Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ผมจะเป็นชาวพุทธที่ดี ตอน ฉลองอีสเตอร์แบบชาวพุทธ (ตอนที่ 1) ติดต่อทีมงาน

===================================
ผมจะเป็นชาวพุทธที่ดี ตอน ฉลองอีสเตอร์แบบชาวพุทธ
===================================
ตอนที่ 1

ช่วงเทศกาลอีสเตอร์  เป็นเทศกาลหยุดยาวของชาวออสซี่เค้าครับ  อารมณ์น่าจะประมาณสงกรานต์บ้านเรา  เริ่มหยุดตั้งแต่วันศุกร์   (เรียกว่า good friday ) ไปจนถึงวันจันทร์  ผมก็เลยถือโอกาสฉลองอีสเตอร์ด้วยการไปปฎิบัติธรรมที่วัดป่าโพธิวันอีกครั้ง  โดยครั้งนี้ผมกะว่าจะไปสองวัน  โดยอยู่ 'เนสัชชิก' คืนหนึ่ง   และไปนอนกุฎิอีกคืน  ซึ่งผมก็ได้โทรไปขออณุญาตกับหลวงพ่อกัลญาโณแล้วเมื่อเย็นวันพุธ

ผมไปที่วัดตั้งแต่วันศุกร์พร้อมกับพี่และป้าผมอีกสองคน   วันนี้ที่วัดเค้ามีงานทอดผ้าป่า และ สรงน้ำพระรับสงกรานต์ควบคู่ไปด้วย  ก็เลยชวนป้ามาทำบุญ  แล้วก็จะขออยู่ปฏิบัติธรรมยาวไปถึงวันอาทิตย์   ส่วนป้ากับพี่ทำบุญเสร็จแล้วก็คงกลับ

มาถึงแล้วก็ขนข้าวของไปวางเตรียมไว้ ให้พวกผู้หญิงเครียมอาหารใส่บาตรไป  ส่วนผมก็เดินออกมาหาอะไรทำ  พอดีเจอกับน้องนะโม ที่มาวัดบ่อยๆ (มาทีไรเจอทุกที  ....ตอนที่แล้วก็พูดถึงเอาไว้ )  เค้ากำลังโบกรถกับลุงฝรั่งอยู่  ก็เลยเข้าไปช่วย  เนื่องจากวันนี้ เป็นวันหยุด  แถมหยุดยาวซะด้วย คนน่าจะมากันเยอะ    แล้วก็จริงอย่างคาดครับ  รถทะยอยกันเข้ามาไม่ขาดสาย  ยิ่งพอใกล้เวลาพระบิณทบาตแล้ว   ยิ่งเข้ามาติดๆกันจนที่จอดรถเต็มเอี้ยด   ที่นี้เราก็เลยต้องจัดระเบียบกันให้ไปจอดตรงลานหญ้า  โดยน้องนะโมเป็นคนไปกันรถที่หน้าวัด  ให้เลี่ยงไปใช้ 'บายพาส' ทางสายเล็กๆที่อ้อมไปหลังวัด   โดยลุงฝรั่งก็ค่อยๆส่งรถมาทีละคัน   แล้วผมก็เป็นคนคอยจัดแถวให้รถจอดกันอย่างเป็นระเบียบ(  เอ่อก็ไม่ค่อยนะ?) บนผืนหญ้า  ซึ่งกว่าจะเสร็จก็เล่นเอาผมเกือบไปไม่ทันใส่บาตรแน้ะ  

แล้วผมก็เลยรีบวิ่งไปต่อแถวญาติโยมที่มารอใส่บาตร   จบ เสร็จเรียบร้อยก็รอให้พระท่านเดินผ่านมาแล้วตักใส่   ท่านอาจารย์กัลยาโณ  ชม (เป็นภาษาอังกฤษ)ว่า เมื่อกี๊ช่วยโบกรถมาเหรอ  ดีแล้วนะ   ผมก็ยิ้มเขินเลย   แล้วค่อยกลับไปสมทบพี่กับป้า  เพื่อเดินขึ้นอุโบสถไปรับพรและร่วมถวายสังฆทานกับญาติโยมคนอื่นๆ      ....วันนึ้คนเต็มอุโบสถเลยครับ  เต็มจนล้นออกมาข้างนอก  หัวแดงๆ ดำๆ เหลืองๆ เขียวๆ (...เฮ้ย  ไอ้เขียวๆนั่นมันแมงวันแล่ว)    เห็นแล้วก็ปลื้มใจในบารมีของครูบาอาจารย์ครับที่ทำให้สาธุชนชาวต่างชาติมากมาย หันมาศรัทธาในพุทธศาสนาได้ขนาดนี้

