ความคิดเห็นที่ 2 ตอบง่ายๆ ตามความเข้าใจผมนะครับผมเพิ่งหันเข้าวัดปฎิบัติธรรมได้ไม่นาน โหลดธรรมมะบรรยาย วิธีปฎิบัติของครูบาอาจาร์ยที่เสื่อมใสมาดูมาฟัง สรุปดังนี้ วิชาธรรมกายสอนให้เกิดสมาธิเมื่อเกิดสมาธิแล้วก็จะเห็นนิมิต พอเห็นแล้วก็จะหลงใสในนิมิตนั้นจิตปรุงแต่งในนิมิตนั้นไปเรื่อยไม่จบไม่สิ้น ส่วนสติปัฏฐาน4 จะสอนต่อว่าเมื่อเกิดนิมิตเห็นแล้วให้กำหนดพิจารณา เมื่อกำหนดได้แล้วนิมิตนั้นก็จะดับวูบลงไป ก็จะเกิดสภาวะธรรมอย่างอื่นต่อมาอีกก็กำหนดอีกกำหนดไปเรื่อยๆ ครูอาจาร์ยเล่าว่าทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะเกิดสภาวะธรรมอย่างหนึ่งเรียกว่าปัญญาภายใน ปัญญาภายในนี้ก่อประโยชน์ในการใช้ชิวิตอย่างมาก ส่วนจะไปมรรคผลนิพพานหรือไม่ ผมไม่ทราบครับแต่สมเด็จสัมมาพระพุทธเจ้า สำเร็จด้วยวิธีนี้ครับ ผมภูมิใจดีใจที่ได้พบครูอาจาร์ยท่านได้แนะแนวทางให้ จากคุณ : อ๊อด (Kittisak) เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 22:16:50

ความคิดเห็นที่ 3 Dhammakaya.โออาจี จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 22:52:06

ความคิดเห็นที่ 4 วิชชาธรรมกายจะมีหรือไม่มี จะเคยเกิดหรือไม่เคยเกิดขึ้นในโลกนี้ สติปัฎฐานก็มีอยู่ สมบูรณ์อยู่แล้วในพระไตรปิฏก วิชชาธรรมกายอ้างว่าถูกค้นพบใหม่ โดยหลวงพ่อสด เป็นการอ้างที่รุนแรงมาก เพราะเหตุว่า เป็นการผูกขาดมรรค ผล นิพพาน โดยวิธีการนี้เท่านั้น ตามหลักวิชชาธรรมกายจะต้องได้ธรรมกายชั้นต่างๆจึงจะได้มรรคผล หาไม่แล้ว จะไม่ได้ผล เป็นการบอกอ้างว่า ความรู้ใดๆในพระไตรปิฎกไม่มีมรรคผล นิพพาน เพราะในพระไตรปิฎกไม่มีการปฎิบัติผ่านกายต่างๆตามหลักวิชชานี้ เป็นการปฎิเสธพระไตรปิฎกไปในตัวเอง แต่เพราะพระไตรปิฎกมีหลักที่สมบูรณอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีวิชชาธรรมกายเลยแต่ประการใด แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 09:19:16 จากคุณ : เมฆหลากสี เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 22:53:32

ความคิดเห็นที่ 5 พระบาลี  มหาวาร สังยุตตนิกาย เอกธัมมวรรค  อานาปานสติสังยุตต์ เล่มที่ ๑๙ หน้า ๓๙๘ ข้อที่ ๑๓๑๗ สำนวนแปลหนึ่ง ดังนี้ ดูก่อน อริฏฐะ อานาปานสติเช่นนั้นก้มีอยู่เหมือนกัน เรามิได้กล่าวว่าอานาปานสติเช่นนั้นไม่มี ดูก่อน อริฏฐะ แต่ว่า อานาปานสติที่สมบูรณ์โดยพิสดาร ย่อมมีอยู่อย่างไร เธอจงฟังซึ่งอานาปานสตินั้น เธอจงทำในใจให้ดี  (อย่าให้ นิวรณ๋เข้ามากวน  เพราะ ยังมีความเคยชิน คือ ง่ายที่จะต้อนรับ อุปกิเลส คือ นิวรณืทั้ง ๕  ที่เป็นธรรมดาของ จิตประภัสสร ที่เข้าถึงความเศร้าหมองแล้ว ฯ) เราจักกล่าวบัดนี้ ดูก่อน อริฏฐะ อานาปานสติที่สมบูรณ์ โดยพิสดารนั้น  เป็นอย่างไร?เล่า? ดูก่อนอริฏฐะ (มีพระบรมศาสดาเป็นพระประมุข เป็นปรมาจารย์ของ อาจารย์ของตนฯ) ไปแล้วสู่ป่า ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ตาม ไปแล้วสู่เรือนว่างก็ตาม  (เพียงลำพัง  มั๊ง  หลังจากที่ สดับ แล้ว ฯ) นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบแล้ว (ว่างจาก วิจิกิจฉา อันเป้นนิวรณ์  ที่เป็นน้องเล้กของ วิจิกิจฉาอันเป็นสังโยชน์ "มั๊ง") ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น --- (ใครค้าน  พุทธปัญญา ตรงนี้ โดยเฉพาะ สาวกสมัยนี้ ?) ภิกษุนั้น  มี สติ  (แบบไม่คิด ไม่ดำริ  ไม่ ฝังจิตลงไปในสิ่งใดๆ  นอกจาก มีสติ คือ มี สติ) อยู่ นั่นเทียว  (แล้วเนื่องกับ) หายใจเข้า  (ไม่ได้ตรัสให้ เนื่องกับ ลม จุดกระทบ หรือ ฯลฯ)  มีสติอยู่นั่นเทียว  หายใจออก (จากนั้นตรัส หมวดกายาฯ ๔ ข้อ  หมวดเวทนา ๔ ข้อ หมวดธัมมาฯ ๔ ข้อ ฯ) ดูก่อนอริฏฐะ อานาปานสติที่สมบูรณ์ (ตั้งแต่ เป็นภิกษุในธรรมวินัยนี้  ไปสู่ป่า + + +) โดยพิสดาร มีอยู่อย่างนี้แล ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// วิชาธรรมกาย (สมาธิแบบธัมมกาย) สอดคล้องกับ สติปัฏฐาน4 (ที่ตรัสว่า สมบูรณ์เ้มื่อ อานาปานสติสมบูรณ์) ตรงไหนบ้าง? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 22:53:39

ความคิดเห็นที่ 6 อานิสงส์ ๗ อย่าง ของอานาปานสติคือ จากความจำ (๑) บรรลุอรหัตตผลในทิฏฐธรรม  หรือไม่เช่นนั้น (๒) บรรลุอรหัตตผลในกาลแห่งมรณะ  หรือไม่เช่นนั้น (๓)  -- (๔)  -- (๕) -- (๖) -- (๗) เป็นพระอนาคามี (ตามชื่อที่ตรัส) วิชาธรรมกาย สอดคล้องกับ สติปัฏฐาน4 ตรงไหนบ้าง? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 22:56:39

ความคิดเห็นที่ 7 กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม สมถะคู่วิปัสสนา อาโลกสัญญา อภิญญา วิชชา3 ละสังโยชน์ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 23:00:04

ความคิดเห็นที่ 8 พหุธัมมกาย จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 23:11:45

ความคิดเห็นที่ 9 เข้ามารออ่าน มีแต่พยายามเชื่อมให้ลงสติปัฎฐานให้ได้ (พยายามกันเข้าไป) ขอบคุณ จขกท. อยากอ่านแบบนี้มานานแล้วครับ จากคุณ : พยายามกันจัง (นายพยายาม) เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 23:28:22

ความคิดเห็นที่ 10 ส่วนเรื่องกายในกายในสติปัฎฐานสูตร ไม่มีอะไรรายละเอียดใดๆ ตรงหรือสอดคล้องกับกายในกายตามหลักวิชชาธรรมกายเลย เป็นสิ่งแปลกปลอมไปจาก สิ่งซึ่งมีพุทธพจน์สอนไว้ละเอียดมากอยู่แล้ว พหุธรรมกายยิ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมไปใหญ่ จากคุณ : เมฆหลากสี เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 23:34:00

ความคิดเห็นที่ 11 อาโลกสัญญาเข้ากับสติปัฎฐาน4 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 23:35:06

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่เคยเรียนบาลีใช่ไหม จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 23:37:42

ความคิดเห็นที่ 13 ฝึกไปถึงทิพยจักษุวิชชา8 สิจะเห็นตรงกันทุกคน จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 23:41:50

