตื่นดู  โอ... จะหลับตาไปทำไม จะหลับตาทำไม ทำอย่างนั้น มันก็ไม่มีประโยชน์ มันก็ไม่แก้ปัญหาหรอก จากคุณ : supersub เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 15:48:41

ความคิดเห็นที่ 23 ความคิดเห็นที่ 23 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน ดูตามความเป็นจริงประเทศมหาอำนาจ และเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก มีพวกอิสลามเป็นชนกลุ่มน้อย 10 อันดับประเทศมหาอำนาจของโลก 1 สหรัฐอเมริกา 11,734,300 2 ญี่ปุ่น 4,671,1983 3.เยอรมนี 2,754,727 4 สหราชอาณาจักร 2,133,019 5 ฝรั่งเศส 2,046,292 6 อิตาลี 1,680,112 7 จีน 1,653,686 8 สเปน 1,041,338 9 แคนาดา 993,443 10 เกาหลีใต้ 680,409 สำหรับ 10 อันดับเมืองน่าอยู่ของโลกประจำปี 2554เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.เวียนนา ออสเตรีย 2.ซูริค สวิสเซอร์แลนด์ 3.โอ๊คแลนด์ นิวซีแลนด์ 4.มิวนิค เยอรมนี 5.ดืสเซลดอร์ฟ เยอรมนี 6.แวนคูเวอร์ แคนาดา 7.แฟรงเฟิร์ท เยอรมนี 8.เจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ 9.เบิร์น สวิสเซอร์แลนด์ 10.โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก 10 อันดับ "เมืองไม่น่าอยู่ที่สุดในโลก" อันดับ 1 เมืองแบกแดด  สาธารณรัฐอิรัก รัฐอิสลาม อันดับ 2 เมืองบังกี สาธารณรัฐแอฟริกากลาง รัฐอิสลาม อันดับ 3 เมืองเอ็นจาเมนา สาธารณรัฐชาด (Chad) รัฐอิสลาม อันดับ 4 เมืองบราซซาวิล สาธารณรัฐคองโก รัฐอิสลาม อันดับ 5 เมืองคาร์ทูม สาธารณรัฐซูดาน รัฐอิสลาม อันดับ 6 เมืองซานา สาธารณรัฐเยเมน รัฐอิสลาม อันดับ 8 เมืองเอ็นจาเมนา สาธารณรัฐชาด รัฐอิสลาม อันดับ 9 เมืองกินชาซ่า สาธารณรัประชาธิปไตคองโก รัฐอิสลาม อันดับ 10 เมืองปอร์โตแปรงซ์ สาธารณรัฐเฮติ รัฐเสรีประชาธิปไตย แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 55 15:59:03 จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 15:56:07

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้า ท่าน Carroth  คงไม่ตาย โต๊ะ เก้าอี้  ไม่วันสูญสลาย มันตั้งขึ้นมา  แล้วมันก็คงอยู่ระยะหนึ่ง แล้วมันก็สูญสลาย เวลาผมพูดเรื่องที่ถึงที่สุด ท่านก็ ลากย้อนมันกลับมาอีก จากคุณ : supersub เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 16:10:07

ความคิดเห็นที่ 25 คำสอนที่คุณว่า นั้น มันก็ไม่ต่างกับหลับตา แล้วของหายไปหรอกนะครับ ประเภทเราไม่มี จิตไม่มี ทุกอย่างไม่มี คุณพิมพ์ของคุณเอง คำสอนแบบนี้แหละครับ ที่ผมเห็นว่ามันหนีปัญหา ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะมันมีอยู่เพียงแต่จะเลือกสนใจ หรือไม่สนใจก็เท่านั้น ส่วนเหตุปัจจัย ผมอ่านแล้วครับ คุณนั่นแหละคงไม่ได้อ่าน ผมบอกว่า ปัจจัยเหล่านี้ พวกเจ้าลัทธิก่อนๆ ก็ไม่ใช่จะคิดกันไม่ได้ นะครับแต่มันก็ยังทำให้ก่อประโยชน์เป็นรูปเป็นร่างไม่ได้ เพราะมันเข้ากับข้อ 1 ที่ผมบอกไปคือ ไม่มีประสิทธิภาพในการสอนคน คำสอนยากๆ เอาไว้อ้างเพื่อให้ดูว่ามีปัญญา แต่หาสาระไม่ได้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 20:51:06