พอฟังพระสวดให้พรเรียบร้อยแล้ว  ผู้คนก็ค่อยทยอยกันลงมาข้างล่างเพื่อมารับประทานอาหาร   เนื่องจากวันนี้ คนเยอะมากครับ โต๊ะ'บุฟเฟ่'  เลยมีสองวง  ผมกับพี่เลือกกินวงนอก  เพราะขี้เกียจไปเบียดเสียดกันข้างใน   แม้อาหารจะน้อยกว่าก็ไม่เป็นไรครับ  มาวัดทั้งที เรื่องกินนี่มันไม่ใช่ประเด็นอยู่แล้ว  (จริงๆ คือเข้าไปเบียดคนมากกว่าม้างง???)    

แต่เนื่องจากคืนนี้ผมตั้งใจจะอยู่เนสัชชิก หรือปฏิบัติธรรมข้ามคืน  ผมก็เลยต้องพยายามตักอาหารให้มันเยอะๆหน่อย  ไหนจะถือศีลแปดด้วย   หากกินไม่พอมันจะทรมานสังขารซะเปล่าๆ  ก็เลยยัด เอ้ย กินเข้าไปเต็มที่   กินไปกินมา  เฮ้ยย  ทำไมมันยังไม่หมดอีกฟะนี่  ไหนจะของหวานอีก   แถมต้องกินให้หมด ทิ้งไม่ได้ด้วย  เพราะทุกอย่างล้วนเป็นของที่ชาวบ้านศรัทธาทำมาถวายทั้งนั้น  ก็เลยต้องฝืนกินให้หมด      และหากน้อมใจดูดีๆ  เราก็จะเห็นธรรมะที่แฝงอยู่ในนั้นครับ  คือ ตอนแรกเราก็ตักมาซะเยอะเลยเพราะความโลภ  ไอ้นู่นก็น่ากิน ไอ้นี่ก็น่าอร่อย   อยากกินให้ได้เยอะๆ   แต่สุดท้ายพอกินอิ่มแล้ว  อะไรๆที่เมื่อกี๊ดูน่าอร่อย    ก็กลับกลายมาสร้างทุกข์ให้เราซะงั้น    ...ที่มันทุกข์เพราะเราทำอะไรเกินพอดี  มัวแต่หลงไปกับกิเลสจนได้เรื่อง    ( เรื่องกินข้าววัดอย่าให้เหลืออย่าทิ้งนี่  ผมว่าเป็นกุศโลบายของคนโบราณที่เอาไว้สอนคนได้ดีมากครับ   ไม่อยากให้ทุกคนมองข้ามไป )