ความคิดเห็นที่ 14 เจริญวิปัสสนามีสมถะเบื้องหน้าแล้วต่อด้วยสมถะคู่วิปัสสนา จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 23:53:04

ความคิดเห็นที่ 15 ผมไม่เคยเรียนบาลี ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นใด จากคุณ : เมฆหลากสี เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:01:21

ความคิดเห็นที่ 16 อาโลกสัญญาเข้ากับสติปัฎฐาน4 เข้ากับวิชชาธรรมกายตรงไหน ที่จะต้องผ่านกายต่างๆ มีพุทธพจน์ที่แจกแจงธรรมตรงนี้อย่างไร ที่ไหน จากคุณ : เมฆหลากสี เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:05:49

ความคิดเห็นที่ 17 เขาบอกว่าเขาก็มีสติปัฏฐานน่ะครับ มาหนังสือให้อ่านด้วย ผมอ่านไปคร่าวๆ (ไม่อยากเสียเวลาอ่านมาก) ก็ยังไม่เห็นจุดไหนพูดถึงสติ เลยครับ มีแต่ส่วนของที่เป็นนิมิตแทบจะทั้งหมด จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:06:30

ความคิดเห็นที่ 18 อาโลกสิณได้ทิพยจักษุ เป็นแค่โลกียฌาน โลกียฤทธิ์ จากคุณ : เมฆหลากสี เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:07:16

ความคิดเห็นที่ 19 พหุธัมมกายคือบาลี จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:08:23

ความคิดเห็นที่ 20 หยุดเปนตัวสำเร็จ มาฝึกที่วัดปากน้ำสิ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:15:27

ความคิดเห็นที่ 21 1 สมถะคู่วิปัสสนาเคยฝึกไหมครับ 2 เจริญวิปัสสนามีสมถะเบื้องต้น 3 รู้จักวิปัสสนาภูมิไหม จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:23:42

ความคิดเห็นที่ 22 วิชชา8 มีโลกียะ  และโลกุตตระ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:29:10

ความคิดเห็นที่ 24 สติแบบสมถะก็ได้ความสงบระงับ สติขั้นรูปฌานก็คือจิตรวมแล้วสงบ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:37:26

ความคิดเห็นที่ 25 ก็กสิณ "แสง" มันเกี่ยวกับสติปัฏฐานในหมวด กาย เวทนา จิต ธรรม ตรงไหน? ที่ว่าสมถะควบคู่วิปัสนา เมื่อได้ลูกแก้วกลางกาย/ร่างกายเป็นแก้วใสแล้ว(เป็นสมถะ). แล้วจะโยงยังไงให้เป็นวิปัสนา? แล้ววิปัสนาญาน การเห็นไตรลักษณ์ มันจะเกิดตอนไหนยังไง? แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 00:40:36 จากคุณ : มะเส็งไฟ เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:39:14

ความคิดเห็นที่ 26 ฝึกไปให้ถึงญานทัศนะแม่นก็หมดสงสัยรู้ทั้งโลกียะและโลกุตตระ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:41:58

ความคิดเห็นที่ 27 ไตรลักษณ์มีในขันธ์5 กำหนดก็เปนวิปัสสนึกสิครับ อาโลกกสิณนำไปสู่ญานทัศนะเห็นกายในกายของจริง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:49:42

ความคิดเห็นที่ 28 แล้วคุณ venture ได้อะไรมาบ้างจากการฝึกวิชาตามแนวธรรมกาย โดยเฉพาะวิปัสนาญาณที่เปรียบเป็นหลักไมล์ที่ผู้ฝึกวิปัสนาต้องผ่าน จริงๆแล้วผมอยากให้คุณลองศึกษาแนวทางอื่นๆบ้างแล้วมาเปรียบเทียบกับที่เคยฝึกอยู่ก่อนว่าแตกต่างกันตรงไหน จากคุณ : มะเส็งไฟ เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:53:27

ความคิดเห็นที่ 29 ไตรลักษณ์ขันธ์5มันแสดงเองไม่ต้องกำหนด จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:54:00

ความคิดเห็นที่ 31 สมถะคู่วิปัสสนาเกิดพร้อมกัน จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 01:02:22

ความคิดเห็นที่ 33 ผมฝึกเกือบทุกสายครับ ธรรมกายเปนของจริงครับปฏิบัตแล้วปัจจัตตัง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 01:10:26

ความคิดเห็นที่ 34 ผลของปฏิบัติ   ปัดระเบิดได้ คืนเงินที่ยักยอกมาทันก่อนตัดสินคดี จากคุณ : Mr.DoubleK เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 01:16:05

ความคิดเห็นที่ 35 นิมิตต่างจากญานทัศนะรู้และเห็นไม่ต้องจินตนาการ วิปัสสนูเกิดก็ละอุทธัจจะก็เกิดมรรคเพื่อละสังโยชน์ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 01:19:30

ความคิดเห็นที่ 36 หลวงพ่อสดบอกอาตมาว่า เราเป็น kiikaa เขามาหลายสิบปี มีแต่นิมิตเครื่องหมายมากมาย และติดนิมิต พอกำหนด เห็นหนอ ๆ นิมิตธรรมกายหายไป ปัญญาเกิด http://www.jarun.org/v6/th/lrule08h0102.html แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 01:22:46 จากคุณ : Mr.DoubleK เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 01:22:03

ความคิดเห็นที่ 37 มาหอวิปัสสนาวัดปากน้ำสิครับมีฝึก200-300คนทุกวัน จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 01:23:05

ความคิดเห็นที่ 38 การกำหนดรู้เปนจินตามยปัญญา กายวาจาใจบริสุทธิ์และจิตตั้งมั่นแล้วญานทัศนะเกิดจึงเห็นกายธรรมจริง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 01:37:31

ความคิดเห็นที่ 39 @36 ให้ไปอ่าน63กัณเทศน์หลังรับรองยุบพองพม่าสิครับจะรู้จากหลักฐานพยานจริง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 01:43:09

ความคิดเห็นที่ 40 หลวงพ่อสดสั่งไวัหลายอย่างชัดเจน จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 01:46:21

ความคิดเห็นที่ 41 วัดปากน้ำขยายวิชชาธรรมกายไปหลายประเทศ เห็นหนอทำให้สติเคลื่อนหลวงพ่อสอนว่ามีเห็นมีหาย จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 02:01:43

ความคิดเห็นที่ 42 กายธรรมเปนสื่อทำให้เห็นธรรมะชัดกว่าการอ่าน แบบจินตนาการ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 02:12:29

ความคิดเห็นที่ 43 ใน พระบาลี โรหิตัสสวรรค จตุก. อังคุตรนิกาย ตามที่  พระพุทธเจ้าตรัสไว้  พระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษา ตามที่ตรัส ตรัสว่า สมาธิภาวนา มีอยู่ ๔ อย่าง (๑) สมาธิภาวนา ที่เป็นไปเพื่อทิฏฐธัมมสุขวิหาร หรือว่า (๒) สมาธิภาวนา ที่เป็นไปเพื่อได้ญาณทัสนะ (อันเป็นทิพย์) หรือว่า (๓) สมาธิภาวนา ที่เป็นไปเพื่อ ความสมบูรณ์แห่งมีสติสัมปชัญญะ หรือว่า (๔) สมาธิภาวนา ที่เป็นไปเพื่อ ความสิ้นไปแห่งอาสวะ ^^^^ สมาธิเพ่งลูกแก้ว  หรือ สมาธิแบบธัมมกาย  "ที่สาวกสมัยนี้"  เอามาสอน ผล ของ สมาธิแบบเพ่งลูกแก้ว  ตามสอน (ไม่ว่า ที่วัดไหน) สอดคล้อง  ตรงตาม  สมาธิภาวนา ๔ ประการ ไหม? หมายเหตุ ธัมมกายนิยม อย่างตอบหรือเสนอ ไม่ตรง ประเด็น จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 06:37:27

ความคิดเห็นที่ 44 เราเป็น kiikaa เขามาหลายสิบปี มีแต่นิมิตเครื่องหมายมากมาย และติดนิมิต พอกำหนด เห็นหนอ ๆ นิมิตธรรมกายหายไป ปัญญาเกิด ไม่ต้องแปล หรืออธิบาย   นี่ก็ชัดเจนเข้าใจง่าย จากคุณ : Mr.DoubleK เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 07:12:05

