สิ่งแรกที่ควรมีคือ ความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา
เพราะถ้าไม่มีความศรัทธา (ความเชื่อ) ก็คงยากที่จะเดินตามเส้นทางพระอริยะเจ้า
แต่ศรัทธาต้องคู่กับปัญญา คือไม่หลงเชื่องมงาย ต้องสามารถพิจารณาด้วยเหตุและผล
ให้แนะนำควรหาวัดที่มีพระอาจารย์ที่สามารถสอน ให้คำแนะนำในการปฏฺิบัติได้
(อย่างน้อยถ้ามีความศรัทธา มีความเพียรในการปฏิบัติ..วิปัสสนาญาณจะทำให้เกิดสัมมาทิฐิได้เอง)
มรรคมีองค์แปดเป็นหนทางเดียวในการปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มี
การปฏิบัติเพื่อให้ได้มรรคผล ต้องใช้วิปัสสนากรรมฐาน ตามหลักสติปัฏฐานสี่
แต่การศึกษาและปฏฺิบัติเอง จะมั่นใจได้อย่างไรว่าได้เดินมาถูกทางไม่หลงไปกับวิปัสสนูกิเลส
ดังนั้น ควรเข้าวัดที่มีพระอาจารย์สอนการปฏิบัติ ที่สามารถให้คำแนะนำหรือแก้ข้อสงสัยให้กับเราได้
----------------------------------------------------
ทาน เป็นสิ่งที่ควรหม่ำทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่า ทานคือการอบรมจิตให้รู้จักการละ
ถ้าตลอดชีวิตที่ผ่านมามีการให้ทานแต่อธิษฐานขอพรว่าให้สวย ให้รวย ให้มีงานทำดีๆ แล้ว..
ขอให้เปลี่ยนคำอธิษฐานใหม่เป็นเพื่อการละ เพื่อความสละสิ้นซึ่งกิเลส เพื่อเป็นเหตุปัจจัยสู่พระนิพพาน
และทุกครั้งที่ได้สละออกไปนั้น ให้ลองมาดูอารมณ์ความรู้สึกของตนในขณะนั้นว่า..
ยังรู้สึกว่ามีความตระหนี่ หวงทรัพย์ เสียดายอยู่หรือเปล่า.. ถ้ายังคงมีอยู่ ก็ยิ่งควรหมั่นทำให้บ่อย
แล้วให้ถามใจตัวเองอย่างนี้ทุกครั้ง ไม่จำเป็นต้องทำคราวละมากๆ แต่ให้ทำบ่อยๆ
เมื่อสละวัตถุเป็นทานบ่อยๆ อภัยทานก็จะสามารถละได้ในไม่ช้า
ศีล เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการบรรลุมรรคผล แต่จะอาศัยศีลเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้บรรลุได้
เปรียบเสมือนผืนดิน ถ้าดินอุดมสมบูรณ์จะปลูกอะไรก็งอกงามให้ผลดี..
ถ้ามีศีลอย่างดี แต่ถ้าไม่ได้ปลูกต้นไม้ที่ควร ก็คงจะไม่ได้ผลไม้ที่ต้องการ
ดังนั้น ถ้าปราถนาโสดาปัตติผล ก็พึงรักษาศีลให้บริบูรณ์และเพียรปฏิบัติธรรมตามสติกำลัง
สมาธิ เมื่อมีทานและศีลบริสุทธิ์ การปฏิบัติเริ่มแรกอาจจะเป็นสมถะกรรมฐาน คือการเพ่งจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แต่อยากขอเตือนก่อนครับว่า ถ้าสามารถเข้าถึงฌานก็อย่าไปยึดติดในฌานนั้น จะกลายเป็นมิจฉาสมาธิไป
คือมีกำลังสมาธิ แต่ไม่ได้นำเอามาใช้ในทางที่ควร ทางที่ถูกคือควรเอากำลังสมาธิมาพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม
หรือที่เรียกว่าสติปัฏฐานสี่ เมื่อสามารถเอาสมาธิมาพิจารณาได้ก็จะเกิดเป็นวิปัสสนาญาน
การปฏิบัติตามแนววิปัสสนานี้ เมื่อไปปฏิบัติไปนานๆ จะเกิดเวทนาแรงกล้า..ถึงตอนนี้ต้องอาศัยศรัทธา ขันติ และทานบารมี
เพราะศรัทธาจะช่วยให้คุณมีความเชื่อว่าหนทางนี้เป็นหนทางที่ถูก ความอดทนจะช่วยให้สามารถทนต่อเวทนา
และทานบารมี ที่ทำให้จิตรู้จักการละการสละ จนที่สุดจิตมันจะละออกจากเวทนา แล้วจะพบว่าขันธ์ทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน
แต่ในการปฏฺิบัตินั้น ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์แล้ว แม้คุณจะนั่งสมาธิจนขาหัก ก็จะมีแต่เวทนาและนิมิตอันเป็นอกุศลมาขวางกั้น
เบื้องต้นจึงขอสรุปว่า ทานและศีล เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการดำเนินตามทางมรรคมีองค์แปด
ส่วนการปฏิบัติที่ยิ่งไปกว่านั้น ให้มีความเพียรสม่ำเสมอ..เมื่อวิปัสนาญานเกิดเป็นลำดับขั้นแล้ว
(ความจริงไม่ต้องสนใจหรอกครับว่าตอนนี้ตนได้วิปัสสนาญานขั้นไหน)
องค์ธรรมแห่งการตรัสรู้จะเกิดขึ้น..หรือที่เรียกว่า โพชฌงค์
ก็ขอให้หมั่นให้ทาน รักษาศีล และเพียรปฏิบัติเจริญภาวนาตามหลักสติปัฏฐานสี่นะครับ ขอให้เจริญในธรรมครับ
ปล. ผมก็อธิบายไปตามที่เข้าใจ..นักปราชญ์ผู้ฉลาดไม่ควรเชื่อผมง่ายๆ เพราะบางสิ่งผมอาจกล่าวผิด เข้าใจผิด จำผิด
ควรพิจารณาตามหลัก กาลามสูตร แล้วเชื่อด้วยใจตัวเองนะครับ