พอกินเสร็จแล้ว  เราก็ขึ้นอุโบสถกันอีกครั้ง  เพื่อไปฟังเทศน์จากท่านอาจารย์วีรธัมโม  ครูบาอาจารย์พระฝรั่ง (ท่านมาจากแคนาดา )อีกรูปหนึ่ง ที่ได้เมตตามาเยี่ยมเยียนในโอกาสนี้   เสร็จแล้วก็ให้ญาติโยมร่วมกันสรงน้ำพระ   เป็นอันเสร็จพิธี  จากนั้นก็ได้เวลาเก็บกวาดทำความสะอาด  ญาติโยมทั้งหลายก็มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ   ผมก็ไปช่วยเก็บเก้าอี้ตามที่ต่างๆเข้าไปเก็บไว้ในห้องเก็บของ   จากนั้นก็ไปช่วยผ้าขาวถูพื้นศาลาการเปรียญ
ผมถามผ้าขาวว่าจะเอาสัมภาระไปเก็บไว้ที่ไหนดี  ผ้าขาวก็ชี้บอกให้ผมเอาไปเก็บไว้ในตู้ที่ cabin   ผมก็ไปตามที่แกบอก  ระหว่างทางเดินเข้าไปก็เจอเข้ากับครูบาญาณา  พระฝรั่ง ที่ผมเคยคุยด้วยเมื่อคราวที่แล้ว( องค์ที่ให้แบบแปลนกุฎิครูบาอาจารย์หลังใหม่ให้ผม )  ท่านเดินมากับโยมอีกคนหนึ่งเป็นคนไทย (แต่ผมจำชื่อไม่ได้ )  ผมก็ถามไถ่ท่านถึงกุฎิครูบาอาจารย์ว่าสร้างไปถึงไหนแล้ว   ท่านก็บอกว่ากำลังสร้างอยู่เลย  ผมเลยถามท่านต่อว่า  ผมไปช่วยได้หรือเปล่าครับ ท่านก็บอกว่าดีเลย  เดี๋ยวไปเปลี่ยนชุด  แล้วไปช่วยก็ได้   ว่าแล้วท่านก็เดินนำผมไปยัง cabin สำหรับโยมที่มาพัก   แล้วพาไปที่ตู้เก็บของ  และหยิบกล่องใส่ชุด working clothe  (เป็นเสื้อผ้าเก่าๆ สำหรับเอาไว้เปลี่ยนเวลาไปทำงาน)   ทีแรกผมจะไม่เปลี่ยน แต่เห็นพี่คนนั้นเค้าบอกว่า มันเป็นงานขุดดินนะ  ผมก็เลย เอ้า  เปลี่ยนก็ได้  ... ว่าแล้วก็จัดแจงเลือกเสื้อ กางเกง(และถุงมือ)ที่ไซส์พอดีตัวมาเปลี่ยน  เอาเสื้อผ้า และเป้เก็บไว้ที่ตู้  แล้วก็เดินไปพร้อมกับพี่เอ(สมมุติว่าชื่อนี้ละกัน)      

พี่เอนำผมไปยัง ไซท์งานที่กำลังสร้างกุฏิกันอยู่    ปรากฏว่าสร้างไปได้มากพอสมควรแล้ว  ฐานรากเทเสร็จแล้ว  พื้นไม้ชั้นล่างก็สร้างเสร็จเรียบร้อยและมีโครงผนังด้านหนึ่งแล้วด้วย     ที่นั่นมีพระสองรูป  และ ช่างอีกสองสามคน กำลังลงมือทำงานอย่างขะมักเขม้น    ผมกับพี่เอไปถึงก็ถามเค้าว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย    
หลังจากแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยแล้ว ก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน    

ผมเป็นแผนกขุดดิน  โกยดินใส่รถเข็น และเข็นรถขนดินไปเทที่ทางเดิน  ส่วนพี่เอก็ช่วยเกลี่ยดินให้เป็นระนาบเท่ากัน   จะได้สะดวกเวลาเทคอนกรีต     ส่วนช่างชาวศรีลังกาสองคนก็ช่วยกันตอกหลักและวางแนวไม้สำหรับทำแบบเทพื้น   ทำไปซักพักเค้าก็ขอตัวไปพัก   ผมกับพี่เอก็ทำต่อไป    พอทำไปนานๆ ออกแรงมากๆ ก็ชักจะเหนื่อย  (...ปกตินั่งทำแต่ในออฟฟิศ ไม่เคยได้ไปออกแรงที่ไหน )   เห็นสองคนนั้นยังไม่กลับมา   เจ้ากิเลสตัวหนึ่งก็บอกผมว่า ' ดูสองคนนั่นสิ  เค้าจ้างให้มาทำงาน  ก็แอบไปอู้ที่ไหนแล้วเนี่ย  ปล่อยให้เราสองคนทำแทนซะนี่  '   ซักพักผมก็ดูตามมันทัน   มันเลยดับไป     ....ไม่นานนักสองคนนั้นก็กลับมาทำต่อ
เราช่วยกันทำงานคนละไม้คนละมือจนเสร็จ  (จริงๆก็ยังหรอก)  แต่มันเย็นแล้ว  เลยพอก่อนสำหรับวันนี้