ความคิดเห็นที่ 45 ศาสดาและสาวกย่อมกล่าวตรงกันในปฏิจจสมุปบาท  จอมศาสดา ตรัสไว้ ชาวพุทธ พิจารณา ฯ ลพ. ที่สอนสมาธิเพ่งลูกแก้ว ---- นั้น เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า มั๊ย ลพ. ที่สอนสมาธิเพ่งลูกแก้ว  ---- สอน ปฏิจจสมุปบาท มั๊ย จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 07:30:54

ความคิดเห็นที่ 46  ความคิดเห็นที่ 26    ฝึกไปให้ถึงญานทัศนะแม่นก็หมดสงสัยรู้ทั้งโลกียะและโลกุตตระ จากคุณ : venture   youteesud.bloggang.com/" target="_blank"> เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:41:58  แปลว่า คุณ venture ไปถึงญาณทัศนะแม่นแล้วสิครับ จึงบอกว่า   ความคิดเห็นที่ 31    สมถะคู่วิปัสสนาเกิดพร้อมกัน จากคุณ : venture   youteesud.bloggang.com/" target="_blank"> เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 01:02:22  และบอกว่า  ความคิดเห็นที่ 19    พหุธัมมกายคือบาลี จากคุณ : venture   youteesud.bloggang.com/" target="_blank"> เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:08:23  การอธิบายความในความเห็นอื่น ๆ ไม่เห็นแสดงถึงความเกี่ยวข้องกับมหาสติปัฏฐานสูตรตรงไหน อย่างไร ? หรือว่า   คุณ venture  ต้องการเข้ามาป่วนกระทู้นี้  ตามสไตล์เดิม ๆ ที่เข้าไปป่วนกระทู้อื่น ๆ จนหน้าแหก สีข้างเปิด แขน/ขาถลอก ข้อศอก/เข่าแตกเป็นริ้ว ๆ ยับเยินจนหมอไม่รับเย็บ ไม่เฉพาะในห้องศาสนาหรอกครับ  แม้กระทั่งห้องอื่น ๆ โดยเฉพาะที่ห้องหว้ากอ  ก็ยังไม่วายเว้น กระทู้เขาเขียนแสดงความเห็นเพื่อต้องการเป้าหมายประการใดประการหนึ่ง แต่คกุณ venture ก็พยายามลากเขาออกทะเลจนปั่นป่วนไปทั่ว พิจารณา  มหาพิจาณาตัวเองให้รู้จักตัวตนเองให้ถ่องแท้ซะก่อนเถอะ ค่อยพิจารณาเรื่องธรรมกาย หรือมหาสติปัฏฐานสูตร จากคุณ : หอมทวนลม เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 07:33:29

ความคิดเห็นที่ 47 งง ไปเลย คุณ มะเส็งไฟ เจ้าของกระทู้หมายถึงธรรมกายแท้ๆ จาก หลวงพ่อสด ใช่ไหมครับ ว่าจะมาดูซะหน่อยว่าคนอื่นเขาว่าไงกันบ้าง มึนไปเลย จากคุณ : แมงกุ๊ดจี่ เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 07:53:15

ความคิดเห็นที่ 48 เคยคุยกับบุคลคนนึง เค้าปฏิบัติที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และบอกกับเราว่า ธรรมกายของจริง ให้ไปปฏิบัติที่วัดปากน้ำเท่านั้น จริงเท็จประการใดมิอาจทราบได้ ฟังเขามาอีกที ปกติปฏิบัติคนละสาย แก้ไขคำผิด แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 08:37:36 จากคุณ : slimbar (SliMBar) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 08:36:52

ความคิดเห็นที่ 49 เมื่อเห็นดวงปฐมมรรค คือ   ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน จากคุณ : KOB ON KALA เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 08:44:05

ความคิดเห็นที่ 50 ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่อย่างไรเล่า? ภิกษุในธรรม วินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ อายตนะภายใน ๖ และ ภายนอก ๖ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ ( ทั้งหมดย่อมา) อยากอ่านคำอธิบายว่า อะไร ตรงไหน ปรับเข้าตรงไหนได้ และเพราะอะไร มีพระพุทธพจน์ครั้งไหนให้ปรับเข้าได้ เข้าใจว่า ถ้า ".........."  ที่เขากล่าวว่าสงเคราะห์ในสติปัฎฐาน สำคัญขนาดนี้ น่าจะทรงตรัส บ่อยๆ และ วิธี ก็น่าจะตรัสบ่อยๆ และ ครั้งปฐมสังคายนา ไม่น่าทำหาย และครั้งหลังด้วย จากคุณ : งงกับเขา (นายพยายาม) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 09:18:55

ความคิดเห็นที่ 51 ย้ำเรื่องกายในกายในสติปัฎฐานสูตร ไม่มีอะไรรายละเอียดใดๆ ตรงหรือสอดคล้องกับกายในกายตามหลักวิชชาธรรมกายเลย นับเป็นสิ่งแปลกปลอมไปจาก สิ่งซึ่งมีพุทธพจน์สอนไว้ละเอียดมากอยู่แล้ว จากคุณ : เมฆหลากสี เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 09:32:05

ความคิดเห็นที่ 52 ขอหลักฐานที่ว่าหลวงพ่อสดเป็นพระอรหันต์ได้แล้ว ยืนยันว่าแนวทางนี้สามารถเข้าถึงมรรคผลนิพพาน ได้ผลแล้วตามสิ่งที่ตนสอน แต่ถ้าไม่มีไม่ได้ วิธีนี้ก็เป็นหมัน เป็นแค่โลกียสมาธิธรรมดา จากคุณ : เมฆหลากสี เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 09:32:28