ความคิดเห็นที่ 26 คำถามของ mce หาคำตอบได้ ในกระทู้เก่าๆ นั่นแหละครับเป็นปัญหาไร้สาระ ถ้าสงสัยไปตั้งกระทู้ถามเลยครับ ส่วน สถิติที่ว่านั้น ผมบอกแล้วว่า ประเทศเหล่านี้ ได้รับความหายนะ จากภัยสงคราม ที่โดนรุกรานโดยชาติตะวันตก ถ้าไม่โดนรุกราน ก็ไปไกลแล้วล่ะ นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมาเมืองหลวงของรัฐเคาะลีฟะฮ์อันดาลูสก็คือเมืองคอร์โดบาซึ่งมี ประชากร 600,000 คน มีอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างประมาณ 200,000 หลัง มัสญิด 1,500 แห่งและห้องอาบน้ำสาธารณะประมาณ 1,000 แห่ง ในห้องสมุดของเมืองมีเอกสารและบันทึกต่างๆกว่าครึ่งล้านชุด ศูนย์กลางของเมืองมีระบบลำคลองที่เชื่อมกันและในตอนกลางคืนแม้แต่ถนนที่แย่ ที่สุดก็มีแสงสว่าง กล่าวโดยสั้นๆ เมืองนี้มีสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างที่ไม่สามารถพบได้ในเมืองยุโรปอื่นๆ แม้แต่กษัตริย์คริสเตียนหลายคนก็ยังส่งลูกหลานของตนมาศึกษาในอันดาลูสทั้ง นี้เนื่องจากที่นี่มีมหาวิทยาลัยที่ดีหลายแห่ง และภาษาอาหรับเป็นภาษาสำคัญของโลก http://www.oknation.net/blog/varunrint/2009/06/09/entry-3 ไม่เคยปรากฎว่า มีศาสนาใดเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้เหมือนอิสลามนะครับ ส่วนประเทศมุสลิมในปัจจุบัน ล้วนได้รับการทดสอบเพราะห่างจากการปฏิบัติตามหลักศาสนาไงล่ะ ผมว่าแล้ว คนมันโง่มันก็โง่ วันยังค่ำ ยกสถิติ มาแต่ละครั้ง ก็ได้รับความอับอายไปแทบทุกครั้ง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 20:53:16

ความคิดเห็นที่ 27 จะว่าไปเมืองเหล่านั้น ก็เป็นเมืองที่ ต้องขอบคุณอิสลาม ในการพายุโรปให้พ้นยุคมืด บทบาทของการแพทย์อิสลามต่อเรอเนสซองยุโรป The Islamic Medicine: Its Role in the Western Renaissance http://www.oknation.net/blog/print.php?id=284417 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 20:58:14

ความคิดเห็นที่ 28 เกริ่นนำ บทบาทของการแพทย์อิสลามต่อเรอเนสซองยุโรป The Islamic Medicine: Its Role in the Western Renaissance บทความโดย ลานา อัมรีล ช่วงสิ้นสุดศตวรรษที่ 15 ยุโรปตื่นตัวด้านความรู้, วัฒนธรรม, และวิทยาศาสตร์ไปทั่วทั้งทวีป จากนั้นเรอเนสซองหรือการฟื้นฟูศิลปวิทยาการก็ได้ก่อกำเนิดขึ้น วิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นส่วนหนึ่งของแสวงหาทางปัญญาในช่วงนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากโรงเรียนแพทย์จำนวนมากมายที่ก่อตั้งขึ้นมาทั่วยุโรป การแพทย์อิสลามมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการก่อตั้งและการพัฒนาของโรงเรียนแพทย์ในยุโรป โดยเฉพาะในโรงเรียนแพทย์แห่งแรกๆ เช่นที่ซาแลร์โน ด้านใต้ของอิตาลี และที่มองเปลิเอและปารีสในฝรั่งเศส ช่วงยุคทองของศิลปวิทยาการอิสลามเมื่อ 1,000 ก่อนหน้านี้ ชาวอาหรับมิได้ทำแค่เพียงแปลตำรากรีกมาเท่านั้น พวกเขาสร้างแพทย์ชื่อดังจนเป็นตำนานของยุค, ตัวยารักษาอาการป่วยไข้ซึ่งในสมัยก่อนหน้านั้นยังไม่มีใครรู้จัก, และท้ายที่สุดคือโรงเรียนแพทย์ของพวกเขาซึ่งกลายเป็นแม่แบบของโรงเรียนแพทย์ในโลกตะวันตก   ยุโรปได้ก่อตั้งโรงเรียนแพทย์แบบเดียวกับอาหรับขึ้นมา, จัดระเบียบองค์กรเหมือนกัน, และก็สอนหลักสูตรเดียวกัน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 21:00:00