เสร็จแล้วผมก็ได้มีโอกาสไปคุยกับครูบา ญาณา    ถามท่านว่า  เริ่มสร้างนานรึยัง  ทำไปได้เยอะแล้วเหมือนกันนี่ครับ   ท่านตอบว่า  เพิ่งจะเริ่มเมื่อสองอาทิตย์ก่อนนี่เอง     ผมถามต่อว่า  แล้วจ้างช่างมากี่คนเหรอ   ท่านก็ตอบว่า  เปล่าเลยก็ทำๆกันเองนี่แหละ   พวกที่ผมนึกว่าเป็นช่างมืออาชีพ  ที่ไหนได้ถามไปถามมา  ปรากฏว่า เป็น'จิตอาสา'กันทั้งนั้นเลยครับ  ฝรั่งคนหนึ่งเป็น Brick layer (ช่างก่ออิฐ)  แต่แกมาช่วยทำโครงผนังไม้   อีกสองคนที่เป็นคนศรีลังกา  เป็นช่างไฟฟ้ากับอะไรไม่รู้  แต่แกก็มาช่วยขุดดินทำแบบสำหรับเทพื้นทางเดินข้างกุฏิ    

รู้อย่างนี้ผมก็เลยรู้สึกผิดเลยครับ   ไอ้เรานี่น้ามันชั่วจริงๆ ไปมองเค้าไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้    โชคดีที่ยังมีสติ ดูตามทันกิเลส  ไม่งั้นหากไปคิดอกุศลสบประมาทเค้ามากกว่านี้  แทนที่จะมาทำบุญ กลับจะได้บาปติดไปแทนซะเปล่าๆ

ผมฟังครูบาท่านพูด  แล้วก็ทึ่งครับ  ท่านบอกว่าทำไปตามมีตามเกิดนะแหละ  วันไหนมีโยมมาช่วยก็ดี  วันไหนที่ไม่มีก็ทำกันสองคนกับครูบาฝรั่งอีกรูป    เมื่อตะกี๊ผมไปเดินดูงานที่ท่านทำ ก็ไม่ใช่กระจอกๆนะครับ รายละเอียดนี่ถูกหลักตามมาตรฐานงานโครงสร้างที่นี่เลยแหละ  ผมถามท่านว่า ท่านทำ wall framing หรือ โครงผนังเองเลยเหรอ เพราะมันไม่ได้ทำง่ายๆเลยนะนั่น (ขนาดผมที่คลุกคลีกับงานดีไซน์โครงสร้างไม้บ่อยๆ  ให้ทำเองผมยังงงเลยครับ)  ท่านก็ตอบว่า  ก็เคยมีอาจารย์รูปหนึ่งมาจากเมืองไทย (ไม่แน่ใจว่าใช่อาจารย์ตั๋นรึเปล่า)  ท่านก็มาสอนวิธีทำกุฎิให้  (กุฏิหลังอื่นๆในวัดก็ดูเหมือนจะสร้างกันเองเหมือนกัน) ท่านก็จำๆมา บางทีก็มาอ่านหนังสือเพิ่มเติมเอา  เห็นแล้วผมก็ชื่นชมในความพยายามของท่านครับ  แถมยังเกิดศรัทธาขึ้นมาอีกมากมายว่า  เงินทุกบาททุกสตางค์  เอ้ย  ทุกดอลลาห์ทุกเซ็น...ที่เราทำบุญไปนั้น ท่านไม่ได้เอาไปใช้สุรุ่ยสุร่ายเลย  ขนาดงานก่อสร้างกุฎินี่ ทั้งๆที่ท่านจะไปจ้างผู้รับเหมามาทำก็ได้ จะได้ไม่เหนื่อยแรง   ท่านก็ยังอุตส่าห์หาวิธีสร้างเองขึ้นมาจนได้  สมกับเป็นพระป่าศิษย์หลวงปู่ชาโดยแท้   (แล้วขนาดงานนี่ก็ไม่ใช่เล็กๆนะครับ  ถ้าได้มีโอกาสไว้จะถ่ายรูปให้ดู   คราวที่แล้ว..ลืม )