ความคิดเห็นที่ 53 มโนมยิทธิญาณ             ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรโลหิจจะ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง อีก นัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด.             ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรโลหิจจะ สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด ศาสดานี้แล ไม่ควร ท้วงในโลก อนึ่ง การท้วงศาสดาเห็นปานนี้  นั้น ก็ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม ประกอบ ด้วยโทษ. วิชชา ๘ วิปัสสนาญาณ             ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ เธอย่อมรู้ ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้น ด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็น ธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูกรโลหิจจะ เปรียบ เหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียว เหลือง แดง ขาว หรือนวลร้อยอยู่ในนั้น บุรุษมี จักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นั้นวางไว้ในมือแล้วพิจารณาเห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่าง บริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้าย เขียว  เหลือง แดง ขาว หรือนวลร้อยอยู่ในนั้น ฉันใด.             ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ เธอ ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ เกิดแต่มารดาบิดา เติบโต ขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็น ธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูกรโลหิจจะ สาวกได้ บรรลุคุณวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด ศาสดานี้แล ไม่ควรท้วงในโลก  อนึ่ง การท้วง ศาสดาเห็นปานนี้ นั้น ก็ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม ประกอบด้วยโทษ. รูปฌาน ๔             เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อปราโมทย์ แล้ว ย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่.             ดูกรโลหิจจะ สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้   ในศาสดาใด ศาสดานี้แล ไม่ควรท้วงในโลก อนึ่ง การท้วงศาสดาเห็นปานนี้ นั้น ก็ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม ประกอบด้วยโทษ.             ดูกรโลหิจจะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น  เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ดูกรโลหิจจะ สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด ศาสดานี้แล ไม่ควร ในโลก  อนึ่ง การท้วงศาสดาเห็นปานนี้ นั้น ก็ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม  ประกอบด้วยโทษ.             ดูกรโลหิจจะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่าผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ดูกรโลหิจจะ สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด ศาสดา นี้แล ไม่ควรท้วงในโลก อนึ่ง การท้วงศาสดาเห็นปานนี้ นั้น ก็ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม ประกอบด้วยโทษ.             ดูกรโลหิจจะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์ ดูกรโลหิจจะ สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด ศาสดานี้แล ไม่ควรท้วงในโลก อนึ่ง การท้วงศาสดาเห็นปานนี้ นั้นก็ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม ประกอบด้วยโทษ. อิทธิวิธญาณ             ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธี หลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ใน แผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศ เหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทาง กายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรโลหิจจะ เปรียบเหมือนช่างหม้อหรือลูกมือของช่างหม้อผู้ฉลาด เมื่อนวดดินดีแล้ว ต้องการภาชนะชนิดใดๆ พึงทำภาชนะชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างงาหรือลูกมือของช่างงาผู้ฉลาด เมื่อแต่งงาดีแล้ว ต้องการเครื่องงาชนิดใดๆ พึงทำเครื่องงาชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างทองหรือลูกมือของช่าง ทองผู้ฉลาด เมื่อหลอมทองดีแล้ว ต้องการทองรูปพรรณชนิดใดๆ พึงทำทองรูปพรรณ ชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็น คนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือน ไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบน แผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพ มากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรโลหิจจะ สาวกได้บรรลุคุณ วิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด ศาสดานี้แล ไม่ควรท้วงในโลก อนึ่ง การท้วง ศาสดาเห็นปานนี้ นั้น ก็ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม ประกอบด้วยโทษ. เจโตปริยญาณ             ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ เธอย่อม กำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่น ด้วยใจ คือ จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจาก ราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจาก โทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่า จิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็น มหรคตก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตไม่เป็น สมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น ดูกรโลหิจจะ เปรียบ เหมือนหญิงสาวชายหนุ่มที่ชอบการแต่งตัว เมื่อส่องดูเงาหน้าของตนในกระจกอันบริสุทธิ์สะอาด หรือในภาชนะน้ำอันใส หน้ามีไฝก็จะพึงรู้ว่าหน้ามีไฝ หรือหน้าไม่มีไฝก็จะพึงรู้ว่าหน้าไม่มีไฝ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ เธอย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิต ปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิต ปราศจากโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิต หดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือ จิตไม่เป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มี จิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่า จิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น ดูกรโลหิจจะ สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด ศาสดานี้แล ไม่ควรท้วงในโลก อนึ่ง การท้วงศาสดาเห็นปานนี้ นั้น ก็ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม ประกอบด้วยโทษ. อาสวักขยญาณ             ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัด ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูกรโลหิจจะ เปรียบเหมือนสระน้ำบนยอดเขา ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนขอบสระนั้น จะพึงเห็นหอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง กำลังว่ายอยู่บ้าง หยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำนั้น เขาจะพึงคิดอย่างนี้ว่า สระน้ำนี้ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว หอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวด และก้อนหินต่างๆ บ้าง ฝูงปลาบ้าง เหล่านี้กำลังว่ายอยู่บ้าง กำลังหยุดอยู่บ้าง ใน สระนั้น ดังนี้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้น  ก็มีญาณว่าหลุดพ้น รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูกรโลหิจจะ สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันโอฬาร เห็นปานนี้ ในศาสดาใด ศาสดานี้แล ไม่ควรท้วงในโลก อนึ่ง การท้วงศาสดาเห็นปานนี้ นั้น ก็ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม ประกอบด้วยโทษ. จะบรรลุ มรรค ผล ต้องอาศัย การตรัสรู้ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น และต้องทำเอง ปฏิบัติเอง เท่านั้น มิใช่เชื่อว่า วิธีนี้ปฏิบัติแล้ว บรรลุแน่นนอน  ปฏิบัติไปโดยไม่ตรวจสอบ และพิจารณา จากพระธรรมของพระพุทธองค์  ซึ่งได้ทรง จำแนก แจกแจงหมวดหมู่ ทำให้ง่าย ทำให้ ตื้น เป็น พระ ธรรม และ พระ วินัยไว้ดีแล้ว อย่างนั้นเขาเรียกว่า สีลัพพตปรามาส  วิจิกิจฉา  และ สักกายทิฐิครับ ขอทุกท่านเจริญในธรรม บทว่า อตฺตทิฏฺฐิญฺชโห ความว่า ละทิฏฐิที่ถือว่า นั่นเป็นตัวตนของเรา. บทว่า คาหญฺชโห ความว่า ละความยึดถือที่สัมปยุตด้วยมานะว่า เราเป็นนั่น. บทว่า อตฺตญฺชโห มีความอีกว่า บทเป็นต้นว่า ความถือลูบคลำ ความจับต้องแต่ข้างหน้า ความถือมั่นในอัตตานั้น ความติดใจกลืนด้วยสามารถตัณหามีกำลัง และความปรารถนามีกำลัง ด้วยสามารถความยึดถือด้วยตัณหาและด้วยสามารถความยึดถือด้วยทิฏฐิ ว่านั่นของเรา ความถือเป็นต้นทั้งปวงนั้นย่อมเป็นอันพราหมณ์นั้นสละแล้ว ดังนี้ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. จากคุณ : กุ๊กเทวดา เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 09:46:51

ความคิดเห็นที่ 54 จะฝึกสมาธิ ฝึกหลายๆวิธี จะได้รู้ว่า   สังคโห  อสังคโห  สังขหิเตนะ  สังขหิตัง เป็นอย่างไร   ( ฌาณปัจจัย  มรรคปัจจัย  นะ เป็นอย่างไร ) จากคุณ : กุ๊กเทวดา เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 09:52:09

ความคิดเห็นที่ 55 พิสูจน์พระอรหันต์อย่างไรตามพระไตรปิฎก จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 10:03:26

ความคิดเห็นที่ 56 มาวัดปากน้ำสิจะสอนให้สำรวมกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ จิตตั้งมั่น เมื่อจิตปราศจากอุปกิเลสอ่อนควรแก่การงานจะเข้าใจเองตรงตาม@53 แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 11:03:11 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 10:11:49

ความคิดเห็นที่ 57 @53 คุณกุ๊กเทวดายอดเยี่ยมครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 10:19:52

ความคิดเห็นที่ 58 เมื่อมีวุฒิภาวะเหมาะสม สามารถแยกแยะประเด็นได้ถูก มีโยนิโสมนสิการไตร่ตรองเหตุผล ลดมานะอหังการมมังการลง เห็นแก่ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ เห็นธรรมของอาจารย์ตนเป็นรอง แก้ไขตนได้ ไม่เป็นคนหลง ก็น่าสรรเสริญยินดี ขอให้งอกงามในธรรมที่บริสุทธิ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จากคุณ : เมฆหลากสี เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 11:11:18

ความคิดเห็นที่ 59 คำว่าเห็นธรรม มีหลายความหมาย ก่อนที่จะบรรลุโลกุตรธรรมต้องผ่าน ดวงตาเห็นธรรมก่อน เป็นเรื่องการปฏิบัติที่อ่านตรง ๆ ไม่ปฏิบัติแล้วตีความ ก็งง เช่น ผุ้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต จากคุณ : KOB ON KALA เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 11:52:24

ความคิดเห็นที่ 60 อยากให้ จขกท พิจารณา ไม่ว่าจะผ่านเป็นพระอริยะชั้นไหนๆ ก็ต้องพิจารณากายนี้เป็นบาทฐานแรกๆ เพราะกายเรานี้ เป็นที่กำเนิดของกามราคะ ต้องลงให้เป็นอนิจจังให้ขาดก่อนถึงจะไปอย่างอื่นที่ละเอียดขึ้นได้ จะเห็นว่าผู้ปฏิบัติมากต่อมาก มีความรู้เยอะพากเพียรเยอะมาก แต่ก็สุดท้ายตกหลุมพรางของกามราคะ หากจะทำวิปัสนาสำนักไหนถ้า ไม่เห็นว่าให้ทำกามราคะ จากกายให้สิ้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะผ่านไปถึงพระอริยะชั้นสูงต่อไปได้ จากคุณ : Karaone เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 11:57:38

ความคิดเห็นที่ 61 ปฐมฌานเกิดแล้วกามราคะดับลงเช่นกายคตาสติ ครูอาจารย์ท่านสอบทานพุทธพจน์เสมอ หว้ากอหลงว่าอภิญญาจิตเปนเรื่องเหนือธรรมชาตเพราะไม่เข้าใจเหตปัจจัย จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 12:27:16

ความคิดเห็นที่ 62 พิจารณาแค่กายหยาบเปื่อยเน่าจะเห็นกายในกายแบบ@53ครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 12:36:07

ความคิดเห็นที่ 63 ธรรมกายมีแบ่งเป็นแบบต้นฉบับวัดปากน้ำ/แบบเฉพาะธรรมกาย แต่แรกผมเข้าใจว่าเหมือนกัน พอดีคนในนี้ท้วงมาเลยอยากถามเพิ่มว่ามันต่างกันตรงไหน? มีความเห็นข้างบนบอกว่าธรรมกายเชื่อมโยงกับกายยานุปัสนา/ ธัมมานุปัสนา ถ้ามีการเชื่อมโยงกันจริงการเห็นธรรมกายมันทำให้เห็นไตรลักษณ์ตรงไหนครับ ? เพราะผมเห็นแต่วิชาธรรมกายไปสร้างนิมิต ไม่ว่าจะดวงแก้ว/ร่างกายแก้ว/เห็นภายในร่างกายเน่าเปื่อย ตรงเห็นร่างกายเน่าเปื่อยมันก็ตรงกับสมถะในหมวด อสุภะ10 ก็ยังไม่จัดเป็นวิปัสนานี่ครับ? จากคุณ : มะเส็งไฟ เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 13:56:47