ความคิดเห็นที่ 29 โรงเรียนแพทย์ซาแลร์โน อิตาลี ซาแลร์โนได้กลายมาเป็นมหาวิทยาลัยแพทย์แห่งแรกสุดของโลกคริสเตียนหลังจากที่คอนสแตนติน ดิอาฟริกัน ได้เดินทางมาที่นี่ ในปี 1065 เขาได้ขนตำราแพทย์อิสลามจำนวนมหาศาลลงเรือจากอาฟริกามาที่อิตาลี และด้วยการสนับสนุนจากอาร์คบิชอบอัลฟานัสแห่งซาแลร์โน คอนสแตนตินได้เริ่มแปลตำราภาษาอารบิกเหล่านี้เป็นภาษาละติน (แต่ที่แปลๆ ไป คอนสแตนตินมักไม่ได้ระบุแหล่งข้อมูลไว้ ราวกับเป็นผู้แต่งตำราซะเอง แต่ท้ายที่สุดเมื่อมาดูเนื้อหาแล้วก็รู้ว่าแปลมาจากตำราอาหรับเล่มใด – ผู้แปล) ก่อตั้งโรงเรียนแพทย์ที่ซาแลร์โน โดยเลียนแบบโรงเรียนแพทย์ของโลกมุสลิมทั้งที่ตะวันออกและที่สเปน “การศึกษาด้านแพทย์มีทั้งในห้องสมุดและในโรงพยาบาล และนักเรียนจะทำงานตามคำชี้แนะของคณะครู” จากนั้นโรงเรียนซาแลร์โนก็มีชื่อเสียงขึ้นเพราะการจัดองค์กรใหม่และการแพทย์แบบใหม่ ซึ่งมีบทบาทนำไปสู่การฟื้นฟูวิทยาการในอิตาลี และยังทำให้มหาวิทยาลัยซาแลร์โนเป็นโรงเรียนแพทย์ที่โด่งดังที่สุดในโลกคริสเตียนตะวันตกในยุคนั้น ตำราเด่นๆ ที่คอนสแตนตินแปลมาได้แก่ · Liber pantegni แปลมาจากตำราแพทย์ Kitab Kamil as-sin'a at-tibbiya (the complete or ‘perfect' book on medical art) หรือรู้จักกันในชื่อ กิตาบ อัล-มาลิกี (Kitab al-Maliki) ของอาลี อิบนุ อับบาส อัล-มาจูซี หนังสือเล่มนี้เขียนเสร็จในปี 980 เป็นตำราวิชาการอาหรับที่สำคัญที่สุดก่อนยุคของอวิเซนนา และตำราแปลชุดนี้กลายเป็นตำราพื้นฐานของวิชาแพทย์ศาสตร์ที่ซาแลร์โนไปในเวลาไม่นาน และเป็นแนวทางของรูปแบบการศึกษาของโลกสมัยกลางในเวลาต่อมา อัล-มาจูซีเป็นชาวเปอร์เซีย บรรพบุรุษนับถือศาสนาโซโรเอสเตอร์ แต่ตัวเขาเองเป็นมุสลิม ความศรัทธาในอัลลอฮของเขาปรากฎอยู่ทั่วไปในหนังสือที่เขาแต่ง · Viaticum แปลมาจากตำรา Kitab Zad al-Musafir wa qut al-Hadir (Provision for the traveler and nutrition for the sedentary) ของ อิบนุฮาลิด อัล-กัซซาร์ (Ibn Halid al-Gazzar เสียชีวิตค.