ผมเดินกลับไปยังศาลาการเปรียญ  เพื่อไปดื่มน้ำปานะ   ไม่เห็นมีน้ำผลไม้อะไรมาตั้ง แล้วก็ไม่กล้าไปขอใครก็เลยดื่มน้ำเปล่าไป    โชคดีที่มีพี่คนนึงเค้าส่งน้ำอัดลมให้ ก็เลยได้ดื่มอะไรหวานๆซะหน่อย   พี่เอชวนผมกินข้าว  มีคนเค้าทำแกงจืดเลือดหมูมาด้วย  แต่ผมบอกไปว่า ไม่เป็นไรครับ ผมถือศีลแปด  ก็เลยได้แต่นั่งดูคนอื่นเค้ากินข้าว  และดูกิเลสตัวเองไปด้วย    ซักพักพี่เอเค้าก็เอาชามใส่ชีสมาให้ เป็นชีสที่พระท่านสละแล้ว  ผมก็เลยได้กินประทังหิวไป  (จริงๆก็ไม่ได้หิวมากอะไรหรอกครับ  เพราะตอนเที่ยงซัดมาเยอะ)      

กินพอหอมปากหอมคอแล้ว  ผมก็เดินไปที่ cabin เพื่อจะไปอาบน้ำแต่งตัว เตรียมตัวจะไปสวดมนต์  ครูบาท่านหนึ่งถามผมว่าคืนนี้พักที่ไหน  ผมก็ตอบไปว่า  คืนนี้คงอยู่อุโบสถทั้งคืน ตั้งใจจะอยู่เนสัชชิก   ท่านก็อนุโมทนา   ผมยังไม่ได้ขอกุญแจกุฏิจากพระท่านไว้เผื่อวันพรุ่งนี้   เพราะจะได้เป็นการ'ทุบหม้อข้าวตัวเอง'  เกิดภาวนาไปตอนดึกๆแล้วง่วง  จะได้ไม่แอบหนีไปนอนซะก่อน      

อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ  ก็เจอพี่เอเดินเข้ามาพอดี  เค้าถามว่า พวกเสื้อทำงานพวกนี้จะทำไงดี  ผมก็บอกเดี๋ยวผมซักให้ก็ได้ แค่นี้เอง   เค้าก็กล่าวขอบใจ จะได้ไม่ต้องเอากลับไปซักแล้วเอามาคืน  เพราะไม่รู้ว่าจะมาอีกทีเมื่อไหร่   ว่าแล้วผมก็เอาเสื้อทำงานเก็บใส่ไว้ในตู้  เผื่อพรุ่งนี้ได้ใช้อีกวัน  เสร็จแล้วก็เดินขึ้นอุโบสถดเพื่อไปสวดมนต์  

อุโบสถเย็นนี้คนเยอะทีเดียว  แม้จะไม่เยอะเท่าเมื่อเช้า  แค่พอให้ปูอาสนะนั่งกันได้เต็มอุโบสถอย่างสบายๆไม่อึดอัด   พอไปถึง หลวงพ่อท่านก็นำนั่งสมาธิ  กันนานพอสมควร แล้วก็เริ่มสวดมนต์ทำวัตรเย็นกัน  พอสวดเสร็จแล้ว  อาจารย์วีรธัมโมก็แสดงธรรมให้กัณท์หนึ่ง  แล้วเหล่าญาติโยมก็ค่อยๆทะยอยกันกลับบ้านไป  ส่วนผมก็รอให้เค้าไปกันหมดจะได้อยู่ปฏิบัติธรรมต่อ    (ผมแวะไปขอหลวงพ่อมาด้วยว่าจะขออยู่ปฎิบัติธรรมที่นี่จะได้ไหม  ท่านก็บอกได้  หรือจะไปนอนที่กุฎิก็ได้นะ)        