ความคิดเห็นที่ 64 รู้แค่กายหยาบเปื่อยเน่าก็ไม่ต้องสนใจสิ ทำญานทัศนะให้เกิดด้วยอาโลกสัญญาจะเห็นกายในกายแบบ@53 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 14:06:13

ความคิดเห็นที่ 65 วิปัสสนาจะเกิดเอง เมื่อเห็นขันธ์5แสดงตามลำดับ สำคัญที่ทำใจหยุดนิ่งเปนไหมครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 14:16:17

ความคิดเห็นที่ 66 ไม่ต่างกันนักหรอก คนในนี้ท้วงว่า ไม่ได้ผ่านฐาน 7 ฐาน คราวนี้เรารู้ว่า ว่าฐาน 7 ฐานคืออะไรแล้วก็เอาใจมาตั้งฐานที่ 7 เลย ดูหนังสือคู่มือสมภาร อ้างอิงได้ ( เล่มนี้ของจริงเลยพิมพ์แจกเพื่อเผยแพร่) โดยหลวงปู่อณุญาติแล้ว ธรรมกายทำให้เห็นไตรลักษณ์ได้ตรงไหน ? ก็เห็นได้ด้วยตาของธรรมกาย ที่พระพุทธองค์ตรงเทศน์ในธรรมจักรกัปวัฒนสูตร ว่าเป็นตาใน คือ เราได้ดวงตาเห็นธรรม เกิดญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เมื่อถึงกายที่ 18 คือกายธรรมพระอรหันต์ อันนี้ไม่ใช่นิมิตร เพราะว่าขนาดของกาย ธรรมพระอรหันต์มีขนาเท่ากันหมดทุกคน คือของจริงที่มีกันทุกคน นั่นคือเอากายภายในพิจารณากายภายนอกจึงจะสำเร็จ กายภายนอกทำไงก็ไม่เห็นตามความเป็นจริง ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่อย่างไรเล่า? ภิกษุในธรรม วินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ อายตนะภายใน ๖ และ ภายนอก ๖ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ การปฏิบัติล้วน ๆ  ละนิวรณ์ 5 สำเร็จก็เกิด ฌาณสมาบัติ นั่นแหละปฐมมรรค จากคุณ : KOB ON KALA เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 15:07:08

ความคิดเห็นที่ 67 ความคิดเห็นที่ 19 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน พหุธัมมกายคือบาลี จากคุณ : venture [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 00:08:23 [แก้ไข] ------------------------------------------------------------------------------------------------------- เอาเข้าไปจะไปซ้ายก็ธรรมกาย ขวาก็ธรรมกาย หายใจเข้าก็ธรรมกาย...ตอนนี้พุทธศาสนามัวหมองแล้ว            ตามที่ได้ศึกษาเล่ามา ทั้งบาลี ในธรรมบท พระไตรปิฎก ก็ไม่เคยได้ยินคำว่า "พหุธัมมกาย" เลยครับ                   มันแปลว่าอะไร มีความหมายอย่างไร อย่าบอกนะว่า คือธรรมกายมาก หรือธรรมกายแขน งง..ครับ   แต่งขึ้นเองหรือเปล่า  ....             คำว่า กายในกาย ในสติปัฏฐาน 4  กับ วิชาธรรมกายของหลวงพ่อสด มันไม่เหมือนกันเลยโดยสิ้นเชิงครับ ถ้าจะเปรียบก็คือ กายในกาย ในสติปัฏฐาน 4 เปรียบเหมือนสวรรค์ และ วิชาธรรมกายของหลวงพ่อสด เปรียบเหมือนนรกนั่นเอง                ที่กล่าวอย่างนี้ เพราะว่า กายในกาย ในสติปัฏฐาน 4 เป็นไปเพื่อดับกิเลส มี ราคะ โทสะ โมหะ เป็นพื้นฐาน มีความสันโดด เบื่อหน่ายในกาย ไม่ยึดติดในกาย หรือแม้แต่วัตถุอย่างอื่น ก็เบื่อหน่าย               แต่ วิชาธรรมกายของหลวงพ่อสด เป็นไปเพื่อหาเงิน หาทองใส่ตัว เป็นไปเพื่อราคะ โทสะ โมหะ และอีกหลายอย่าง  เป็นไปเพื่อสะสม มักมากในกามคุณ 5  เป็นต้น อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง              แม้แต่คำสอนยังไปแก้ไขพระไตรปิฏกว่านิพพาน เป็นอัตตา วิชาธรรมกายเข้าถึงได้แม้ไม่ได้ตายจากโลกนี้ มันเพี้ยนกันใหญ่แล้วนะครับ              เรื่องหลังจากนิพพานแล้ว แม้พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ยังไม่อาจทราบได้ว่าเป็นอย่างไร ทราบเพียงแต่ว่าเป็นพระมหานครใหญ่ มีแต่ความสงบสุึข ดังในเรื่อง พระวังคีสะ เคาะกระโหลกคนที่ตายแล้วทราบว่าไปเกิดที่ไหนได้ แต่พอเป็นกระโหลกพระอรหันต์ กับทำให้ไม่ทราบว่าอยู่ทีี่ใด เป็นต้น               แล้ววิชาธรรมกาย เอาอะไรมากล่าวได้ว่า เข้าถึงมหานครนั้น.. เหลวไหลโดยสิ้นเชิง.. จากคุณ : นะโม พุทธัสสะ (กลุ่มพุทธบุตร) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 15:16:56

ความคิดเห็นที่ 68 นะโม พุทธัสสะ (กลุ่มพุทธบุตร) ลองไปค้นคว้าให้มากๆครับ ปริยัติเรื่องบาลีให้แตกฉาน ถ้ายกมาให้ดูแล้วจะขอขมา หรือเปล่าครับ ว่ามีคำนี้จริงๆ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 16:07:02

ความคิดเห็นที่ 69 สติปัฏฐาน 4 = กาย เวทนา จิต ธรรม ธรรมกาย สอดคล้องตรงไหน หรือเป็นแค่ขณิกสมาธิ จากคุณ : birdg5 เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 16:09:49

ความคิดเห็นที่ 70 (4) ตรัสว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย มีธรรมกายมาก   ได้ ตรัสแก่พระอานนท์เวเทหมุนี ซึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค เมื่อประทับอยู่ในวิหารเชตวันว่า "ได้ทราบว่า พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริงหรือ   เพราะเหตุไร ท่านเหล่านั้นจึงได้เป็นพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นปราชญ์ ?"  ว่า "วิสุทฺธสีลา ...         มหนฺตธมฺมา พหุธมฺมกายา ..." "นักปราชญ์เหล่าใด  มีศีลบริสุทธิ์   มีปัญญาหมดจดดี   มีจิตตั้งมั่น   ประกอบความเพียร   เจริญวิปัสสนา...  ไม่บรรลุความเป็นสาวกในพระศาสนาของพระชินเจ้า   (นักปราชญ์เหล่านั้นย่อมเป็นสยัมภูปัจเจกชินเจ้า) มีธรรมใหญ่  มีธรรมกายมาก..."   (ขุ.อป.32/2/20) จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 16:10:12

ความคิดเห็นที่ 71 คนที่สงสัยควรลงมือปฏิบัติให้ถึง กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 16:11:02

ความคิดเห็นที่ 72 ต้องศึกษาก่อนจะปฏิบัติครับ จะได้ตัดสินใจ จากคุณ : birdg5 เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 16:15:50