ศ.1004) เป็นหนังสืออาหรับที่โด่งดังมากมีเนื้อหาเด่นด้านทันตกรรม อัล-กัซซาร์เป็นชาวอาฟริกาเหนือ · Liber de gradibus แปลมาจาก Kitab al-adwiya al-mufrada (Treatise on Simple Drugs) ของอิบนุ อัล-จัซซาร์ แห่งคอยราวัน ตูนีเซีย · Liber de isagogis ของโยฮันนิชัส (Johanitius) นั้นทำให้โลกตะวันตกได้รู้จักวิธีการใหม่ๆ ด้านแพทย์ศาสตร์ ตำราโลกตะวันตกพร่ำบอกเราแค่ชื่อละตินแบบนี้ โดยละเลยที่จะบอกว่าโยฮันนิชัสแท้จริงก็คือ ฮูนาอีน อิบนุ อิสฮัค (Hunayn Ibn Ishaq ค.ศ.809-873) และตำรา Liber de isagogis ของเขาความจริงก็คือหนังสือ มัสซาอิล ฟีอิลติบ (maasa’il fi’l tib) หรือ medical questions (ปริศนาด้านการแพทย์) , ภาวะซึมเศร้า, อาการหลงลืม ซึ่งโดยมากเขียนโดยแพทย์มุสลิมในคอยราวัน เมืองหลวงของตูนีเซียที่บ้านเกิดของเขา หนังสือเหล่านี้เมื่อแปลแล้วคอนสแตนตินตั้งชื่อใหม่เป็นภาษาละติน บางทีหนังสือแปลของคอนสแตนตินที่มีบทบาทต่อการแพทย์ยุโรปในระยะยาวก็คือ ตำราด้านโภชนาการ, อาการไข้, และด้านปัสสาวะ Liber febribus, Liber de dietis universalibus et particularibus และ Liber de urines ที่เขียนโดย ไอแซค อิสราเอลลี เบน โซโลมอน (Isaac Israeli Ben Solomon ค.ศ.832-932) ชาวยิวในอียิปต์ เป็นแพทย์ในราชสำนักฟาตีมียาของอียิปต์ คอนสแตนตินแปลตำรามาโดยบอกว่าตัวเองเขียนเองอีกตามเคย จนปี 1515 โรงพิมพ์ที่ลียง ฝรั่งเศส พิมพ์หนังสือ Opera Omnia Isaci ของไอแซค อิสราเอลลี ออกมา ถึงจับได้ว่าคอนสแตนตินลอกมาจากหนังสือของไอแซค ในช่วง 20 ปีถัดจากนั้น คอนสแตนตินก็ยังแปลตำราอาหรับต่อไปควบคู่กับสอนลูกศิษย์ที่โรงเรียนแพทย์ซาแลร์โน และเสียชีวิตในปี 1087 ที่สำนักสงฆ์มอนเตคัสสิโน อิตาลี จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 21:03:14