ผมแวะลงไปล้างหน้าแปรงฟันให้เสร็จเรียบร้อย     ขากลับไปยังอุโบสถ  ปรากฏว่าฝนตกครับ  โชคดีที่ใส่เสื้อกันหนาวแบบมีฮู้ดมาด้วยเลยเดินฝ่าฝนกลับไปได้ไม่เปียก  ระหว่างทางก็ดูจิตไปด้วย   พอไปถึงอุโบสถก็เห็นคนนั่งอยู่ไม่กี่คน  มีฝรั่งใส่แว่นขาประจำ (แกชอบนั่งสมาธิ  คราวที่แล้วผมก็เจอ)  ผ้าขาวฝรั่ง  และ อุบาสิกาอีกสองสามคน   ผมก็ค่อยๆเดินย่องไปกราบพระ และเริ่มนั่งสมาธิ

พอนั่งไปได้ซักพักก็เมื่อยมากครับ  จริงๆมันเมื่อยมาตั้งแต่ตอนนั่งสมาธิก่อนสวดมนต์แล้ว   สงสัยเพราะออกกำลังหนักๆมาทั้งวัน  แถมตอนเลิกยังจะลืมวอร์มดาวน์อีก  ก็เลยเมื่อยขบไปหมด  ทั้งแขน ทั้งขา หลังก็ปวดอีก  นั่งทนอยู่พักใหญ่ก็เลยลุกออกไปเดินจงกรมยืดเส้นยืดสายซะหน่อย  

พอเปิดประตูโบสถ์ออกมาปุ๊บ   รู้สึกได้ทันทีเลยว่า  อากาศข้างนอกนี่ช่างแตกต่างจากข้างในลิบลับ   ข้างในอากาศอุ่นสบายๆ  แต่ข้างนอกนี่ทั้งหนาวทั้งฝน  ลมก็พัดแรงอีกต่างหาก   ผมกะจะเดินเข้าไปเอาเสื้อหนาวมาใส่  แต่คิดไปคิดมาก็ไม่เป็นไร หรอกวะ  เดินจงกรมมันทั้งอย่างนี้แหละ ร่างกายมันหนาวๆ  จะได้เห็นมันเป็นทุกข์  สติก็จะได้เกิดดี  

เสียงลมราตรีพัดซู่ซ่าผ่านป่าสนบนเขาอย่างแรง  ฟังดูคล้ายกับเสียงคลื่นทะเลโหมยามมรสุมพัดกระหน่ำ   โชคดีเหมือนกันที่ไม่ได้ไปอยู่กุฎิบนเขา  คงจะน่ากลัวน่าดู  ผมเดินจงกรมอยู่อย่างนั้นพักใหญ่  ยิ่งเดินยิ่งหนาว  ยิ่งหนาว ยิ่งสั่น  ผมเฝ้าดูทุกขเวทนาของกายใจ  (หนาว + เมื่อย + กลัวนิดๆ) ไปซักพักก็ชักจะทนหนาวไม่ไหว  ก็เลยเดินกลับเข้าไปนั่งสมาธิข้างในต่อ
คราวนี้ผมนั่งไปได้นานทีเดียว  ยอมรับว่าสติแอบเผลอ(หลับ)ไปบ้างเหมือนกัน    นั่งแล้วก็ดูสติปัฎฐาน 4 สลับกันไป  พอแขนขามันเมื่อย มันชา ผมก็ดูลงไปที่เวทนา  พอมันปวดเมื่อยมากๆเข้า ผมขยับขาเปลี่ยนท่า  แล้วดูกายขยับตามไป บางทีก็เปลี่ยนอิริยาบถ ลืมตา ลุกขึ้นมายืนบ้าง  แต่ทุกอิริยาบถที่เปลี่ยนนั้นพยายามให้มีสติกำกับไว้ตลอดเวลา      

ยิ่งดึก  ผู้คนก็เริ่มลดน้อยถอยลงไปเรื่อย  ...พอผมไปเดินจงกรม (รอบที่ 3 หรือไงเนี่ยแหละ) กลับมาอีกครั้ง  ปรากฏว่า .....หายไปหมดแล่วว   เหลือผมคนเดียว  ..........ตัวคนเดียว ในอุโบสถอันกว้างใหญ่ ที่มีไฟเปิดสลัวๆ  ....เอ่อ  ทีนี้ใจมันก็ชักเริ่มหวิวๆเหมือนกันครับ       ...ภายใต้แสงไฟตะคุ่มๆนั้นเอง  มองไปข้างหน้าเห็น รูปปั้นครูบาอาจารย์นั่งเรียงกันไป ( มีหลวงปู่ทวด  หลวงพ่อโต หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา ) ก็พอให้ใจชื้นขึ้นมา   และมีกำลังใจที่จะภาวนาต่อ     แต่ไม่นานนักก็มีพระรูปหนึ่ง มานั่งที่อาสนะเบื้องหน้า      ...ณ จุดๆนี้ ดีใจเลยครับ  ได้เพื่อนภาวนาแล้ว