ความคิดเห็นที่ 73 จะหมดความลังเลสงสัยได้ด้วยการปฏิบัติภาวนาครับ ไม่ใช่ด้วยการคิดวิเคราะห์ จินตนาการไปเรื่อยๆ แบบนั้น กิเลสไม่ได้ลดนะครับ เมื่อเข้าใจว่า กายหยาบเปื่อยเน่าแล้ว ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสแด่ท่าน วักกลิ ก็ไม่ต้องสนใจเรื่องกายหยาบแล้วครับ หยุดใจ โดยการสำรวมกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ สมถะคือการทำความสงบระงับใจ โดยผ่านกายในกาย เมื่อได้ญาณทัศนะแม่นยำแล้ว อภิญญาจิตจะเกิดเมื่อ จิตตั้งมั่น ปราศจากอุปกิเลส ควรแก่การงาน ทำให้ถึงวิชชา 8 จะเป็นทั้ง โลกียธรรม และโลกุตตระธรรม ละกิเลสตัดสังโยชน์ มุ่งสู่อริยมรรค อริยผล ได้ครับ - เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า - เจริญสมถะคู่วิปััสสนา - เจริญสติไปถึงวิปัสสนูเกิด ก็ละอุทธัจจะ มรรคจะเกิด ก็ละสังโยชน์ได้ กายธรรมหรือธรรมกาย เป็นวิสังขารธรรม มิใช่การปรุงแต่งใดๆ แต่มีอยู่จริง นอกเหนือขันธ์5 ใครที่ถึงแล้วลองภาวนาเห็นหนอ เห็นหนอ สติก็เคลื่อนไปจับที่คำภาวนาแทน ก็แค่นั้นเองครับ เมื่อสติชัดก็เห็นชัดเหมือนเดิม ใช้กายธรรมเป็นสื่อในการตรวจภพสาม วิชชาสาม ระลึกชาติของตน ของสรรพสัตว์ และอาสวักขยญาณ ไปถึง อริยสัจสี่ พิจารณา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไปตามลำดับ ถ้ามัวแต่ไปกำหนดรู้ อันนั้นเรียกว่า จินตามยปัญญา หาใช่ภาวนามยปัญยาครับ ใครสนใจเรียนรู้จริงจัง ก็ขอเชิญที่หอวิปัสสนา วัดปากน้ำภาษีเจริญครับ มีฝึกปฏิบัติทุกวัน ไม่เว้นวัน สิษยืที่เคยใกล้ชิดหลวงพ่อสดก็ยังมีชีวิตอยู่หลายท่าน ยังคงสอนตามปกติ ตั้งแต่หลวงพ่อมรณภาพ การปฏิบัติก็เพื่อละกิเลสตัดสังโยชน์ จิตตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติครับ แต่ก็ต้องระวังอย่าไปติดอยู่แค่อภิญญาจิต ต้องไปที่วิชชา 3 หรือวิชชา 8 จะเป็นโลกุตตรธรรมครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 16:20:30

ความคิดเห็นที่ 74 ใครจะปฏิบัติแนวไหน วิธีใด ก็ช่าง ตั้งกระทู้แนวนี้มันไม่ผิดหรอกครับ แต่อย่านอกแถวโดยการที่เราไม่รู้แล้วก็บอกสิ่งนั้นไไม่ดีไม่ใช่ วิชชาธรรมกายจะมีหรือไม่มี จะเคยเกิดหรือไม่เคยเกิดขึ้นในโลกนี้ สติปัฎฐานก็มีอยู่ สมบูรณ์อยู่แล้วในพระไตรปิฏก วิชชาธรรมกายอ้างว่าถูกค้นพบใหม่ โดยหลวงพ่อสด เป็นการอ้างที่รุนแรงมาก เพราะเหตุว่า เป็นการผูกขาดมรรค ผล นิพพาน โดยวิธีการนี้เท่านั้น ตามหลักวิชชาธรรมกายจะต้องได้ธรรมกายชั้นต่างๆจึงจะได้มรรคผล หาไม่แล้ว จะไม่ได้ผล เป็นการบอกอ้างว่า ความรู้ใดๆในพระไตรปิฎกไม่มีมรรคผล นิพพาน เพราะในพระไตรปิฎกไม่มีการปฎิบัติผ่านกายต่างๆตามหลักวิชชานี้ เป็นการปฎิเสธพระไตรปิฎกไปในตัวเอง แต่เพราะพระไตรปิฎกมีหลักที่สมบูรณอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีวิชชาธรรมกายเลยแต่ประการใด คนไม่รู้ก็พิจารณาธรรมโดยไม่รู้ จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 17:00:11

ความคิดเห็นที่ 75 มันขึ้นอยู่กัความฉลาดของผู้นั้นมากกว่าที่จะทำกรรมฐานยังไงให้เห็นพระไตรลักษณ์ ยกตัวอย่างลูกชายนายช่างทองตอนแรกไปฝึกกับพระสารีบุตรไม่ก้าวหน้า พระสารีบุตรท่านจึงพาไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเนรมิตรดอกบัวสีแดงให้ลูกชายนายช่างทองเจริญ "โลหิตกสิน" ครั้นลูกชายนายช่างทองเจริญสมถภาวนาได้แล้ว ทรงทราบด้วยพระญาณก็ทรงเนรมิตร ให้ดอกบัวนั่นแหละหักเป็นท่อน ๆ ลูกชายนายช่างทองเห็นดังนั้นก็เลยน้อมเข้าพระไตรลักษณ์ บรรลุธรรมในที่สุด ผมไม่ได้นับถือวัดธรรมกายแต่นับถือหลวงพ่อสดและเชื่อด้วยว่าท่านเป็นพระอริยะเจ้า แค่อ่านหนังสือกันมาอย่าคะนองวิจารณ์พระกันนักเลย จากคุณ : ปีศาจแมวโคมะแห่งริวโซกิรุ่น ๗ เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 17:11:45

ความคิดเห็นที่ 76 ความคิดเห็นที่ 55 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน พิสูจน์พระอรหันต์อย่างไรตามพระไตรปิฎก จากคุณ : venture [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 10:03:26 [แก้ไข] --------------------------------------------------------------------------------------------- พิสูจน์ ตามที่พระเถระ รักษา พระพุทธวจนะมา ตามที่ปรากฎใน พระไตรปิฎก ไงครับ                 "เหตุผล ง่ายๆ แบบนี้  "เข้าใจ ไม่ได้ ???" -------------------------------------------------------------------------------------------- แล้ว ถ้า ถูกย้อนถามว่า พิสูจน์พระอรหันต์อย่างไรตาม ที่ ลพ.ใดนั้น สอน สมาธิแบบนั้น คุณventure ก็ จะ มีคำตอบ + ตรรกะ  +เหตุผล + วาทะกรรม ใดนั้น (ยังไม่ต้องเสนอนะครับ) ในแง่มุม นานา                                                ว่าแต่ว่า ระหว่าง พระเถระครั้งปฐมสังคายนา "ที่รักษา พระสูตร พระวินัย"  ตามที่ จอมศาสดาพระองค์นี้ ตรัสไว้ กับ สาวก คือ ลพ. ใดนั้น  ที่ บัญญัติสอนเช่นนั้น --- ชาวพุึทธที่แท้ ---- วินิจฉัย ยังไง ? แล้วไม่เลยออกไปจากคำว่า "อนุตตรสัมมาสัีมโพธิญาณ" ---                       ("เหตุผล ง่ายๆ แบบนี้  "เข้าใจ ไม่ได้ ???") จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 18:02:05

ความคิดเห็นที่ 77 ยกพระสูตรวิธีพิสูจน์พระอรหันต์มาสิครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 18:31:15

ความคิดเห็นที่ 78 Kzen ได้เจโตปริยญานใช่ไหมจะตัดสินพระอรหันต์ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 18:35:51

ความคิดเห็นที่ 79 วิชชาธรรมกายในส่วนสมถะถูกค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ทางโลกหลายอย่างและโลกุตตรธรรมสอดคล้องพุทธพจน์ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 18:42:14

ความคิดเห็นที่ 80 @74เอาหลักฐานมาสิ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 18:46:32

ความคิดเห็นที่ 81 ท่านเซ็นพิสูจน์ได้ครับ ว่าใครเป็นพระอรหันต์  นอกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ในสมัยโบราณแล้ว  ผมเชื่อท่านเซ็นครับ       ด้วยความสัตย์จรืง จากคุณ : กุ๊กเทวดา เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 21:15:12

ความคิดเห็นที่ 82 ความคิดเห็นที่ 77 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน ยกพระสูตรวิธีพิสูจน์พระอรหันต์มาสิครับ จากคุณ : venture [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 18:31:15 [แก้ไข] *********************************************************                         คุณventure อธิบาย ก่อนครับว่า เพราะ "เหตุ" คุณventure เสนอก่อน  ใน คคห 55 "ผล" คือ ผม สนอง คำถามนั้น "ที่หลัง เหตุ" ตาม ใน คคห 76  ด้วย การ ย้อนถามกลับ ผู้เสนอ วาทะกรรมนั้น ดังนั้น คุณventure อธิบาย สมาธิวิชาธัมมกาย สามารถพิสูตร ความเป็นพระอรหันต์ แบบ สาวกของพระพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาล ได้อย่างนี้ๆ   -- เชิญครับ -------------------------------------------------------------------------------------------                                                 หมายเหตุ เพื่อให้ "ตรงกัน"  ใน "เรื่อง" พิสูตร ความเป็นพระอรหันต์ แบบ ลพ. ที่เสนอ วิชาเพ่งลูกแก้ว (วิชาธัมมกาย) VS  แบบ พระเถระครั้งปฐมสังคายนา (วิชชาของพระพุทะเจ้า)  ที่ มุขปาฐะพระพุทธวจนะมา                      ผมเสนอ " สภาวะธรรม" ตาม                  จูฬสุญญตาสูตร เป็น มาตรฐาฯ ๑ เดียว   แบบ พระเถระฯ  ตรง ที่พระเถระ มุขปาฐะคำว่า "เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต + สิ้นอาสวะแล้ว +รู้ +รู้ ส่วน แบบ ลพ. วัดปากน้ำ  หรือ วัดนั้น ฯ รอ ที่คุรคุณventure อธิบาย  จะ เสนอ คือ อธิบาย ฯ ------------------------------------------------------------------------------------------ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 21:50:07