ความคิดเห็นที่ 30 มุสลิม ถ้านำอิสลามมาใช้ ก็สามารถ เปลี่ยนแปลงโลกได้แบบนี้แหละครับ ไม่ทราบว่า ศาสนาอื่นมีทำได้มั่งไหม? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 21:03:50

ความคิดเห็นที่ 31 อีก 1 ตัวอย่างแขกโง่ๆ ที่ไม่เคยพัฒนาตัวเอง  ถ้าบอกว่าแขกเป็นต้นกำหนิดทางการเเพทย์ แล้วถึงนาทีนี้ การแพทย์ที่เมืองแขกน่าจะเจริญมากกว่า แต่ทำไมทางการแพทย์ยุโรปถึงเจริญกว่า? อ้างแต่โดนรุกรานโดยชาติตะวันตก ทำไมอเมริกาเพิ่งก่อตั้งประเทศได้ไม่นานทำไมเจริญกว่าแขกตั้งเยอะ? สามารถยึดเมืองแขกได้ ง่ายๆแค่ปลายนิ้ว? "มุสลิม ถ้านำอิสลามมาใช้ ก็สามารถ เปลี่ยนแปลงโลกได้แบบนี้แหละครับ ไม่ทราบว่า ศาสนาอื่นมีทำได้มั่งไหม?" ต้องถามว่าเปลื่ยนโลกไปในทางด้านมืด หรือด้านสว่าง? จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 21:48:35

ความคิดเห็นที่ 32 "ส่วนประเทศมุสลิมในปัจจุบัน ล้วนได้รับการทดสอบเพราะห่างจากการปฏิบัติตามหลักศาสนาไงล่ะ" พอมีเรื่องดีๆก็บอกพระเจ้าให้รางวัล พอมีเรื่องไม่ดีก็บอกพระเจ้าทดสอบ  คิดเหมือนเจ้าลัทธิ และ ศาสนาต่าง ๆ มีพระเจ้า เทพพระเจ้าหลายองค์บ้าง องค์เดียวบ้าง จังเลย จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 22:09:17

ความคิดเห็นที่ 33 โลกมีอายุราวๆ4.5พันล้านปี     ย้อนเวลาไปกว่า3พันกว่าล้านปีก่อน ชีวิตกำเนิดขึ้น   ใช้เวลาอีก2พันกว่าล้านปีต่อมาถึงจะมีชีวิตในอาณาจักรสัตว์   200กว่าล้านปีก่อนยังเป็นยุคไดโนเสาร์   2ล้านปีก่อน มนุษย์ถือกำเนิด      6พันปีก่อน อารยะธรรมมนุษย์เกิดขึ้น    ถ้าเทียบอายุของโลกตั้งแต่กำเนิดเป็น24ชม.     อายุของอารยธรรมมนุษย์ที่แค่6พันปี ไม่รู้จะถึงเข็มวินาทีกระดิกรึเปล่า        แล้วติ๊ต่างมนุษย์แต่ละคนมีชีวิตได้100ปี แล้วไปเทียบ    มันก็คงเร็วเท่าฟ้าแลบ แต่ผมว่าน่าจะเร็วกว่าฟ้าแลบอีกนะ          คุณCarroth ไม่คิดอะไรแบบนี้มั่งเหรอ     ถ้าชอบการเปลี่ยนแปลงโลกในด้านต่างๆ ทำให้โลกดีขึ้น     ทำไมต้องแบ่งแยกแบ่งพวกแบ่งศาสนาด้วยล่ะ             ถ้าเราไม่ได้ล้ำเกินใคร แต่หากว่าชีวิตก็สงบสุขดี      ก็ดูเหมือนว่าคุณCarroth จะยังไม่พอใจเท่าไหร่ จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 22:57:01

ความคิดเห็นที่ 34 เฮ้อ อายุอานามก็มากกันแล้วนะครับ จากคุณ : yod_envi เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 23:29:27

ความคิดเห็นที่ 35 ทุกข์  มันเกิดขึ้นตรงไหน ก็ดับมันตรงนั้น จากคุณ : supersub เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:06:13