ผมภาวนาสลับนั่งสลับเดินไปเรื่อยๆ   พยายามไม่ดูนาฬิกาว่ากี่โมงแล้ว  จะได้ไม่เกิดกิเลส     แต่ช่วงหลังๆตอนใกล้จะเช้านี่เหนื่อยมากครับ   ทั้งปวดขบทั้งเมื่อยทั้งล้าทั้งง่วง  แถมอากาศช่วงนี้หนาวเจี๊ยกอีกต่างหาก     ...ทีนี้หวานกิเลสมันเลยครับ    พอได้ช่องปุ๊บก็กรูกันเข้ามากันใหญ่    

'จะอยู่ไปทำม้ายย  เห็นมั้ยไม่มีใครเค้าอยู่กันแล้ว'
'เฮ้ยย  เลิกภาวนาแล้ว ไปนอนห่มผ้าอุ่นๆเฮอะ'    
'ไปนอนเอาแรงซะ  ฝืนปวดเมื่อยไปอย่างนี้  เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ช่วยงานไม่ไหวหรอก'

.....ไอ้ผมล่ะเกือบเสร็จมันแล้ว  ดีที่ตอนแรกไหวตัวทัน  ไม่เอากุญแจกุฏิเก็บไว้  'ทุบหม้อข้าวตัวเอง' ซะก่อน  เลยพยายามสู้กับมันต่อไป  แต่ก่อนอื่น  ขอพักรบเดินไปเข้าห้องน้ำก่อน   ว่าแล้วผมก็เดินกะเผลกๆ  ฝ่าลมหนาวลงไปข้างล่าง   มีสติมั่ง หลงไปมั่ง  (บ่อยเลยแหละ)     ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็แวะไปที่ศาลาการเปรียญ เผื่อว่าจะหาชงชาอุ่นๆดื่มแก้หนาวหน่อย  แต่หากาน้ำร้อนไม่เจอ  (คราวก่อนจำได้ว่ามีมาตั้งไว้ให้)   เห็นผ้าขาวกำลังเก็บกวาดครัวอยู่ก็ดีใจ เลยถามว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย   ท่านก็บอกไม่มีอะไรหรอก  ลงมาช่วยอีกทีตอนหกโมงครึ่งเลยก็ได้

แล้วผมก็เดินกะเผลกกลับอุโบสถ  หนาวก็หนาว  (ชาก็ไม่ได้ดื่ม)  แต่ก็พยายามฝืนทนไปถึงอุโบสถ (ในอุโบสถตอนนี้ยังหนาวเลยครับ แต่ยังน้อยกว่าข้างนอก)  เข้าไปก็กราบครูบาอาจารย์ขอให้ท่านทั้งหลายช่วยปกป้องคุ้มครอง  แล้วก็เริ่มนั่งสมาธิต่อไป      

ลืมตามาอีกครั้งรู้สึกว่าอากาศอุ่นขึ้นเล็กน้อย  (คิดว่าน่าจะเช้าแล้ว)  หลังจากอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลจนเรียบร้อยแล้ว  ผมตั้งท่ากำลังจะลุกยืนขึ้น  ก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่า  เฮ้ยย  ทำไมแขนขามันไม่เมื่อยแล้ววะ  ลองแกว่งแขนขาดูก็ปรากฏว่า ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทั้งหลายนั้น    จู่ๆก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ....    

...ที่เค้าว่ากันว่า 'ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม'    .... อ๋อ  มันเป็นอย่างนี้นี่เองสินะ

ธรรมรักษาครับ
ซงย้ง

จากคุณ : ซงย้ง
เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 15:41:02




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com