ความคิดเห็นที่ 83 ผมยังหา หนังสือเล่มนี้ไม่เจอ ไม่ทราบว่า วิชา ตามข้อความในหนังสือเล่มนี้  เนื่องกับ วิชาเพ่งลูกแก้วไหม? (วัดจานบิน อ้าง วัดปากน้ำ  จากความจำ) รอคุณventure    เสนอ  ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 21:52:18

ความคิดเห็นที่ 84 ความคิดเห็นที่ 79 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน วิชชาธรรมกายในส่วนสมถะถูกค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ทางโลกหลายอย่างและโลกุตตรธรรมสอดคล้องพุทธพจน์ จากคุณ : venture [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 18:42:14 [แก้ไข] --------------------------------------------------------------------------------------------- คุณventure ได้ ชี้ช่องทาง  การพิสูจน์ ตามที่เสนอใน คคห 77   เมื่อคุณventure อ้าง คำสอน วิชานั้น  แบบ "ตรงตามที่ลพ. สด เสนอไว้"  (ไม่ใช่ในหนังสือที่ผมเสนอ เพราะ นั่น ถูกอธิบายใหม่ ฯ) ผม ก็ จะ  อ้าง ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา มุขปาฐะ คำของจอมศาสดา + ที่ผมเสนอ คำว่า --- เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต ฯ  ตาม จูฬสุญญตสูตร ฯ                                                     เรียกว่า ขั้นตอนแรกสุดๆ หรือ ก้าวแรกของแรกก้าว  ในการพิสูจร์ พระอรหันต์แบบ วัดปากน้ำ VS แบบ พระสูตร โดย พระเถระครั้งปฐมสังคายนา                        ตั้งต้น  ที่ คำว่า  -----------   เจโตสมาธิ        โอเคไหม คุณventure ----- สมาธิแบบวัดปากน้ำ ---- กับ ---- สมาธิแบบพระสูตร                          ตั้งต้น  ที่ คำว่า  -----------   เจโตสมาธิ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 21:58:46

ความคิดเห็นที่ 85 ตั้งต้น  ที่ คำว่า  -----------   เจโตสมาธิ       โอเคไหม คุณventure ----- สมาธิแบบวัดปากน้ำ ---- กับ ---- สมาธิแบบพระสูตร                         ตั้งต้น  ที่ คำว่า  -----------   เจโตสมาธิ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 21:59:10

ความคิดเห็นที่ 86 สรุปว่าหลวงพ่อสดสอนละสังโยชน์10ตรงตามพระพุทธเจ้า แต่คุณเซนเก่งกว่าสามารถแต่งตั้งอรหันต์ได้ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 22:47:08

ความคิดเห็นที่ 87 พุทธพจน์สอนว่าเจโตสมาธิไม่มีนิมิตก็ยังใช้ไม่ได้ครับ จำได้ไหม จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 22:52:43

ความคิดเห็นที่ 88 ไปฝึกให้ได้วิชชา8 ตาม@53สิครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 22:55:24

ความคิดเห็นที่ 89 ตองเจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต เพราะกำหนดละรูปนิมิตที่เป็นเแห่ง.รูปภพ จากคุณ : กุ๊กเทวดา เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 23:20:04

ความคิดเห็นที่ 90 วิชชาธรรมกายระดับสูง http://khunsamatha.com/blog/dhammakaya-D7.html ฌาณคืออะไร ? ฌานเกิดจากอะไร ? สติปัฏฐาน ๔ และอานิสงส์ "รู้วิธีเดินอริยสัจ" พิจารณาอริยสัจ ๔ ในญาณ ๓ การเดินวิชชาธรรมกายตามแนว สติปัฏฐาน ๔ วิชชาธรรมกาย : ภาคพิจารณา วิปัสสนาภูมิ วิชชาธรรมกาย : วิธีทดลองจิตว่าอาสวะจะสิ้นเพียงไหน เข้าไปศึกษาด้วยใจเป็นกลางๆ นะครับ ท่านทั้งหลาย เมื่อผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ถึงธรรมกาย สามารถเห็นกายในกาย ทำไมจะเจริญ กาย-เวทนา-จิต-ธรรม ตามหลักสติปัฐาน 4 ไม่ได้เล่า ของจริงอยู่ตรงนี้แหละ ถ้าท่านไม่เข้าใจหลักปฏิบัติให้ถึงธรรมกาย ท่านก็ไม่มีทางทราบว่าเขาเจริญสติปัฏฐาน 4 กันอย่างไร ในห้องนี้ใช่ว่าคนพูดคนแสดงความเห็นจะได้ชื่อว่าเจริญสติปัฏฐาน 4 เนืองๆ ก็หาไม่ ใครที่คิดว่า หลวงพ่อเลิกฝึกธรรมกายนั้น ขอให้ออกจากความคิดเช่นนั้นเสียทีเถิด นั้นเป็นยุทธศาสตร์การโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายอื่นเขาทั้งนั้น   อ่านข้อมูลตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ มีคนโจทย์กันว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำเลิกฝึกธรรมกายจริงหรือ...? http://khunsamatha.com/blog/dhammakaya-C1.html แถมพระธรรมเทศนา เรื่องสติปัฏฐาน 4 ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ http://khunsamatha.com/blog/dhammakaya-C5.html ๔๓.สติปัฏฐานสูตร ๓ ตุลาคม ๒๔๙๗ ๔๔.มหาสติปัฏฐานสูตร ๑๐ ตุลาคม ๒๔๙๗ แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 00:19:37 จากคุณ : สมถะ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 00:14:46

ความคิดเห็นที่ 91 สนใจศึกษาวิชชาธรรมกาย ในทุกแง่มุมให้ท่านเข้าไปศึกษาได้ที่เวบ http://khunsamatha.com/ จากคุณ : สมถะ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 00:31:06

ความคิดเห็นที่ 92 ก็ผมบอกไปแล้วไง ผู้ไม่รู้ธรรมะย่อม ย่อมบรรยายโดยไม่รู้ จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 00:31:58

ความคิดเห็นที่ 93 ตามความเห็นส่วนตัวนะคะ สติปัฏฐาน 4 คือการรู้รูปนาม(กายหยาบ) ตามความเป็นจริง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่ใช่เรา ไม่พึงยึดมั่นถือมั่น / การรู้(ไม่ใช่คิดเอา)  โดยอาศัยสติสัมปชัญญะระลึกรู้   ถอดถอนความเห็นผิดความมีตัวเราออกเสีย  เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ ส่วนธรรมกาย มี 18 กายที่ยืนยันกันว่ามีอยู่จริงไม่ใช่นิมิตนั้น(ส่วนตัวไม่อาจรู้ได้นะคะเพราะยังไม่เห็น)ในส่วนของกายหยาบก็ยังไม่เคยได้ยินการพิจารณาในแนวสติปัฏฐาน ได้ยินแต่(ไม่ใช่วัดปากน้ำ)ทำใจหยุดนิ่งเข้าไปในดวงกลางของกลางๆ จนเห็นกายละเอียดตามลำดับชั้นซึ่งข้ามการรู้รูปนามของกายหยาบไป    ดังนั้นสำหรับเราส่วนที่สูงกว่ากายหยาบคือกายละเอียดขึ้นไปจึงไม่อาจเข้าใจตามได้เพราะนอกเหนือจากสติปัฏฐาน4   เป็นเรื่องเฉพาะของธรรมกาย   ส่วนตัวคิดว่าสติปัฏฐาน4 ก็พอเพียงแล้วแก่การปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์  ที่สำคัญไม่ได้ยากมากมายจนเกินกว่าจะเข้าใจและปฏิบัติได้    เพราะมันเป็นธรรมชาติความจริงที่อยู่ในตัวเรา(กายหยาบ) ที่เราไม่เคยรู้เห็นมานับภพนับชาติ  สติปัฏฐาน 4 คือหนทางที่ทำให้เราเห็นความจริง ความไม่ใช่ตัวตนของเรานำไปสู่การปล่อยวางความยึดถือตัวตนในที่สุด วิชชาธรรมกาย ADVANCE ไปอีกระดับเข้าไปถึงกายละเอียดซึ่งคิดว่ายากกว่ากันมาก ทั้งความเข้าใจและการปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวของหลวงปู่   ซึ่งส่วนตัวก็นับถือท่านเช่นกัน   สติปัฏฐาน 4  เป็นเรื่องเข้าใจและปฏิบัติได้ง่ายกว่ากันมาก   ที่สำคัญเห็นผล “ความทุกข์ลดลง” ได้ง่าย ขอขัดเกลากิเลสในกายหยาบก็พอแล้วค่ะ   คงไม่มีวาสนาขัดเกลากิเลสได้ทั้ง 18 กาย จนเข้านิพพานเมืองแก้วได้   ชอบอะไรง่ายๆได้ผลเร็วน่ะค่ะ   ถือว่าแลกเปลี่ยนความรู้กันดีกว่านะคะ แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 07:41:49 จากคุณ : Tiger Bood เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 07:38:21