ความคิดเห็นที่ 36 ก็ถ้ามีข้อมูลแย้ง ก็เอามาแย้งได้นะครับ แต่ถ้าไม่มี หรือมีข้อมูลโง่ๆ ประเภท อุยกูร์ คือฮั่น ผมว่าอย่ามาแถดีกว่ามังครับ mce เพราะผมเอาตัวอย่างและข้อมูลมาแล้วว่าอิสลามนี่แหละ ทำความเจริญมาสู่มนุษย์ได้จริง อย่างที่ไม่มีศาสนาไหนทำได้มาก่อน แล้วมันจริงไหมล่ะ เพราะผมก็ยังไม่พบว่า จะมีศาสนาอะไรที่พัฒนามนุษย์ได้แบบนี้ นอกจาก อาศัยศาสนาหาลาภสักการะไปวันๆ ก็แค่นั้น หรือว่าไม่จริง ผมบอกแล้วว่า สมัยก่อน พวกหากินกับลัทธิศาสนา มันมีเยอะ มันก็ตั้งคำสอนให้เข้าถึงยากมาเพื่อหลอกหาลาภสักการะไปวันๆ อย่างที่บอกไปแล้ว แต่จะพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าศาสนาใดคือสัจจธรรม ก็ต้องดูว่า ศาสนานั้น นำพาความเจริญมาสู่มนุษย์ได้หรือไม่ต่างหาก แล้วก็มีแต่อิสลามเท่านั้นที่ทำได้นะครับ ส่วนความเจริญของอเมริกา ก็ถ่ายมาจากยุโรป ยุโรป ก็เอามาจากอาณาจักรมุสลิมนั่นแหละครับ ที่ทำให้เกิด ยุคเรอนาซองค์ ซึ่งก่อนหน้านั้น ความรู้กระจัดกระจาย ไม่ได้รับการต่อยอด ก็มีมุสลิมนี่แหละ ที่อิสลามนำความเจริญ และเปิดโลกวิทยาการให้กับมนุษย์ชาติ ดังที่ผมยกบทความมาแล้ว ไม่งั้นมนุษย์ก็ยัง ก้มหน้าก้มตา หาปัจจัย ไม่จบไม่สิ้น ไม่เจริญสักที อินเดียล้าหลังยังไง มันก็ยังล้าหลังอยู่อย่างนั้น ขณะที่รัฐอิสลาม คนดำกลายเป็นผู้ดูแลเมืองได้ แต่อินเดีย คนบางวรรณะ ได้รับการปฏิบัติยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก ผลงานมันต่างกันครับ ผมจึงตั้งคำถาม เพื่อให้ค้นหาสัจจธรรมกันไงล่ะว่า พฤติกรรมเช่นใดที่เรียกว่า สับปลับ ลิ้นสองแฉก และห่างไกลจากสัจธรรม MsgStatus(Msv[0], 0); 1. ไม่มีประสิทธิภาพในการสอนคน คำสอนยากๆ เอาไว้อ้างเพื่อให้ดูว่ามีปัญญา แต่หาสาระไม่ได้ 2. ตรงไปตรงมา ปฏิบัติได้กับชนทุกประเภท ช่วยผู้คนได้ในวงกว้างไม่อ้างชนชั้น จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 09:48:23

ความคิดเห็นที่ 37 อุดมการณ์       เข้าถึงสภาวะไร้ทุกข์สิ้นเชิงตลอดกาลปลอดภัยแล้วไม่กลับมาทุกข์อีกแล้ว กระบวนการเข้าถึง          ละชั่ว   ทำความดี   ทำจิตให้ผ่องแผ้ว ฮ่า  ฮ่า   .................. จากคุณ : supersub เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 12:44:04

ความคิดเห็นที่ 38 คนฉลาดๆ  อย่างท่าน Carroth  ไม่ต้องเรียนมากดอก  ทำแค่  คห.35  ก็พอ ถ้ารู้สึกว่า มัน สั้น กะจิ๋วเดียว   ก็ เอา  คห.37 ไปเสริมอีกนิสซ์นึงแล้วกัน.......... จากคุณ : supersub เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 12:55:54

ความคิดเห็นที่ 39 ^ ^ ^ ^ ปล่อยเขาไปเถอะครับ เหนื่อยเปล่าๆ ธงเขาตั้งไว้แล้ว คุณจะอธิบายไปก็เท่านั้นแหละ เห็นมาหลายปีแล้ว อย่างไรก็อย่างนั้น จากคุณ : yod_envi เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 14:11:33

ความคิดเห็นที่ 40 พอดี ผมใช้ปัญญาพิจารณาแล้ว ผมไม่พบว่า การกระทำแบบที่คุณ supersub ทำปราศจากทุกข์ได้จริงน่ะครับ อีกอย่าง เมื่อไปสวรรค์แล้ว ก็คือสุขนิรันดร์ ปราศจากทุกข์โดยสิ้นเชิง แถมมีแต่ความสุขด้วย ถ้าเฉพาะปราศจากทุกข์คือ 0 ไม่ติดลบ ผมขอเป็น + ไปเลยดีกว่านะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 14:13:25

ความคิดเห็นที่ 41 อิทัปปัจจยตา เป็นหลักการทางพุทธศาสนากล่าวถึงความเกี่ยวเนื่องกันของเหตุและผล เมื่อมีเหตุย่อมมีผล และเมื่อเหตุดับผลก็ดับคือเมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้นเมื่อสิ่งนี้ ไม่มีสิ่งนี้ย่อมไม่มีเพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป อิทัปปัจจยตา ถือเป็นหัวใจของปฏิจจสมุปบาทเป็นกฎเหนือกฎทั้งปวง เป็นพุทธธรรมอันติมะหรือสัจธรรมความจริงแท้ ที่สุดของพุทธศาสนา และเชื่อมโยงคำสอนทั้งปวง ของพระพุทธเจ้าว่า ล้วนเป็นไปตามหลักธรรม หรือกฎของอิทัปปัจจยตาทั้งสิ้น อิทัปปัจจยตาหลักอิทัปปัจจยตาซึมซ่านอยู่ในเหตุปัจจัยแห่งการก่อเกิด การดำรงอยู่ การมีปฏิสัมพันธ์ และเสื่อมสลาย ของสรรพสิ่งในจักรวาล รวมถึงเป็นวิธีคิด ทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ทุกสาขาด้วย ครอบคลุมทั้งปัจจัยส่วนวัตถุ จิตใจ สังคมและอื่นๆทั้งหมด ส่วนปฏิจจสมุปบาทหมายถึงแต่สิ่งมีชีวิตที่มีจิต อิทัปปัจจยตาในทางพุทธศาสนามักใช้ในการอธิบายในรูปแบบปรัชญาใช้อธิบายสิ่งต่างๆแบบเชื่อมโยง เช่น เสาเป็นปัจจัยของหลังคา ถ้าไม่มีเสา หลังคาก็อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีหลังคา เสาก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งเสาและหลังคาเป็นปัจจัยของกันและกัน คือ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาลอยๆโดยไม่มีเหตุผล บางเหตุการณ์ประกอบด้วยหลายเหตุปัจจัย เช่น ร้องให้เพราะเจ็บ เจ็บเพราะหัวแตก หัวแตกเพราะหกล้ม หกล้มเพราะถนนลื่น ถนนลื่นเพราะฝนตก จากคุณ : supersub เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 15:53:05

ความคิดเห็นที่ 42 พระพุทธเจ้ากับปัญหาทางอภิปรัชญา ปัญหา ได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงนิยมตอบโต้กับใครในปัญหาทางอภิปรัชญา อันลึกซึ้งที่ไม่มีประโยชน์ทางปฏิบัติโดยตรงเป็นความจริงหรือไม่ ? พระราธะทูลถาม “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเห็นชอบมีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า ?” พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนราธะ ความเห็นชอบมีประโยชน์ให้เบื่อหน่าย พระราธะ “ความเบื่อหน่ายมีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า” พุทธดำรัส “ดูก่อนราธะ ความเบื่อหน่ายมีประโยชน์ให้คลาย กำหนัด” พระราธะ “ความคลายกำหนัดมีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า” พุทธดำรัส “ดูก่อนราธะ ความคลายกำหนัดมีประโยชน์ให้หลุดพ้น” พระราธะ “ความหลุดพ้นเล่า มีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า” พุทธดำรัส “ดูก่อนราธะ เธอถามปัญหาเลยขอบเขตไปเสียแล้ว เธอไม่สามารถจะเอาที่สุดของปัญหาได้ ดูก่อนราธะ พรหมจรรย์เป็นคุณชาติ หยั่งลงสู่นิพพาน มีพระนิพพานเป็นที่สุด...” จากคุณ : supersub เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 55 19:52:27