ความคิดเห็นที่ 94 ความคิดเห็นที่ 92 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน ก็ผมบอกไปแล้วไง ผู้ไม่รู้ธรรมะย่อม ย่อมบรรยายโดยไม่รู้ จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 00:31:58 [แก้ไข] ------------------------------------------------------------------------------------------- รู้แบบไหน ต่างหาก  ที่ต้องสอบทานกัน  เพื่อความไม่ประมาท  ไม่มักอะไร ง่ายยยย (๑) รู้แบบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นี้ มั๊ย  -- ตามที่ปรากฎในพระไตรปิฎก หรือว่า (๒) รู้แบบ พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือว่า (๓) รู้แบบ อนุพุทธสวากของ  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นี้  เช่น รู้ ปฏิจจสมุปบาท ตรงตามที่ตรัสว่า "ศาสดาและสาวกย่อมกล่าวตรงกันในปฏิจจสมุปบาท" คุณพัดลมเย็นๆ  "รู้แบบ ๑ หรือ  ๒ หรือ ๓" ? รู้แบบ ๓  ยังเนื่องกับ อมแล้วบ้วน  (รู้แบบเถรส่องบาตร มั๊ง)  ก้ มี มิใช่หรือ -------------------------------------------------------------------------------------------                             ตกลง  ที่เสนอ (วาทะกรรม) ว่า    ---------- ก็ผมบอกไปแล้วไง ผู้ไม่รู้ธรรมะย่อม ย่อมบรรยายโดยไม่รู้ -------         ผู้ใดนั้น รู้แบบ ข้อ ไหน ครับ? คุณพัดลมเย็นๆ ตามที่คุณฯ เข้าใจ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 07:49:06

ความคิดเห็นที่ 95 ความคิดเห็นที่ 87 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน พุทธพจน์สอนว่าเจโตสมาธิไม่มีนิมิตก็ยังใช้ไม่ได้ครับ จำได้ไหม จากคุณ : venture [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 22:52:43 [แก้ไข] ------------------------------------------------------------------------------------- ไม่ฉุกคิดหรือว่า --- ตกบ่อล่อปลา ที่ผมขุด เสียแล้ว เมื่อ ผมเสนอ คำว่า "ตั้งต้น  ที่ คำว่า  -----------   เจโตสมาธิ ---- คคห 85 คุณventure เสนอ "พุทธพจน์สอนว่าเจโตสมาธิไม่มีนิมิตก็ยังใช้ไม่ได้ครับ -- คคห 87 สมาธิวิชาธัมมกาย  ตามที่สอนๆ  ทั้งระบบนั้น ตรงไหน = เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต --- ครับ อ้าง นะครับ ผมจะได้ อ้าง เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต  ตาม ที่พระเถระครั้งปบมสังคายนา รักษา จูฬสุญญตสูตร ว่าไงครับ  ? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 07:53:08

ความคิดเห็นที่ 96 ความคิดเห็นที่ 86 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน สรุปว่าหลวงพ่อสดสอนละสังโยชน์10ตรงตามพระพุทธเจ้า แต่คุณเซนเก่งกว่าสามารถแต่งตั้งอรหันต์ได้ จากคุณ : venture [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 22:47:08 [แก้ไข] ------------------------------------------------------------------------------------------ วาทะกรรม แบบนี้  เรียกว่า "ตีกรรเชียง หนี" ผม  เสียแล้ว เพราะ ความคิดเห็นที่ 77 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน ยกพระสูตรวิธีพิสูจน์พระอรหันต์มาสิครับ จากคุณ : venture [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 18:31:15 [แก้ไข] ----------------------------------------------------------------------------------------- คุณ venture ปฏิเสธ ว่า ไม่ได้ เสนอ คคห 77 มั๊ย แล้ว ผม เสนอ คคห 82 ไม่เกี่ยวกับ ที่คุณventure  เสนอ ข้อความใน คคห 86 ------------------------------------------------------------------------------------------- สรุป คุณventure  น่าจะ  ลงจากเวทีนี้ได้แล้ว  (ถ้าผมเป็น ธัมมากยนิยม ฯ)   เพราะ ลีลา ของคุณventure ที่จะ ปะทะ ด้วยเหตุผล กับผม  น่าจะ คนละรุ่น               ตกลง  ตั้งต้นกันที่ เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต  นะครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 08:00:43

ความคิดเห็นที่ 97 เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต พระพุทธเจ้ายังไม่สรรเสริย แต่คุรเซนก็ย้ำคิดย้ำทำ และยังยกหางตัวเอง ด้วยมานะทิฏฐิว่าตนเอง มวยคนละรุ่นอีกครับ วิชชาธรรมกาย มิใช่ เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต นะครับ เพราะเจโตสมาธิที่มีนิมิต พระพุทธเจ้าสอนว่าอะไร จำได้ไหมครับ เคยยกมาให้อ่านแล้ว หวังว่าจะไม่มีประโยคเหล่านี้ซ้ำซากอีกนะครับ สรุปแล้วไม่สามารถชี้ชัดนะครับว่า ใครบรรลุอรหันต์ ยกเว้นผุ้นั้นปฏิบัติเอง รู้ว่าหลุดพ้นเองเท่านั้นนะครับ ถ้ามีพระสูตรใดชี้ว่า สามารถบอกได้ว่า ท่านใดบรรลุอรหันต์ ผมจะเชิยคุรเซนไปวัดแถวบ้านครับ สรุปคุณเซนก็ไม่มีเจโตปริยญาณนะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 13:49:50

ความคิดเห็นที่ 98 ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจอากิญจัญญาตนสัญญา ไม่ใส่ใจเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเจโตสมาธิ อันไม่มีนิมิต จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ใน เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตนี้แล ยังมี ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้ ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้นั้น ไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 13:53:50 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 13:52:03

ความคิดเห็นที่ 99 วิชชาธรรมกาย นี่มีอยู่จริงนะครับ จะเถียงกันไปทำไมละครับพี่ๆ เอาเวลามาเจริญสมาธิภาวนา เหอะครับ  เพราะของแบบนี้เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเอง  ถ้าอยากรู้ผมแนะนำว่าให้ลองศึกษาวิชชานี้ดูครับ จากคุณ : สยบมารทั่วทิศ เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 13:43:57

ความคิดเห็นที่ 100 เพิ่งเห็นกระทู้นี้ อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วย คุณโชคดีจริงๆ ความเห็นอื่นๆ อ่านเพียงคร่าวๆ เยอะมาก แต่สไตล์คุณเวนเจอร์นี่ ... สุดๆ   แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 55 05:03:29 จากคุณ : ลาดปลาเค้า เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 05:01:49

ความคิดเห็นที่ 101 ศาสนา ไม่เสื่อม แถมจะคงอยู่ต่อไป อนุโมทนา กับทั้งผู้ให้ธรรมะ และผู้ได้รับเชื้อธรรมะ กาลามสูตร ถกได้แต่อย่าเถียง คนโง่มีมาก กว่าคนฉลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็เลือกเอาว่าจะย่อมโง่ต่อไป หรือจะฉลาด...... จากคุณ : mrkopiko เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 01:23:13